วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2564

OTOP ช้อปปิ้ง ออนไลน์ ครั้งแรกในไทย !! พช. จัดเต็ม “ศิลปาชีพ ปี 64” แบบ Hybrid ช้อปพร้อมกัน 30 ก.ย. – 9 ต.ค. นี้

 

OTOP ช้อปปิ้ง ออนไลน์ ครั้งแรกในไทย !!       พช. จัดเต็ม “ศิลปาชีพ ปี 64” แบบ Hybrid ช้อปพร้อมกัน 30 ก.ย. – 9 ต.ค. นี้




          สายช้อปเตรียมพร้อม !! กรมการพัฒนาชุมชน(พช.) กระทรวงมหาดไทย เดินหน้าเตรียมพร้อม จัดงานศิลปาชีพประทีปไทย OTOP ก้าวไกลด้วยพระบารมี ปี 2564 ในรูปแบบ Hybrid (ผสมผสาน) ทั้ง Online หรือ Virtual Event ช้อปเสมือนจริง กว่า 1,800 ร้านค้า ผ่านทาง www.otop-shopping.com และ Onsite ซึ่งเป็นการช้อปในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ 3 แห่ง อีก 200 ร้านค้า โดยทุกท่านสามารถเข้าไปชมและช้อปผลิตภัณฑ์หัตถศิลป์อันทรงคุณค่า จากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ และผลิตภัณฑ์ OTOP ทั้ง 5 ประเภท และ OTOP ชวนชิม รวมกว่า 2,000 ร้านค้า นัดช้อป 30 กันยายน ถึง 9 ตุลาคม นี้ รวม 10 วัน

             นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงาน “ศิลปาชีพประทีปไทย OTOP ก้าวไกลด้วยพระบารมี” ปี 2564 ณ ลานเมือง 1 ชั้น G เมืองสุขสยาม ไอคอนสยาม โดยมี นายสุรศักดิ์ อักษรกุล รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน  และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมงาน



             นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทย มอบหมายให้กรมการพัฒนาชุมชน จัดงาน “ศิลปาชีพประทีปไทย
OTOP ก้าวไกลด้วยพระบารมี” ปี 2564 เพื่อเฉลิมพระเกียรติและเป็นการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่มีต่อการอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาของคนไทย ภายใต้โครงการส่งเสริมศิลปาชีพและมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ รวมทั้งเพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ในปี 2564 นี้ ธุรกิจและการดำเนินงานต่างๆ ทางเศรษฐกิจต้องหยุดชะงักจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ กรมการพัฒนาชุมชน ยังคงส่งเสริมสินค้า OTOP ในทุกมิติมาโดยตลอด ทั้งกระบวนการผลิต การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ การเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว รวมถึงการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ด้วย






             นายสุทธิพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19เริ่มคลี่คลายลง  กรมการพัฒนาชุมชน จึงมีแผนการดำเนินงานเพื่อเยียวยาผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการมีโอกาสด้านการตลาด และยังเป็นการส่งเสริมผู้ประกอบการให้มีศักยภาพและพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้สามารถแข่งขันได้ผ่านตลาดออนไลน์ ซึ่งเป็นช่องทางที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน และหลังจากที่รัฐบาลได้มีมาตรการผ่อนคลาย ในส่วนของตลาดออฟไลน์ กรมการพัฒนาชุมชน ก็ได้ให้ความสำคัญกับจัดงานด้วย เพื่อให้ผู้ซื้อได้มีโอกาสพบปะและสนับสนุนผู้ประกอบการ OTOP อย่างต่อเนื่อง ภายใต้มาตรการการเฝ้าระวัง และควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด โดยคาดหวังว่าการจัดงาน ทั้ง Online คือในรูปแบบเสมือนจริง และOnsiteในห้างสรรพสินค้า ครั้งนี้ จะช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ตลอดจนสมาชิกกลุ่มต่าง ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ








             ทั้งนี้ ในการจัดงานรูปแบบ Online หรือ รูปแบบเสมือนจริง จะเป็นการจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพ และผลิตภัณฑ์ OTOP ผ่านทางเวปไซต์ www.otop-shopping.com โดยผู้เข้าชมสามารถเข้าร่วมงานได้อย่างต่อเนื่องทุกที่ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งครอบคลุม 5 กิจกรรมหลัก ดังนี้

              1. นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 และสมเด็จ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงมีต่อการอนุรักษ์และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น อันเป็นที่มาของศิลปาชีพ

              2.การจัดแสดงและจำหน่ายผลงานของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ  พบกับผลิตภัณฑ์หัตถศิลป์อันทรงคุณค่า ฝีมือสุดประณีต กว่า 500 รายการ

              3.การจัดแสดงและจำหน่ายผลงานของศิลปิน OTOP และสินค้า OTOP ระดับ 3 – 5 ดาว ทั้ง 5 ประเภท  และ OTOP ชวนชิม จำนวน 1,800 ร้านค้า

              4.การจับคู่เจรจาธุรกิจ (Business Matching) โดยเชิญผู้ประกอบธุรกิจและผู้จัดจำหน่ายที่สนใจนำผลิตภัณฑ์ OTOP ไปต่อยอดช่องทางการตลาด เข้าร่วมเจรจาธุรกิจ  ผ่านช่องทางออนไลน์

              5.เวทีกิจกรรม หรือ เวทีกลาง สำหรับจัดแสดงศิลปวัฒนธรรม การแสดงคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง อาทิ พลพล, อาภาพร นครสวรรค์, ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง ฯลฯ รวมทั้งกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ เช่น Live สด จากดาราเบอร์ปัง อาทิ พิงกี้ สาวิกา ไชยเดช, ยุ้ย จีรนันท์ มะโนแจ่ม ฯลฯ สินค้าดีนาทีทอง การจับสลากชิงรางวัล เป็นประจำทุกวัน




 

             ส่วนการจัดงานรูปแบบ Onsite เป็นการจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP ระดับ 3 – 5 ดาว และ OTOP ชวนชิม รวมจำนวน 200 ร้านค้า กระจายอยู่ในพื้นที่ของห้างสรรพสินค้า รอบกรุงเทพมหานคร รวม 3 แห่ง  ได้แก่ โซนแบงค์กิ้ง ชั้น 1 ศูนย์การค้าเมกา บางนา, เมืองสุขสยาม ชั้น G ไอคอนสยาม และ ลานโปรโมชั่น ชั้น 1 ศูนย์การค้าเจเจมอลล์  โดยการจัดงานทั้ง 3 แห่ง จะดำเนินการภายใต้มาตรการป้องกันความเสี่ยงจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นสำคัญ






             “OTOP ช้อปปิ้งออนไลน์ ขอเชิญชวนทุกท่านมาชม ชิม ช้อป  และร่วมภาคภูมิใจกับผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาไทย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสร้างโอกาส และสร้างรายได้ให้กับผู้ผลิตผู้ประกอบการOTOP โดยเฉพาะในช่องทางออนไลน์ ช้อปง่ายๆ ได้ทุกที่ ทุกเวลา แค่คลิก www.otop-shopping.com ครับ”     นายสุทธิพงษ์ กล่าว

********************************************


                                                                                            www.otop-shopping.comสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

สำนักส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและวิสาหกิจชุมชน
กรมการพัฒนาชุมชน โทร.
0-2141-6050

รองเลขาฯ มกอช. ร่วมคณะ "นายกฯ-รมว.เกษตรฯ" ลงพื้นที่ให้กำลังใจ มอบปัจจัยการเกษตรแก่เกษตรกรสุโขทัยที่ประสบภัยน้ำท่วม

 

รองเลขาฯ มกอช. ร่วมคณะ "นายกฯ-รมว.เกษตรฯ" ลงพื้นที่ให้กำลังใจ มอบปัจจัยการเกษตรแก่เกษตรกรสุโขทัยที่ประสบภัยน้ำท่วม



 

วันที่ 26 ก.ย.64 นายพิศาล​ พงศาพิชณ์​ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ​ (มกอช.)​ มอบหมายให้ นายกฤษ อุตตมะเวทิน รองเลขาธิการ มกอช. ร่วมคณะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย ดร.ทองเปลว กองจันทร์ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะ ลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดสุโขทัยเพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมสุโขทัยที่ได้รับผลกระทบจากอ่างเก็บน้ำแม่ม่อม ล้นอ่าง จากฝนตกหนักในช่วงเวลาที่ผ่านมา รวมทั้งรับฟังการเตรียมพื้นที่รับน้ำแก้มลิงบริเวณแม่น้ำยมฝั่งซ้าย

 





โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เดินทางโดยรถยนต์เพื่อสำรวจพื้นที่ประสบอุทกภัยในจังหวัดสุโขทัย และได้พบปะให้กำลังประชาชน พร้อมมอบปัจจัยทางเกษตรให้แก่ผู้แทนเกษตรกร เพี่อนำไปมอบต่อให้กับเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมพื้นที่เพาะปลูกการเกษตร จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำ ณ วัดบ้านซ่าน ตำบลบ้านซ่าน อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย






วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2564

มกอช. เร่งสร้างความเข้าใจผู้ประกอบการ ผู้ผลิต-ส่งออกลำไยสด หลังพบลำไยส่งออกมีค่าปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์เกินมาตรฐานความปลอดภัย

 

มกอช. เร่งสร้างความเข้าใจผู้ประกอบการ ผู้ผลิต-ส่งออกลำไยสด หลังพบลำไยส่งออกมีค่าปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์เกินมาตรฐานความปลอดภัย

 

นายครรชิต สุขเสถียร รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า มกอช. ได้ดำเนินงานยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน เรื่อง เกษตรปลอดภัย ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 6 ด้าน มาอย่างต่อเนื่อง โดย มกอช. ได้ออกกฎกระทรวงกำหนดให้มาตรฐานสินค้าเกษตร เรื่อง หลักปฏิบัติสำหรับกระบวนการรมผลไม้สดด้วยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (มกษ. 1004-2557)                  เป็นมาตรฐานบังคับ และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2559 เป็นต้นมา ซึ่งในปีที่ผ่านมา มกอช. ได้รับแจ้งจากหน่วยงานภาครัฐของประเทศผู้นำเข้าว่า พบปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์เกินค่ามาตรฐาน                 ความปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง




ทั้งนี้ มกอช. โดยกองควบคุมมาตรฐาน ตรวจสอบพบว่า ลำไยที่ส่งออกมีค่าปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์เกินมาตรฐานความปลอดภัยของประเทศผู้นำเข้า ซึ่งเกิดจากผู้ผลิตและผู้ส่งออกลำไยสดยังขาดความรู้               ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการรมลำไยสดด้วยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ ดังนั้น มกอช. ซึ่งมีบทบาทหน้าที่ในการควบคุม กำกับ ดูแลผู้ผลิต และผู้ส่งออกลำไยสด ให้เป็นไปตามมาตรฐานบังคับ เรื่อง หลักปฏิบัติสำหรับกระบวนการรมผลไม้สดด้วยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (มกษ. 1004 – 2557) จึงได้จัดโครงการสัมมนาสร้างความรู้ความเข้าใจในการผลิตและส่งออกลำไยสดให้เป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อให้ผู้ผลิต ผู้ส่งออกสินค้าเกษตรประเภทลำไยสด มีความรู้ ความเข้าใจในการผลิตและการส่งออกลำไยสด ให้เป็นไปตามมาตรฐานบังคับ และเกณฑ์ความปลอดภัยตามมาตรฐานของประเทศคู่ค้า รวมทั้งเข้าใจแนวทาง การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 ได้อย่างถูกต้อง






การสัมมนาดังกล่าว จัดขึ้นในรูปแบบการบรรยายผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Online) โดยเป็นการบรรยาย ให้ความรู้ในเรื่องการรมผลไม้สดด้วยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ให้ได้คุณภาพความปลอดภัยตามมาตรฐานบังคับ (มกษ. 1004-2557) การส่งออกผลไม้สดรมด้วยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ผ่านระบบ TAS License การดำเนินการของพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใต้พระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 และพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 และบทกำหนดโทษ โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วย ผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกตามมาตรฐานบังคับ (มกษ. 1004-2557) ตัวแทนออกของ (shipping) ผู้ประกอบการตรวจสอบมาตรฐาน (หน่วยรับรอง) และเจ้าหน้าที่ มกอช. ที่เกี่ยวข้อง รวมจำนวน 150 คน




“การตรวจพบว่าลำไยสดที่ส่งออกมีค่าปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์เกินมาตรฐานความปลอดภัยของประเทศผู้นำเข้า นอกจากจะส่งผลกระทบโดยตรงในด้านการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ด้านคุณภาพและความปลอดภัยสินค้าเกษตรของประเทศไทยอีกด้วย เราจึงต้องเร่ง           สร้างความรู้ ความเข้าใจให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน โดยการสัมมนาในวันนี้จะสร้างความรู้ ความเข้าใจในการผลิตและส่งออกลำไยสดให้เป็นไปตามมาตรฐาน และสามารถปฏิบัติตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร  พ.ศ. 2551 ได้อย่างถูกต้อง เมื่อสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดมาตรฐานบังคับ กฎระเบียบของประเทศผู้นำเข้า และกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้ ก็จะส่งผลให้ลำไยสดที่ส่งออกจากประเทศไทยเป็นที่ยอมรับของประเทศผู้นำเข้า” รองเลขาธิการ มกอช. กล่าว






วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2564

มกอช. รับรางวัลหน่วยงาน“ระดับดีเด่น” ปี 64 เปิดใจใกล้ชิดประชาชน

 

มกอช. รับรางวัลหน่วยงาน“ระดับดีเด่น” ปี 64 เปิดใจใกล้ชิดประชาชน 

   



สำนักงาน กพร. ประกาศให้ มกอช. ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2564  สาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประเภท เปิดใจใกล้ชิดประชาชน ระดับดีเด่น ชูประเด็นการทำงานด้านมาตรฐานร่วมกับประชาชนในทุกขั้นตอน

   

นายพิศาล พงศาพิชณ์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ เปิดเผยว่า   สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีบทบาทภารกิจที่สำคัญในด้านจัดทำ รับรอง ควบคุม มาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร โดยมีวิสัยทัศน์ที่จะมุ่งสู่การเป็นองค์กรนำด้านการมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารที่ทั่วโลกยอมรับ เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติในประเด็น การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน การเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเกษตรกรและภาคเอกชน ในการขับเคลื่อนการใช้มาตรฐานเพื่อมุ่งสู่การผลิตสินค้าเกษตรที่ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัย ซึ่งเป็นเรื่องที่ มกอช.ให้ความสำคัญเสมอมา

   

โดยการเสนอผลงานขอรับรางวัลเลิศรัฐ มกอช. ได้ยกกรณีตัวอย่าง การทำงานร่วมกับภาคประชาชนในเรื่องกระบวนการการจัดทำมาตรฐานบังคับทุเรียนแช่เยือกแข็งเพื่อการส่งออก ที่เคยมีปัญหาผู้ผลิตบางรายมีการผลิตไม่ถูกสุขลักษณะทำให้ตลาดส่งออกทุเรียนแช่เยือกแข็งได้รับความเสียหาย จึงได้หารือร่วมกับผู้ผลิต ผู้มีส่วนได้เสียต่อการส่งออกทุเรียน จัดทำมาตรฐานเรื่องการปฏิบัติที่ดีสำหรับการผลิตทุเรียนแช่เยือกแข็ง (มกษ. 9046-2560) มีการเผยแพร่ข้อมูลให้ทุกภาคส่วนรับทราบผ่านทุกช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์ พร้อมทั้งส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ข้อมูลด้านมาตรฐานให้เกษตรกร/ผู้ประกอบการในการนำมาตรฐานไปใช้

   



นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมโยงและร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตรวจรับรองแหล่งผลิตทุเรียนที่ได้มาตรฐาน ซึ่งส่งผลให้มีพื้นที่ปลูกทุเรียนที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP เพิ่มสูงขึ้น และประเทศไทยสามารถส่งออกทุเรียนแช่เยือกแข็งและแช่เย็นจนแข็งไปยังตลาดโลกได้คิดเป็นปริมาณกว่า 30,800 ตัน หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 6,400 ล้านบาท โดยมีอัตราขยายตัวของมูลค่าส่งออกอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561 ถึง 2563 คิดเป็นร้อยละ 183

   

นายพิศาลกล่าวต่อไปว่า รางวัลเลิศรัฐ โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบบริหาราชการ (กพร.) เป็นรางวัลแห่งเกียรติยศที่มอบให้แก่หน่วยงานที่มุ่งมั่นปฏิบัติราชการจนประสบความสำเร็จ มีความเป็นเลิศแห่งหน่วยงานรัฐทั้งปวง โดยในแต่ละปี ส่วนราชการทั่วประเทศ รวมถึงรัฐวิสาหกิจ สถาบันอุดมศึกษาองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรอิสระและหน่วยงานของรัฐประเภทอื่นๆ ต่างนำเสนอผลงานขอรับรางวัลเป็นจำนวนมาก

   






การได้รับรางวัลเลิศรัฐ สาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประเภทเปิดใจใกล้ชิดประชาชน เป็นการพิสูจน์ว่า มกอช. มีกระบวนการทำงานร่วมกับประชาชนและการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน นำไปสู่การทำงานแบบบมีส่วนร่วม ก่อให้เกิดความคิดในการทำงานเชิงสร้างสรรค์ ที่เพิ่มขีดความสามารถในการรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น เกิดผลสำเร็จในการบริหารราชการ ขององค์กรอย่างเป็นรูปธรรม” นายพิศาล เลขาธิการ มกอช. กล่าว

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2564

เครือข่ายสหกรณ์ออมทรัพย์จังหวัดชัยภูมิ จับมือสันนิบาตสหกรณ์จังหวัดชัยภูมิ มอบอุปกรณ์การแพทย์ต้านภัยโควิด

 

เครือข่ายสหกรณ์ออมทรัพย์จังหวัดชัยภูมิ จับมือสันนิบาตสหกรณ์จังหวัดชัยภูมิ มอบอุปกรณ์การแพทย์ต้านภัยโควิด

 



วันที่ 13 กันยายน 2564 นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม ประธานฯ สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย (สสท.) มอบหมายให้ นายปัณฐวิชญ์ มุ่งสมัครศรีกุล ผู้อำนวยการ สสท.เป็นตัวแทนร่วมพิธีมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์และเครื่องอุปโภคบริโภค โดยมีนายภูมิสิทธิ์ วังคีรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีและมีนางวราลักษณ์ กุลบวรรัตน์ สหกรณ์จังหวัดชัยภูมิ นายสุธี บุญถือ ประธานเครือข่ายสหกรณ์ออมทรัพย์จังหวัดชัยภูมิ ประธานสันนิบาตสหกรณ์จังหวัดชัยภูมิ และแขกผู้มีเกรียรติเข้าร่วมพิธีมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ สิ่งของอุปโภคบริโภค และน้ำดื่ม ให้แก่โรงพยาบาลในจังหวัดชัยภูมิ เพื่อสนับสนุน อำนวยความสะดวกกับบุคลากรทางการแพทย์ และช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ณ สำนักงานสหกรณ์จังหวัดชัยภูมิ โดยสันนิบาตสหกรณ์จังหวัดชัยภูมิ และเครือข่ายสหกรณ์ออมทรัพย์จังหวัดชัยภูมิ และขบวนการสหกรณ์ในจังหวัดชัยภูมิ ร่วมกันสมทบทุนในการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ สิ่งของอุปโภคบริโภค และน้ำดื่ม มูลค่ารวม 412,500 บาท  

 



นายสุธี บุญถือ ประธานสันนิบาตสหกรณ์จังหวัดชัยภูมิ กล่าวว่า  การดำเนินการของสหกรณ์ในจังหวัดชัยภูมิ เกิดขึ้นจากความร่วมมือร่วมมือและตามหลักการของสหกรณ์ข้อที่ 7 ช่วยเหลือตนเอง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และช่วยเหลือสังคม ดังนั่นในช่วงวิกฤติ ของการแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่า covid-19 ทางสหกรณ์และเครือข่าย เครือข่ายสหกรณ์ และสันนิบาตสหกรณ์จังหวัดชัยภูมิ รวมทั้งทุกภาคส่วนได้ดำเนินการจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับการติดเชื้อและบุคลากรทางการแพทย์ โดยมุ่งหวังว่าจะทำให้ยอดผู้ติดเชื้อโควิด19 ลดลง ดังนั้นสหกรณ์ทุกประเภทในจังหวัดชัยภูมิจึงได้ร่วมมือดำเนินการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์สิ่งของอุปโภคบริโภคและน้ำดื่มมูลค่ารวม 412,500 บาท และในวันนี้ได้มีพิธีมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างเป็นทางการ และยังได้รับเกียรติจากรองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ผู้อำนวยการสันนิบาตสหกรณ์ฯ ร่วมเป็นเกียรติในการมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ในครั้งนี้รวมถึงขบวนการสหกรณ์ในจังหวัดชัยภูมิ ที่ร่วมแรงร่วมใจผลักดันจนเกิดเป็นโครงการที่ดีเพื่อสังคมและเพื่อลดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา covid 19




วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2564

เตรียมพบกับงานเที่ยวชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีทั่วไทย อย่างยิ่งใหญ่บนโลกออนไลน์ 11-19 กันยายนนี้

 

เตรียมพบกับงานเที่ยวชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีทั่วไทย อย่างยิ่งใหญ่บนโลกออนไลน์ 11-19 กันยายนนี้




นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวในการเป็นประธานแถลงข่าวงาน “เที่ยวชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีทั่วไทย ที่มนตรีสตูดิโอ 101 ซอยโพธิ์แก้ว 3 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ ว่าจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย รวมถึงแนวโน้มพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป กรมการพัฒนาชุมชน เล็งเห็นถึงความเดือดร้อน จึงเตรียมจัดงานเที่ยวชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีทั่วไทยภายใต้แนวคิด “เปิดขุมทรัพย์ 9 เส้นทาง 9 ตำนาน มรดกวัฒนธรรมท่องเที่ยววิถีไทย” ในรูปแบบของการท่องเที่ยวเสมือนจริงบนโลกออนไลน์ครั้งแรก ระหว่างวันที่ 11-19 กันยายนนี้ 




โดยมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากชุมชนรวม 500 ผลิตภัณฑ์ ทั้งประเภทอาหาร เครื่องแต่งกาย ของใช้ของตกแต่ง ของที่ระลึกและประเภทสมุนไพร พร้อมร่วมชมแหล่งท่องเที่ยวอารยธรรมเก่าแก่ของประเทศไทย จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวในชุมชน ควบคู่กับการสื่อสารสร้างการรับรู้ และก่อให้เกิดการจับคู่ธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ทำให้เกิดการจ้างงาน และการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม ผู้สนใจสามารถร่วมท่องเที่ยวได้ที่ www.virtualotoptour.com ระหว่างวันที่ 11-19 กันยายนนี้ ตั้งแต่ 09.00 น.- 21.00 น.





วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2564

“ประยุทธ์-จุรินทร์” ดันผู้ส่งออก 42 ราย มอบรางวัล PM Export Award ในรูปแบบ Virtual Event ครบรอบ 30 ปี

 “ประยุทธ์-จุรินทร์” ดันผู้ส่งออก 42 ราย  มอบรางวัล PM Export Award ในรูปแบบ Virtual Event ครบรอบ 30 ปี 


             



 “พล.อ.ประยุทธ์”  มอบ 42 รางวัล PM Export Award 2021 ในรูปแบบ Virtual Event ให้ผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ประจำปี 2564 ครั้งที่ 30   เพื่อกำลังใจให้ผู้ประกอบการไทย    ด้านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประกาศพร้อมเป็นทัพหน้าหนุนประกอบการส่งออกบุกตลาดโลกหลังโควิดคลี่คลาย   ปลื้มยอดส่งออกปี 64 เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง   


      วันนี้ (3 ก.ย.64) ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีมอบรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ประจำปี 2564 หรือ Prime Minister’s Export Award 2021 ครั้งที่ 30 ในรูปแบบ Virtual Event ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ของการมอบรางวัล บน เวทีเสมือนจริงในยุค new normal ที่ไม่สามารถพบปะร่วมกันได้ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้อง คณะกรรมการและแขกผู้มีเกียรติ สื่อมวลชน สามารถเข้าร่วมงานได้ในรูปแบบออนไลน์  ผ่านทางระบบซูมและเฟซบุ๊กไลฟ์ โดยปีนี้ มีบริษัทที่ผ่านการพิจารณาเข้ารับรางวัลใน 7 สาขา รวม 42 รางวัล  34 บริษัท จากผู้สมัครทั้งหมด 216 ราย 






      หลังเสร็จสิ้นพิธีมอบรางวัล พลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความยินดีกับผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัล ว่า     รัฐบาลได้มีนโยบายในการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งในภาคการผลิต การบริการ และการส่งออกให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างต่อเนื่อง งานมอบรางวัล Prime Minister’s Export Award ซึ่งเป็นรางวัลเกียรติยศสูงสุดที่ผู้ประกอบการส่งออกได้รับการรับรองจากรัฐบาล จึงเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจพัฒนาของผู้ประกอบธุรกิจส่งออก รวมทั้งทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันการค้าระหว่างประเทศแบบเชิงรุก และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ประกอบการรายอื่น เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาธุรกิจตนเองให้ดียิ่งขึ้น 




   ด้านนายจุรินทร์   ลักษณวิศิษฏ์    รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์   กล่าวว่า     เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งในวาระครบรอบ 30 ปี ของรางวัล PM Award รางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ถือเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการของไทยได้มีการพัฒนาสินค้าและบริการในทุกสาขา  ตั้งแต่ปี 2535 รวมจำนวนทั้งสิ้น 638 บริษัท 745 รางวัล ซึ่งล้วนเป็นตัวแทนของความภาคภูมิใจของคนไทยในการผลิตสินค้าและบริการที่ได้มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับในตลาดต่างประเทศ และในปีนี้ ผมได้มอบนโยบายการส่งเสริมผู้ประกอบการให้ครอบคลุมในทุกระดับตั้งแต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ จนไปถึง SMEs และ Micro SMEs และกระจายไปยังภูมิภาคในทุกภาคส่วนของประเทศ จึงทำให้มีผู้ได้รับรางวัล ทั้ง 7 สาขา รวม 42 รางวัล 34 บริษัท จาก 15 จังหวัดทั่วประเทศ นอกจากนี้ ตามนโยบายด้านการเร่งรัดการส่งออกในมิติของการเพิ่มมูลค่าสินค้า พร้อมสร้างผู้ส่งออกรายใหม่ จึงได้เพิ่มรางวัลผู้ประกอบการหน้าใหม่ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ก้าวสู่การเป็นผู้ส่งออกที่มีศักยภาพต่อไป  


     นายจุรินทร์ กล่าวเสริมว่า      ปีนี้การส่งออก ถือเป็นเครื่องยนต์ที่ทำหน้าที่ได้ดีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการดำเนินการตามแผนการส่งเสริมการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนให้ภาคการส่งออกของไทยกลับมาเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้งคือ เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักสำคัญของไทยเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐ ยุโรป และจีน อีกทั้งภาคการผลิตทั่วโลกยังคงขยายตัวดี โดยเฉพาะการผลิตสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค สินค้าวัตถุดิบและสินค้าเพื่อการลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่เงินบาทที่อ่อนค่าลงก็กลายเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนภาคการส่งออกของไทย  นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสริมจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าปีก่อน ซึ่งส่งผลดีต่อราคาสินค้าส่งออกของไทย และจากความพยายามของกระทรวงพาณิชย์ในการเร่งแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก ล่าสุด ตัวเลขการส่งออกในเดือน ก.ค.2564 พบว่า ขยายตัวสูงถึง 20.27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ภาพรวมการส่งออกในช่วง 7 เดือนของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.2564) การส่งออกขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมีมูลค่ารวมที่ 1.54 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 16.20%   






     ด้านผู้ประกอบการที่รับรางวัลในปีนี้    ได้กล่าวถึงวิธีการรับมอบรางวัลในรูปแบบ Virtual    Event  ปีนี้ว่า ถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้รับรางวัลจากท่านนายกรัฐมนตรีโดยตรงจากข้อจำกัดด้านมาตรการป้องกันโควิด 19 แต่ก็นับเป็นเกียรติและเป็นความภาคภูมิใจ พร้อมที่จะรักษามาตรฐานคุณภาพ รวมทั้งเป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาสินค้าและบริการ อันจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป สำหรับรางวัล Prime Minister’s Export Award 2021 ปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 30 มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 216 ราย ผ่านการพิจารณาเข้ารับรางวัลใน 7 สาขา รวม 42 รางวัล ได้แก่ Best Exporter 9 รางวัล Best Thaibrand 9 รางวัล B est Innovation 3 รางวัล และ Aspiring Innovation 5 รางวัล   Best Design 7 รางวัล Best Services Enterprise Award รวม 4 รางวัล ได้แก่ สาขาโรงพยาบาล ศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง คลินิกเฉพาะทาง 1 รางวัล สาขาดิจิตอลคอนท์และซอฟแวร์  1 รางวัล สาขาสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ 1 รางวัล สาขาโลจิสติกส์การค้า 1 รางวัล  Best OTOP 2 รางวัล และ Best Halal 3 รางวัล 




  ทั้งนี้      รางวัลผู้ประกอบการนวัตกรรมดาวเด่น Aspiring Innovation ถือเป็นรางวัลพิเศษในปีนี้ ที่เพิ่มขึ้น เพื่อเชิดชูผู้ประกอบการรายใหม่ที่มีนวัตกรรมโดดเด่น และมีศักยภาพในการส่งออก 5 รางวัล โดยเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้ผู้ประกอบการที่เห็นความสำคัญของการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนว BCG ซึ่งรัฐบาลได้หยิบยกขึ้นเป็นวาระแห่งชาติ  


และจากข้อมูลการส่งออก ของผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลทั้ง 42 รายนี้  มีส่วนในการสร้างรายได้เข้าประเทศ ในปี 2563 ประมาณ 19,910 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.87 หรือ 1,788 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบจากปี 2562 ที่มีรายได้ประมาณ 18,122 ล้านบาท และในปี 2564 (ม.ค. – ก.ค. 64) ได้สร้างรายได้ให้แก่ประเทศแล้วประมาณ 11,377 ล้านบาท และมีส่วนสร้างการจ้างงาน ไม่ต่ำกว่า 14,639 คน  ซึ่งบทสรุปความสำเร็จของรางวัล Prime Minister’s Export Award นี้    นับเป็นรางวัลแห่งความภาคภูมิใจ ที่ภาครัฐและภาคเอกชนได้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจส่งออก ให้สามารถก้าวเดินได้อย่างต่อเนื่อง และก้าวเข้าสู่โครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ยุค New Normal ได้อย่างมั่นคง 


******************************

“วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” เทศกาลสัตว์น้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

  เปิดประสบการณ์ความมหัศจรรย์ของโลกใต้น้ำกับ FISHTIVAL 2025   ที่ยกทัพพาเหรดสัตว์น้ำกว่า 3,000 ตู้ ในงาน “วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” ...