วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2564

มกอช. ก้าวสู่ปีที่ 19 เดินหน้าขับยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารตลอดห่วงโซ่การผลิต หนุนเลือกซื้อสินค้าเกษตรและอาหารที่มีเครื่องหมาย Q-ออร์แกนิค ไทยแลนด์

  

มกอช. ก้าวสู่ปีที่ 19 เดินหน้าขับยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารตลอดห่วงโซ่การผลิต  หนุนเลือกซื้อสินค้าเกษตรและอาหารที่มีเครื่องหมาย Q-ออร์แกนิค ไทยแลนด์ สร้างความมั่นใจผู้บริโภค บริโภคอาหารปลอดภัยในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 

 




          นายพิศาล พงศาพิชณ์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า มกอช. เป็นหน่วยงานกลางด้านมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร โดยกำหนด ตรวจสอบ รับรอง ควบคุม และส่งเสริมมาตรฐานสินค้าเกษตรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เพื่อปรับปรุงและยกระดับคุณภาพ สินค้าเกษตรและอาหารของไทยให้ได้มาตรฐาน รวมทั้งเพื่อให้มีคุณภาพและความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก โดยที่ผ่านมา ได้ดำเนินการขับเคลื่อนภารกิจงานให้เป็นไปตามแผนแม่บท            ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ทั้งด้านเกษตรปลอดภัย และการพัฒนาระบบนิเวศเกษตร ซึ่งให้ความสำคัญกับการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร              ตลอดห่วงโซ่การผลิต  



          ด้านเกษตรปลอดภัย ในปีที่ผ่านมา มกอช. มีผลการดำเนินงานโครงการที่สำคัญ ได้แก่ การกำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร จำนวน 15 เรื่อง ทำให้ปัจจุบันมีมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร            ที่ประกาศใช้แล้ว รวม 376 เรื่อง การตรวจประเมินเพื่ออนุญาตและขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบการตรวจสอบมาตรฐาน : หน่วยรับรอง 24 ราย หน่วยตรวจ 5 ราย และห้องปฏิบัติการ 104 ราย การติดตาม/กำกับดูแลการบังคับใช้มาตรฐานบังคับที่มีผล บังคับใช้แล้ว 7 เรื่อง : ออกใบอนุญาตผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก 1,677 ฉบับ ส่งเสริมการนำมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารไปใช้ : ขยายการเรียนรู้ด้านมาตรฐานในวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี 41 แห่ง ถ่ายทอดความรู้ในการผลิตตามมาตรฐาน GAP แก่เกษตรกร 8 แห่ง การสร้าง/พัฒนาบุคลากรด้านการตรวจประเมินรองรับการถ่ายโอนภารกิจการตรวจรับรองมาตรฐานสินค้า และขยายผล            การใช้งานระบบตรวจสอบย้อนกลับ QR Trace โดยมีผู้สมัครใช้งานเพิ่มขึ้น รวม 2,117 ราย รวมถึงการ             เข้าร่วมประชุม/เจรจาเพื่อร่วมกำหนดมาตรฐานระหว่างประเทศ อาทิ การประชุมคณะกรรมาธิการโคเด็กซ์ ครั้งที่ 43 Codex Alimentarius Commission และการประชุมคณะกรรมการโคเด็กซ์ในสาขาต่าง ๆ เช่น สาขาระบบการตรวจสอบและการรับรองสินค้านำเข้าและส่งออก (CCFICS) สาขาสมุนไพรและเครื่องเทศที่ใช้ในอาหาร (CCSCH) สาขาสารปนเปื้อนในอาหาร (CCCF) เป็นต้น การประชุม ASEAN Food Safety Regulatory Framework Agreement (TF AFSRF) การประชุมสมัชชาใหญ่องค์การสุขภาพสัตว์โลก (OIE) การประชุมคณะกรรมาธิการมาตรการสุขอนามัยพืช ภายใต้อนุสัญญา IPPC ที่ให้การรับรองร่างมาตรฐานระหว่างประเทศด้านสุขอนามัยพืช (ISPMs) รวม 11 เรื่อง เป็นต้น การเชื่อมโยงการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตร :            ตรวจรับรองแหล่งจำหน่ายสินค้ามาตรฐาน Q Restaurant มากกว่า 2,858 ร้าน, Q Market 1,129 แผง,             Q Modern trade 757 แห่ง และตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ DGTFarm.com ที่มีสินค้ากว่า 710 ประเภท 

          นอกจากนี้ มกอช. ยังมีโครงการส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ได้มาตรฐานทั้งในระดับประเทศและระดับสากล โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การยกระดับการผลิตสินค้าเกษตร          ตามมาตรฐาน GAP การพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการส่งเสริมมาตรฐาน และการยกระดับมาตรฐาน              แหล่งแปรรูปตามมาตรฐาน GMP  ด้านการพัฒนาระบบนิเวศเกษตร ได้ดำเนินโครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ ซึ่งเป็น หนึ่งในภารกิจงานตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่              การยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรตามมาตรฐาน GAP การพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการส่งเสริมมาตรฐาน และการยกระดับมาตรฐานแหล่งแปรรูปตามมาตรฐาน GMP และอีกหนึ่งบทบาทสำคัญของ มกอช. คือ การลงนามพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรค         และตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สาม ระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในห้วงการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช อาเซียน-จีน    ครั้งที่ 7 โดย มกอช. ได้ร่วมกับกรมวิชาการเกษตรหารือกับฝ่ายจีน ส่งผลให้มีด่านนำเข้าและส่งออก            สินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น จำนวน 16 ด่าน ซึ่งนับเป็นผลงานความสำเร็จระดับประเทศ 



          ทั้งนี้ ในปี 2564 นี้ มกอช. ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2564 “สาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประเภทเปิดใจใกล้ชิดประชาชน ระดับดีเด่น” จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบบริหาราชการ (กพร.) โดยผลงานการทำงานร่วมกับภาคประชาชนในกระบวนการจัดทำมาตรฐานบังคับ ทุเรียนแช่เยือกแข็งเพื่อการส่งออก นำไปสู่การจัดทำมาตรฐาน เรื่อง การปฏิบัติที่ดีสำหรับการผลิตทุเรียนแช่เยือกแข็ง (มกษ. 9046-2560) ส่งผลให้มีพื้นที่ปลูกทุเรียนที่ได้รับการรับรอง GAP เพิ่มสูงขึ้น และสามารถส่งออกทุเรียนแช่เยือกแข็ง ไปยังตลาดโลกได้ คิดเป็นมูลค่ากว่า 6,400 ล้านบาท นับเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ความสำเร็จในการบริหารราชการของ มกอช. อย่างเป็นรูปธรรม 

           “อย่างไรก็ตาม ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ผู้บริโภคอาจจะมีความกังวลในเรื่องการบริโภคอาหารที่ปลอดภัย ทั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล เพียงต้องเลือกสินค้าที่ได้มาตรฐานและมีเครื่องหมายรับรอง เช่น เครื่องหมาย Q เครื่องหมายออร์แกนิค ไทยแลนด์ จากร้าน ที่ผ่านการตรวจสอบควบคุมจากหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งซื้อสินค้าเกษตรหรืออาหารที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ หรือหากไปนั่งรับประทานอาหารในร้านอาหาร ให้สังเกตป้าย Q Restaurant ซึ่งช่วยสร้าง  ความมั่นใจว่า ร้านอาหารนั้นใช้วัตถุดิบที่ได้มาตรฐานและปลอดภัย นอกจากนี้ การซื้อสินค้าจากช่องทางออนไลน์ ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ โดย มกอช. ได้พัฒนาแพลตฟอร์มที่เรียกว่า                 DGTFARM.COM ซึ่งเป็นแหล่งรวมสินค้าเกษตรที่ผ่านการรับรองมาตรฐานมาจำหน่าย ทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าเกษตรที่ได้มาตรฐานได้อย่างสะดวก เหมือนไปเดินเลือกซื้อสินค้าเองที่ห้างซุปเปอร์มาร์เก็ต              และสามารถมั่นใจได้ในคุณภาพและความปลอดภัยอีกด้วย” เลขาธิการ มกอช. กล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2564

มัดรวมเทคโนโลยีผลิตปาล์มน้ำมันคุณภาพส่งต่อเกษตรกรเมืองร้อยเกาะ ต้นทุนลด ผลผลิตเพิ่มจากเดิมกว่า 2 เท่า

 มัดรวมเทคโนโลยีผลิตปาล์มน้ำมันคุณภาพส่งต่อเกษตรกรเมืองร้อยเกาะ ต้นทุนลด ผลผลิตเพิ่มจากเดิมกว่า 2 เท่า



กรมวิชาการเกษตร  รวมชุดเทคโนโลยีผลิตปาล์มน้ำมันคุณภาพ   นำร่องถ่ายทอดชาวสวนปาล์มสุราษฎร์ธานี 95 ราย 11 อำเภอ  รวมพื้นที่กว่า 1,600 ไร่  พลิกรูปแบบถ่ายทอดเทคโนโลยีจากรับรู้เป็นเรียนรู้   เกษตรกรเข้าร่วมโครงการต้นทุนใช้ปุ๋ยลด 40 เปอร์เซ็นต์  ผลผลิตเพิ่มจากเดิมกว่า 2 เท่า ตั้งเป้าปีหน้าดาวกระจายเทคโนโลยีสู่เกษตรกรอีก 200 ราย  ครอบคลุมสวนปาล์มฯ  2,000 ไร่   สำนักงานก.พ.ร. ทึ่งผลงานเข้าถึงเกษตรกรมอบรางวัลเลิศรัฐ

 

นางสาวอิงอร  ปัญญากิจ  รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันส่วนใหญ่มีปัญหาด้านปริมาณและคุณภาพของผลผลิต ราคาจำหน่าย  ราคาปุ๋ยที่สูงขึ้น และสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง  ซึ่งกระทบต่อการผลิตปาล์มน้ำมัน ศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี  สถาบันวิจัยพืชไร่และพืชทดแทนพลังงาน  จึงได้จัดทำโครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืนด้วยนวัตกรรมปาล์มน้ำมันโดยประมวลเทคโนโลยีการผลิตปาล์มน้ำมันที่ได้จากการศึกษาวิจัยหลายด้านอย่างต่อเนื่องจัดเป็นแพคเกจหรือเป็นชุดเทคโนโลยีการจัดการการผลิตที่สนับสนุนการผลิตปาล์มน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย การให้น้ำด้วยระบบมินิสปริงเกอร์  การจัดการธาตุอาหารตามผลวิเคราะห์ดิน-ใบ การเก็บเกี่ยวปาล์มน้ำมันคุณภาพ  การประเมินปริมาณน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตโดยคํานวณปริมาณน้ำจากผลรวมของทุกขั้นตอนตลอดห่วงโซ่ของการผลิตปาล์มน้ำมัน การเพิ่มศักยภาพการใช้ที่ดินและประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ย  และการเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของปาล์มน้ำมัน

 






โครงการดังกล่าวได้คัดเลือกเกษตรกรกลุ่มเป้าหมายจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีซึ่งมีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันมากที่สุดในประเทศเข้าร่วมโครงการจำนวน 95 ราย 11 อำเภอ  รวมพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 1,680 ไร่   ซึ่งผลสำเร็จจากการดำเนินโครงการพบว่าเกษตรกรได้ผลผลิตปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10 เปอร์เซ็นต์ และลดต้นทุนค่าปุ๋ยได้ ถึง 40 เปอร์เซ็นต์  จากความโดดเด่นของผลงานดังกล่าวที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตให้แก่เกษตรกรเห็นผลอย่างชัดเจนทำให้ได้รับรางวัลเลิศรัฐประจำปี 2564 จากสำนักงานก.พ.ร. ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้แก่หน่วยงานภาครัฐที่มีความโดดเด่นในการพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการ และมุ่งมั่นปฏิบัติราชการจนประสบความสำเร็จและมีความเป็นเลิศแห่งหน่วยงาน 

 



นางสาววิชณีย์  ออมทรัพย์สิน  นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ  ศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า การดำเนินการในโครงการครั้งนี้ได้ปรับเปลี่ยนแนวคิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีโดยเปลี่ยนจากให้เกษตรกร “รับรู้” เป็น “เรียนรู้” โดยจัดฝึกอบรมและฝึกปฏิบัติให้แก่เกษตรกร   และโครงการได้จัดซื้อวัสดุให้น้ำแบบมินิสปริงเกอร์แก่เกษตรกรไม่เกิน 10 ไร่ต่อราย  พร้อมอบรมวิธีการติดตั้งระบบให้น้ำโดยเน้นให้เกษตรกรเรียนรู้จากการปฏิบัติด้วยตนเอง   ซึ่งการจัดการธาตุอาหารได้ตรงตามความต้องการของปาล์มน้ำมันส่งผลให้ผลผลิตปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้นได้เต็มศักยภาพของพันธุ์ปาล์มน้ำมัน เกษตรกรได้รับรายได้จากน้ำหนักผลผลิตทะลายที่เพิ่มขึ้น  และไม่มีการคัดทะลายคืนกลับจากแหล่งรับซื้อ เนื่องจากเกษตรกรเก็บเกี่ยวปาล์มน้ำมันคุณภาพ  

 

ศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานีจะให้ความรู้ทั้งหมดแก่เกษตรกรและมีนักวิชาการลงพื้นที่เก็บข้อมูลเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อนำไปวิเคราะห์คำนวณต้นทุนว่าต้นปาล์มแต่ละต้นใช้ต้นทุนเท่าไหร่  โดยมีตัวอย่างสวนปาล์มน้ำมันที่เข้าร่วมโครงการปี 2562 คือ นายสัมพันธ์ ฉิมพักดี ข้าราชการครูบำนาญได้ผันตัวเองมาเป็นเกษตรกรชาวสวนปาล์มฯ  ซึ่งจากการเข้าร่วมโครงการทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นตามลำดับจากปี 2562 ได้ผลผลิต 1.20 ตัน/ไร่  ปี 2563 ได้ผลผลิต 2.34 ตัน/ไร่  และปี 2564 ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 3.19 ตัน/ไร่  โดยภาพรวมได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นจากปี 2562 กว่า 2 เท่า

 



ประเด็นสำคัญที่ทำให้โครงการประสบความสำเร็จคือการสร้างการรับรู้และความเข้าใจถึงกลไกธรรมชาติของปาล์มน้ำมันที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับผลผลิตทำให้เกษตรกรเข้าใจว่าการให้น้ำและปุ๋ยมีความสัมพันธ์กันและมีผลต่อการให้ผลผลิตอย่างมาก  โดยทะลายปาล์มที่ออกมาจากเกษตรกรภายในโครงการจะเป็นทะลายปาล์มที่มีอัตราการสกัดน้ำมันเพิ่มขึ้น   ซึ่งในปีต่อไปมีแผนที่จะขยายผลโครงการการใช้นวัตกรรมปาล์มน้ำมันไปยังสวนปาล์มน้ำมันของเกษตรกรอีก 5 จังหวัด ประกอบด้วย ชุมพร           สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา เป้าหมายเกษตรกรรวมจำนวน 200 ราย ครอบคลุมพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันจำนวน 2,000 ไร่   ซึ่งในขณะนี้มีเกษตรกรในพื้นที่ดังกล่าวแจ้งความจำนงเข้าร่วมโครงการเกือบครบตามเป้าหมายแล้ว

*****************************************

วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2564

คนไทยไม่ทิ้งกัน!! ซีพี-ซีพีเอฟระดมกำลังลงพื้นที่ส่งมอบอาหาร-น้ำดื่มช่วยผู้ประสบอุทกภัยในหลายพื้นที่ต่อเนื่อง

 คนไทยไม่ทิ้งกัน!! ซีพี-ซีพีเอฟระดมกำลังลงพื้นที่ส่งมอบอาหาร-น้ำดื่มช่วยผู้ประสบอุทกภัยในหลายพื้นที่ต่อเนื่อง




จากสถานการณ์น้ำท่วมสูงในหลายพื้นที่ของประเทศ ยังคงส่งผลกระทบกับประชาชนไทย ภาคเอกชนอย่างเช่น เครือซีพี และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เป็นได้ระดมจิตอาสาลงพื้นที่นำอาหาร น้ำดื่ม ภายใต้โครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม” ไปช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ประสบอุทกภัยอย่างเต็มกำลังหลายพื้นที่ทั้ง จ.ชัยภูมิ เพชรบูรณ์ นครราชสีมา นครสวรรค์   ล่าสุด จิตอาสาซีพี-ซีพีเอฟ ยังได้นำไข่ไก่สด อาหารพร้อมรับประทาน และน้ำดื่มไปส่งมอบถึงมือผู้เดือดร้อนใน จ. นครสวรรค์และนครราชสีมา อย่างต่อเนื่อง


นายปิติพงษ์ ธงภักดี ผู้แทนซีพีเอฟ นำชาวซีพี-ซีพีเอฟจิตอาสา ลงพื้นที่ตำบลท่าตะโก อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ ที่ยังมีน้ำท่วมสูง 1-2 เมตร ทำให้การสัญจรถูกตัดขาด การเข้าถึงชุมชนเป็นไปอย่างยากลำบาก ต้องใช้เรือท้องแบนในการนำผลิตภัณฑ์ไข่ไก่สด น้ำดื่มซีพี และอาหารแห้ง ไปมอบถึงมือพี่น้องชาวท่าตะโก สำหรับเป็นวัตถุดิบประกอบอาหารบริโภค ในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนอย่างเร่งด่วน 






สถานการณ์อุทกภัยนี้เกิดจากฝนที่ตกหนักต่อเนื่องหลายวัน ทำใหัมีน้ำป่าจากเพชรบูรณ์ ไหลมารวมกับน้ำจากอ่างเก็บน้ำห้วยใหญ่ จนเกิดท่วมสูง สร้างความเสียหายให้กับหลายพื้นที่ อำเภอท่าตะโกก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน หลายครอบครัวบ้านถูกน้ำท่วมสูง ข้าวของเสียหาย มีคนชราและคนป่วยที่ต้องอาศัยในบ้านที่มีน้ำขัง อาหารกับน้ำดื่มขาดแคลนมาก ชาวบ้านต้องหาปลาตามน้ำที่หลากมาเพื่อประทังชีวิต บางจุดไม่มีน้ำดื่ม ชาวชุมชนท่าตะโกที่ได้รับน้ำใจจากบริษัท ต่างขอบคุณซีพีและซีพีเอฟ ที่นำอาหารมามอบให้ซึ่งช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นได้


ทางด้าน ศูนย์อำนวยการสถานการณ์น้ำท่วม อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา ณ ที่ว่าการอำเภอโนนสูง พันจ่าโททวี พิมพ์อุบล นายอำเภอโนนสูง และนายพินิจ จตุรโกมล ปศุสัตว์อำเภอโนนสูง รับมอบอาหารปรุงสุกพร้อมรับประทาน และน้ำดื่มซีพี เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับชาวชุมชน ที่ได้รับผลกระทบจากมวลน้ำที่ไหลมาจากอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกร เข้าท่วมพื้นที่พักอาศัย และขอขอบคุณการสนับสนุนที่ได้รับจากซีพี-ซีพีเอฟในครั้งนี้ ที่สามารถช่วยคลายความเดือดร้อนด้านอาหารให้กับพี่น้องประชาชนได้ โดยมี นายศุภวิชญ์ โชติมุข ผู้แทนซีพีเอฟ และทีมซีพีเอฟจิตอาสาจากธุรกิจสุกร ร่วมมอบผลิตภัณฑ์ 






สำหรับความช่วยเหลือของซีพีเอฟดังกล่าว เริ่มดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เริ่มต้น โดยกระจายกำลังสนับสนุนด้านอาหารในหลายพื้นที่ประสบเหตุอุทกภัย ได้แก่ อำเภอศรีเทพ และอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์, อำเภอท่าตะโก และอำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์, อำเภอโนนไทย อำเภอโนนสูง และอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา, อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ เพื่อให้คนไทยเข้าถึงอาหารและของใช้ที่จำเป็นอย่างเพียงพอในยามที่ประสบกับสถานการณ์น้ำท่วม./

มกอช. ร่วมประชุม Vtrtual meeting คณะกรรมการโคเด็กซ์ สาขาฉลากอาหาร ครั้งที่ 46

 มกอช. ร่วมประชุม Vtrtual meeting คณะกรรมการโคเด็กซ์ สาขาฉลากอาหาร ครั้งที่ 46 



นายพิศาล พงศาพิชณ์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) พร้อมด้วย​ นางอรทัย ศิลปนภาพร ที่ปรึกษา มกอช. นำทีมผู้แทนไทยจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมประชุมคณะกรรมการโคเด็กซ์ สาขาฉลากอาหาร หรือ Codex Committee on Food Labelling (CCFL) ครั้งที่ 46 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 กันยายน – 2 ตุลาคม 2564 โดยมีผู้แทนหน่วยงาน Canadian Food Inspection Agency ประเทศแคนาดา Ms. Kathy Twardek เป็นประธานการประชุม และมีผู้แทนประเทศสมาชิกและผู้สังเกตการณ์เข้าร่วมมากกว่า 300 คน 






ในการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบร่างมาตรฐานการแสดงฉลากภาชนะบรรจุที่ไม่ได้จำหน่ายโดยตรงต่อผู้บริโภค (Draft General Standard for the Labelling of Non-retail Container) และแนวทางการแสดงฉลากโภชนาการหน้าบรรจุภัณฑ์ (Draft Guidance on the Front-of-pack Nutrition Labelling) รวมถึงเห็นชอบงานใหม่เรื่องการใช้เทคโนโลยีในการแสดงฉลากอาหาร (Use of Technology in Food Labelling) นอกจากนี้ ได้เห็นชอบข้อกำหนดการแสดงฉลากของมาตรฐานโคเด็กซ์ที่เสนอจากคณะกรรมการโคเด็กซ์ 7 คณะ รวม 23 เรื่อง รวมถึงเรื่องที่ประเทศไทยร่วมเป็นผู้ร่างมาตรฐาน ได้แก่ มาตรฐานสำหรับผลไม้แห้ง และมาตรฐานสำหรับผลไม้รวมกระป๋อง ที่กำหนดโดยคณะกรรมการโคเด็กซ์ สาขาผักและผลไม้แปรรูป ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมให้ความเห็นเพื่อปรับแก้ไขรายละเอียดร่างเอกสารต่างๆ ให้มีความยืดหยุ่นในทางปฏิบัติ แต่ยังคงระดับความคุ้มครองผู้บริโภค โดยให้การแสดงฉลากและข้อมูลของอาหารครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด 




ทั้งนี้​ ที่ประชุมอยู่ระหว่างการยกร่าง​ เรื่อง​แนวทางการแสดงข้อมูลอาหารผ่านระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-commerce) แนวทางการแสดงฉลากสารก่อภูมิแพ้ (allergen labelling) และแนวทางการแสดงฉลากเตือน (precautionary labelling) ซึ่ง มกอช. จะติดตามประเด็นสำคัญในงานของคณะกรรมการโคเด็กซ์ สาขาฉลากอาหารอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ได้แนวทางสากล​ สามารถปกป้องผู้บริโภคในประเทศ​ และผู้เกี่ยวข้องในประเทศสามารถปฏิบัติได้ ไม่ก่อให้เกิดอุปสรรคทางการค้าต่อสินค้าเกษตรและอาหารของประเทศไทยต่อไป




วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564

จินดาสมุนไพร ส่งสิ่งของช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม จ.ชัยภูมิ

 จินดาสมุนไพร ส่งสิ่งของช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม จ.ชัยภูมิ




จากเหตุการณ์น้ำท่วมเมืองชัยภูมิในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้บ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ภัยพิบัติหลายครัวเรือน แม้ว่าน้ำจะลดลงบ้างแล้วแต่ก็ยังมีน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่  หลายหมู่บ้านยังคงเดินทางเข้าออกไม่ได้ 

นายไชยกร นิธิคณาวุฒิ ประธานกรรมการบริษัทจินดาสมุนไพร จำกัด กล่าวว่า จินดาสมุนไพร มองเห็นความเดือดร้อนของประชาชน อีกทั้งยังมีหมู่บ้านของพนักงานจินดาสมุนไพรได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ด้วย จึงได้จัดหาสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นอย่างน้ำดื่ม สินค้าอุปโภค บริโภค ยารักษาโรค ผลิตภัณฑ์แชมพู โดยสิ่งของทั้งหมดมีลูกค้า และผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันสมทบทุนจัดซื้อเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปให้ได้ 






ทั้งนี้ จินดาสมุนไพร ได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือชาวบ้าน  บ้านโนนหว้านไพล ต.ชีลอง อ.เมือง จ.ชัยภูมิ ซึ่งเป็นหมู่บ้านในพื้นที่ลุ่มต่ำในเขตอำเภอเมืองชัยภูมิ ที่ยังคงมีน้ำท่วมขัง หลายบ้านยังคงจมน้ำอยู่ และสิ่งของจำเป็นเหล่านี้น่าจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านได้เป็นอย่างดี


“วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” เทศกาลสัตว์น้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

  เปิดประสบการณ์ความมหัศจรรย์ของโลกใต้น้ำกับ FISHTIVAL 2025   ที่ยกทัพพาเหรดสัตว์น้ำกว่า 3,000 ตู้ ในงาน “วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” ...