วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

มส.ผส.แนะรัฐบาล เตรียมพร้อมรับมือสังคมผู้สูงอายุ ชี้ปี64 ตัวเลขผู้สู้อายุพุ้งสูงกว่าร้อยละ18 ของประขากรของประเทศไทยขณะที่" หมอ ประเวศ "วอนสังคมให้ความสนใจผู้สูงอายุ ให้มากกว่าที่เป็นอยู่

 

มส.ผส.แนะรัฐบาล เตรียมพร้อมรับมือสังคมผู้สูงอายุ ชี้ปี64 ตัวเลขผู้สู้อายุพุ้งสูงกว่าร้อยละ18 ของประขากรของประเทศไทยขณะที่" หมอ ประเวศ "วอนสังคมให้ความสนใจผู้สูงอายุ ให้มากกว่าที่เป็นอยู่

 


30 พ.ย. 2564 มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) จัดงานนำเสนอผลการวิจัยและเผยแพร่ข้อมูลสู่สาธารณะเพื่อเตรียมรองรับการเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์เป้าหมาย ด้านสังคม แผนงานศักยภาพและโอกาสของผู้สูงอายุ โดย มีนพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ ประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย เป็นประธานเปิดงานที่ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว

 

นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า จากข้อมูลสัดส่วนของผู้สูงอายุในประเทศไทยพบว่าเกินกว่าร้อยละ 10  ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมาตั้งแต่ปี 2548  ซึ่งตลอด 14 ปี โดยปี2564 ประเทศไทยมีตัวเลขผู้สูงวัยกว่าร้อยละ18 ของประชากรรวมของประเทศซึ่งปีนี้เข้าสู่ปีที่ 15 ในการก่อตั้งมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุ ได้ส่งเสริมงานวิจัยและขับเคลื่อนคุณภาพชีวิต พร้อมทั้งพัฒนาหลักสูตร องค์ความรู้ต่าง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมผู้สูงอายุในทุกรูปแบบ ไม่ว่าการจะจัดองค์ความรู้ อบรมหลักสูตรโรงเรียนผู้สูงอายุร่วมกับกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกรมการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาวิทยาลัยในการจัดทำต้นแบบชุดหลักสูตรความรู้ที่เหมาะสมในการจตัดตั้งผู้สูงอายุ และดำเนินการจัดทำรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุ

 



สำหรับการเตรียมพร้อมการที่จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่ผ่านมาถึงปัจจุบันมีนโยบาย แผน และแนวทางในการพัฒนาและส่งเสริมผู้สูงอายุมากมาย แต่เมื่อดูในเชิงปฎิบัติ กลับพบว่า ไม่ได้มีการใช้สมาคม มูลนิธิ หรือกองทุนของผู้สูงอายุอย่างจริงจัง เป็นการดำเนินการที่หน่วยงานต่าง ๆ ต้องจัดการเอง ซึ่ง 3 เรื่องที่ต้องเร่งเตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ มีดังนี้ 1.ระบบสาธารณสุข มุ่งเน้นการรักษา ป้องกันโรคปัจจุบัน มากกว่าความถดถอยตามสภาพร่างกายของผู้สูงอายุและโรคเรื้อรังต่างๆ ในกลุ่มผู้สูงอายุ  

 

2.ระบบสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ ยังไม่มีการกำหนดสวัสดิการรองรับผู้สูงอายุอย่างดี ทั้งการขนส่ง สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ หรือเรื่องเบี้ยยังชีพสำหรับผู้สูงอายุก็ยังไม่ชัดเจน รวมถึงสิทธิบัตรทอง ระบบการรักษาพยาบาลต่างๆ และ3.ระบบงบประมาณในการส่งเสริมพัฒนากลุ่มผู้สูงอายุ จากนี้ไปรัฐบาลควรจะหันมาให้ความสนใจในการกำหนดนโยบายในการรองรับ กลุ่มผู้สูงวัยให้มีความชัดเจนกว่าที่เป็นอยู่  โดยเฉพาะเรื่องสวัสดิการผู้สูงวัยทั้งระบบ โดยจะต้องมีการสร้างกลไกให้เกิดหน่วยงานเข้ามารับผิดชอบในการดูแลผู้สูงกว่าที่เป็นอยู่ รวมทั้งสร้างความเข้มแข็งทางด้านสังคม เพื่อให้ครอบครัวสามารถที่จะดูแลผู้สูงวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 



"รัฐบาลควรให้ความสนใจในการกำหนดแนวทางในการดูแลผู้สูงวัยให้มีความชัดเจนมากขึ้นโดยเฉพาะเรื่องสวัสดิการต่าง ๆ ขณะเดียวกันควรให้ความสำคัญเรื่องที่อยู่อาศัยของผู้สูงวัย ที่สำคัญควรดูเรื่องของสังคมให้มั่นคงโดยจะต้องมีการสร้างความเข้มแข็งของสังคมให้เขารู้สึกดูแลผู้สูงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งจะทำให้ไม่เป็นปัญหาในอนาคต  โดยจะต้องมีหน่วยงานที่เข้ามาดูแลที่ชัดเจนมากขึ้น แม้ว่าเราจะมีคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติแต่ก็ยังไม่มีระบบที่ชัดเจนดังนั้นต้องเพิ่มบทบาทในการขับเคลื่อน นโยบายและดำเนินการให้มากขึ้น "นพ.สมศักดิ์กล่าว

 



ศาสตราจารย์เกียรติคุณนพ.ประเวศ วะสี  ราษฎร์อาวุโส กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง"ประเทศไทยต้องเดินแบบไหน ถึงจะใช้ชีวิตสูงวัยได้อย่างมีคุณภาพ" ว่า ประเทศที่ถือว่าเป็นประเทศพัฒนาส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญในเรื่องการดูแลผู้สูงวัยเป็นหลัก และแนวโน้มทั่วโลกสังคมผู้สูงวัยก็มีตัวเลขเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องโดยสังคมปัจจุบันเท่ากับสังคมแบบ 99:1 คือ เป็นสังคมที่เหลื่อมล้ำสุดๆ การพัฒนาจะเป็นประโยชน์ต่อคนเพียงร้อยละ  1 ส่วนคนร้อยละ 99 ไม่ได้รับผลประโยชน์ ซึ่งสังคมไทยเป็นสังคมแบบตัวใครตัวมัน

 





ทั้งนี้สาเหตุที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งเกิดจากการพัฒนาแบบแยกส่วน เศรษฐกิจ  ไม่ได้เอาชีวิตเป็นตัวตั้งแต่เอาจีดีพีเป็นตัวตั้ง ขณะที่การศึกษาไม่ได้เอาชีวิตเป็นตัวตั้ง แต่เอาวิชาเป็นตัวตั้ง การพัฒนาแบบนี้จะนำไปสู่การเสียสมดุลในทุกมิติ ทำให้ชีวิตถูกทอดทิ้ง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เด็กและคนพิการ ขณะนี้ผู้สูงวัยในไทย จน แก่ ป่วย ถูกทอดทิ้งเปลี่ยวเหงา รู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ และการเข้าถึงบริการต่าง ๆ ก็มีราคาแพง เมื่อผู้สูงอายุรู้สึกว่าตัวเองไม่มีประโยชน์จะกระทบต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ ทั้งที่ผู้สูงอายุมีประโยชน์ มีประสบการณ์มากมาย ภาครัฐต้องเร่งแก้ไขให้ผู้สูงอายุเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ง่าย ดีและมีคุณภาพ มีบริการที่ฟรีแก่ผู้สูงอายุให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต่อไปด้วย

 

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

“ศูนย์เรียนรู้สวนป่ารักษ์นิเวศ โครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร” ซีพีเอฟหนุนชุมชนบริหารจัดการพื้นที่ป่าอย่างยั่งยืน

 

“ศูนย์เรียนรู้สวนป่ารักษ์นิเวศ โครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร” ซีพีเอฟหนุนชุมชนบริหารจัดการพื้นที่ป่าอย่างยั่งยืน

 



“โครงการสวนป่าชุมชนหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร” หนึ่งในโครงการที่คว้ารางวัล "Hall of Fame" จากการประกวด "รางวัล 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน ประจำปี 2563" (CPF CSR Awards  2020) มารู้จักและติดตามความคืบหน้าของโครงการฯ ที่สร้างกลไกการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนร่วมบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้และต้นไม้ในพื้นที่  เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของชุมชน และรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน    

 






“โครงการสวนป่าชุมชนหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร” ภายใต้ “โครงการซีพีเอฟรักษ์นิเวศ” เป็นศูนย์การเรียนรู้ป่านิเวศชุมชนและต้นแบบปลูกป่าเชิงนิเวศในฟาร์มสุกรแห่งแรกของไทย เกิดจากแนวคิดพลิกพื้นที่ว่างเปล่าในฟาร์มเลี้ยงสุกรเป็นป่านิเวศในชุมชน เมื่อปี  2557 จากความมุ่งมั่นของซีพีเอฟ และเกษตรกรในโครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร ต.เทพนคร อ.เมือง จ.กำแพงเพชร  พร้อมทั้งภาคีเครือข่าย ภาครัฐ และชุมชน ร่วมกันสร้างธุรกิจฟาร์มสุกรรูปแบบใหม่ ที่มุ่งเน้นความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยจัดทำเป็นสวนป่านิเวศในฟาร์มสุกร มีการนำของเสียที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตสุกร นำปุ๋ยและมูลสุกรมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และยังช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้แก่ชุมชนและประเทศอย่างยั่งยืน

 


การดำเนินโครงการฯ เน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อให้ศูนย์การเรียนรู้ป่านิเวศชุมชน บนพื้นที่กว่า 30 ไร่ เป็นแหล่งรวบรวมป่า 6 ประเภท ทั้งป่าพันธุ์ไม้หายาก ป่าชายน้ำ ป่านิเวศแนวป้องกัน ป่าเต็งรัง ป่าเศรษฐกิจ และป่าเบญจพรรณ มีต้นไม้มากกว่า 24,000 ต้น เป็นพันธุ์พืชกว่า 200 ชนิด พันธุ์ไม้หายากกว่า 140 ชนิด และยังมีพันธุ์สัตว์ที่อาศัยในผืนป่าอีกกว่า 70 ชนิด  โดยมีฐานการเรียนรู้ 3 ฐาน  พร้อมนำ QR Code มาใช้ เพื่อการเรียนรู้ด้วยตัวเอง และพัฒนาโปรแกรมการศึกษาดูงาน (Integrated Learning Center) ที่เหมาะสมให้แก่กลุ่มที่เข้าเยี่ยมชม ทั้งชาวชุมชน สถานศึกษาในท้องถิ่น และผู้ที่สนใจเข้าและเยี่ยมชมได้ตลอดทั้งปี 

 



วันนี้....  ต้นไม้ที่ปลูกไว้เติบโตเป็นป่านิเวศที่สมบูรณ์ สร้างความหลากหลายทางชีวภาพ เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ชุมชน  มีแหล่งอาหาร เป็นแหล่งเรียนรู้วิธีการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ที่ช่วยสร้างจิตสำนึกรักษ์ธรรมชาติ และสามารถนำไปต่อยอดปลูกในพื้นที่อื่นๆได้   

 

ชวนไปชม "โครงการสวนป่าชุมชนหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร" คลิก >> https://www.youtube.com/watch?v=iekbvr8dgAU

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

คอนแทรคฟาร์มซีพีเอฟ ชูเทคโนโลยียกระดับการเลี้ยงหมูสู่สมาร์ทฟาร์ม ผลิตอาหารปลอดภัย

 

คอนแทรคฟาร์มซีพีเอฟ  ชูเทคโนโลยียกระดับการเลี้ยงหมูสู่สมาร์ทฟาร์ม ผลิตอาหารปลอดภัย

 

เกษตรทันสมัยสู่ฟาร์มอัจฉริยะ หรือ  สมาร์ท ฟาร์ม  การนำนวัตกรรม เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์มาใช้ เป็นแนวทางใหม่ที่เกษตรกรให้ความสำคัญ เพื่อนำไปสู่การเพิ่มผลผลิต  เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต และพัฒนาภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในกระบวนการเลี้ยงสัตว์  "สมาร์ท ฟาร์ม " นอกจากเป็นการทำการเกษตรที่ทันสมัย  สามารถวางแผนการทำงานได้อย่างแม่นยำแล้ว ยังตอบโจทย์การผลิตอาหารปลอดภัยเพื่อส่งมอบให้กับผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

 



ฟาร์มสุขสำราญ อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี  ฟาร์มเลี้ยงสุกรในรูปแบบสมาร์ท ฟาร์ม เต็มรูปแบบ ซึ่งเจ้าของฟาร์มในวัย  46 ปี  "วุฒาฤทธิ์ สันติวิชัยกุล" หรือ วุฒ เจ้าของกิจการโรงสีข้าวและโรงงานไม้สัก ที่ตัดสินใจผันตัวเองมาเป็นเกษตรกรเลี้ยงหมู เริ่มต้นจากความสนใจทำฟาร์มเลี้ยงหมูเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ประกอบกับได้รับการชักชวนและคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ  เข้ามาชักชวนว่ากำลังขยายโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสุกร (ฝากเลี้ยง) หรือคอนแทรคฟาร์ม ในพื้นที่ อ.สิรินธร จึงศึกษาระบบฯอย่างจริงจัง  ตระเวนดูงานในฟาร์มหมูของเกษตรกรคอนแทรคฟาร์มรายอื่นๆ พบว่าเป็นระบบที่มีมาตรฐาน ทั้งเรื่องระบบการเลี้ยงและการให้ผลตอบแทน จึงตัดสินใจสร้างฟาร์มสุขสำราญ เมื่อปลายปี 2562 บนพื้นที่ 84 ไร่ มีโรงเรือนเลี้ยงหมูขุน 8 หลัง ความจุรวม 14,000 ตัว

 





วุฒาฤทธิ์ ถ่ายทอดประสบการณ์และแนวคิดการทำสมาร์ทฟาร์มว่า เขานำเทคโนโลยีเต็มรูปแบบมาใช้  ทั้งระบบให้อาหารอัตโนมัติ ที่ช่วยลดแรงงาน ไม่ใช้คนเข้าไปให้อาหารในโรงเรือน เพื่อให้คนสัมผัสตัวสัตว์น้อยที่สุด  ลดความเสี่ยงการนำโรคต่างๆเข้าสู่ฝูงสัตว์ ตามมาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity)  มีการติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ทั้งภายในโรงเรือนเลี้ยงและภายนอก  ภาพทั้งหมดเชื่อมต่อเข้ามือถือ ทำให้สามารถติดตามความเป็นอยู่ของสัตว์ เห็นภาพรวมภายในโรงเรือน และเห็นการทำงานของอุปกรณ์รวมถึงคนเลี้ยงได้ตลอดเวลา หากสภาพแวดล้อมไม่เป็นไปตามค่ามาตรฐานที่กำหนด ก็สามารถปรับแก้ไขได้ทันท่วงที มีการสั่งงานผ่าน CCTV ช่วยให้สื่อสารกับคนเลี้ยงได้อย่างรวดเร็ว  ระบบสามาร์ทฟาร์มยังทำให้มีข้อมูลขนาดใหญ่ ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลการผลิต ต้นทุนต่อตัว และวางแผนการเลี้ยงได้

 



วุฒ เล่าต่อว่า ฟาร์มสุขสำราญ  ลงทุนระบบป้องกันโรค หรือ Biosecurity ขั้นสูงสุด เพราะถือเป็นกุญแจสำคัญของการป้องกันโรคไม่ให้เข้าสู่ฝูงสัตว์ ด้วยการทำฟาร์มระบบปิด ทางเข้า-ทางออกของหมูแยกออกจากกัน แยกส่วนพักอาศัย ส่วนเลี้ยงสัตว์ และพื้นที่ขายหมูอย่างชัดเจน ควบคู่กับการซีล (Seal) ให้บุคลากรที่ทำงานฟาร์มพักอาศัยอยู่ภายในฟาร์ม งดการออกนอกพื้นที่ และดูแลความเป็นอยู่อย่างดีที่สุด เพื่อการป้องกันและควบคุมความเสี่ยงต่อการนำโรคจากภายนอกเข้ามาสู่ฟาร์ม ก่อนเข้าทำงานในฟาร์มทุกคนต้องอาบน้ำ-สระผม เปลี่ยนชุดและรองเท้าที่เตรียมไว้ให้เท่านั้น และห้ามบุคคลภายนอกเข้าฟาร์มโดยไม่ได้รับอนุญาต

 

การลงทุนทั้งระบบป้องกันโรคที่เข้มงวดและระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะการป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่าแก้ไขในภายหลัง  ขณะเดียวกัน  เราให้ความสำคัญกับมาตรฐานการผลิตที่ดี ทั้งมาตรฐานฟาร์มของกรมปศุสัตว์ และยึดหลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal  Welfare) โดยไม่มีการกั้นคอกเลี้ยง หมูทุกตัวมีอิสระจะอยู่ในคอกไหนก็ได้  กิน นอน ขับถ่ายได้อิสระ มีอาหารและน้ำอย่างเพียงพอ เมื่อหมูอยู่สบาย จึงไม่เครียด การเจริญเติบโตก็ดีตามไปด้วย ระบบทั้งหมดนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยง และส่งเสริมการผลิตเนื้อสัตว์คุณภาพ ปลอดภัย ปลอดโรควุฒาฤทธิ์ กล่าว

 

ด้วยคำนึงถึงการอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างยั่งยืน และมีสภาพแวดล้อมที่สวยงามน่าอยู่ ฟาร์มสุขสำราญ ยึดแนวกรีนฟาร์ม (Greenfarm) ของซีพีเอฟ  โดยเลี้ยงสัตว์ในโรงเรือนปิดแบบอีแวป  ช่วยให้สภาพอากาศภายในโรงเรือนเหมาะสมทำให้หมูอยู่สบาย และช่วยป้องกันเรื่องกลิ่นและสัตว์พาหะต่างๆ มีระบบส้วมน้ำ ที่ช่วยแบ่งแยกจุดขับถ่ายในคอกเลี้ยง ทำให้คอกสะอาดและช่วยลดการใช้น้ำในการล้างคอก  มีระบบฟอกอากาศท้ายโรงเรือน  ลดกลิ่นเหม็นและกลิ่นแก๊สแอมโมเนียได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเพิ่มระบบพ่นน้ำยาปรับอากาศ และมีระบบไบโอแก๊ส ที่ทั้งลดกลิ่นและได้ก๊าซชีวภาพที่เป็นพลังงานสะอาด ผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าใช้ภายในฟาร์ม ช่วยลดต้นทุนด้านไฟฟ้าได้มากกว่า 80%

 

จากความสำเร็จของฟาร์มสุกรแห่งแรก ในเวลาอีกไม่ถึงปี วุฒาฤทธิ์ ตัดสินใจขยายฟาร์มเลี้ยงหมูขุนแห่งที่สอง ที่ อ.พิบูลมังสาหาร จำนวน 12 โรงเรือน บนพื้นที่ 128 ไร่ เริ่มเข้าเลี้ยงหมู  ในช่วงเดือนมกราคม 2565 นี้  เขาบอกว่า  เมื่อก่อนเรามองเรื่องการเลี้ยงหมูอาจดูว่าไม่ค่อยมีมาตรฐาน หมูกินเศษอาหาร และมีกลิ่นเหม็น จนเมื่อได้เป็นเกษตรกรทำคอนแทรคฟาร์มกับซีพีเอฟ ถึงรู้ว่าที่เราคิดนั้นต่างกันราวฟ้ากับดิน เพราะการเลี้ยงมีมาตรฐาน หมูสะอาด กินอาหารที่ดี ไม่มีการใช้สารเคมี  ไม่มีการใช้สารเร่งเนื้อแดง และกว่าจะเข้าฟาร์มได้ต้องทำความสะอาด อาบน้ำ ฆ่าเชื้อ โรงเรือนไม่มีแมลงเข้า หมูอยู่เย็น สบาย มีความสุข ผลผลิตจึงมีคุณภาพ ปลอดสารปลอดภัย ปลอดโรค ในฐานะเกษตรกรรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการผลิตอาหารปลอดภัยให้กับผู้บริโภควุฒาฤทธิ์ กล่าว

 



บุญเลิศ มาศผล หรือ เลิศ  เจ้าของ ฟาร์มมาศผล ต.กะเฉด อ.เมือง จ.ระยอง อายุ 54  ปี  เป็นเกษตรกรอีกรายที่ประสบความสำเร็จกับอาชีพเลี้ยงหมู  หลังจากตัดสินใจเปลี่ยนทุเรียนมาทำฟาร์มหมูขุนกับซีพีเอฟ ตั้งแต่ปี 2552 เลี้ยงหมูขุน 3,000 ตัว ด้วยระบบการเลี้ยงมาตรฐานของซีพีเอฟที่ได้รับการรับรองมาตรฐานฟาร์มจากกรมปศุสัตว์  นำเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติมาใช้ ภายใต้การเลี้ยงระบบปิด โรงเรือนอีแวปที่มีระบบส้วมน้ำเต็มรูปแบบ ใช้ไบโอแก๊สในการจัดการกับของเสียภายในฟาร์ม ได้ประโยชน์ทั้งในแง่สิ่งแวดล้อมและได้พลังงานไฟฟ้าใช้ภายในฟาร์ม ช่วยลดค่าไฟฟ้าได้ 100% ติดตามสภาพแวดล้อมในฟาร์มด้วยกล้อง CCTV ส่วนระบบการให้อาหาร ระบบน้ำ พัดลมระบายอากาศ มีเซนเซอร์ควบคุม ขณะที่อุณหภูมิ ความชื้น และความเร็วลม จะควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์  ส่งคำสั่งผ่านสมาร์ทปลั๊กในโรงเรือน

 



จากฟาร์มหมูขุนแห่งแรก ต่อยอดสู่มาศผลฟาร์ม 2 อ.เมือง จ.สระแก้ว เลี้ยงหมูขุน 6,000 ตัว เมื่อปี 2556 เป็นฟาร์มที่ติดตั้งระบบอัตโนมัติเช่นเดียวฟาร์มแรก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต พร้อมทั้งนำระบบโซลาร์เซล  ขนาด 20 กิโลวัตต์ มาใช้ควบคู่กับไบโอแก๊ส ทำให้ ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าจากการไฟฟ้าเลย บางช่วงเวลามีไฟฟ้าเหลือใช้ด้วยจากขุมพลังของทั้งโซลาร์เซล และไบโอแก๊ส  ทั้งฟาร์มและบ้านพักใช้พลังงานสะอาดทั้งหมด ตั้งแต่ระบบปั๊มน้ำ การใช้พัดลม และการจัดการน้ำเสียในกระบวนการผลิต

 




การนำระบบอัตโนมัติมาช่วยในกระบวนการเลี้ยงหมู  ทำให้สามารถควบคุมกระบวนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทุกวันนี้ การเลี้ยงหมูทั้ง 2 ฟาร์ม มีการติดตามผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์  ด้วยระบบสมาร์ทฟาร์มที่ช่วยให้มองเห็นความเป็นอยู่ของหมู กิจกรรมในฟาร์ม การทำงานของบุคลากร ซึ่งที่ฟาร์มมีคนเลี้ยงเพียง 2 คน มีหน้าที่หลัก คือ ทำความสะอาด อาบน้ำหมู และดูสุขภาพหมู  หากไม่มีงานเร่งด่วนจะไม่เข้าไปในโรงเริอนเลย เพื่อลดการสัมผัสฝูงสัตว์  ลดการนำเชื้อโรคต่างๆเข้าสู่ตัวหมู  การลงทุนกับระบบสมาร์ทฟาร์มถือว่าคุ้มค่ามากกับผลตอบแทนการเลี้ยงที่ได้รับ ซึ่งดีขึ้นเป็นลำดับตลอด 12 ปีที่ยึดอาชีพนี้"  บุญเลิศ กล่าว

 

ความสำเร็จทั้งหมดนี้ บุญเลิศบอกว่า มีซีพีเอฟเป็นเพื่อนที่ช่วยผลักดันมาตลอด ทำให้ชาวสวนที่ไม่เคยรู้เรื่องการเลี้ยงสัตว์สามารถทำอาชีพเลี้ยงหมูภายใต้ระบบมาตรฐาน ได้ผลผลิตหมูที่ปลอดภัย ปลอดสาร มีอาชีพที่มั่นคง ต่อยอดอาชีพ ขยายความสำเร็จได้อย่างเข้มแข็ง

 

ในยุคที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญ  ซีพีเอฟมุ่งมั่นยกระดับระบบการบริหารฟาร์มเลี้ยงสัตว์ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และถ่ายทอดองค์ความรู้ไปสู่เกษตรกรคอนแทรคฟาร์ม ก้าวสู่การเป็นเกษตรอัจฉริยะ เพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต ทำให้ได้ผลผลิตคุณภาพและปลอดภัย  นำไปสู่ความสำเร็จของเกษตรกรอย่างยั่งยืน  ./

 

 

 

 

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

เกษตรกรเลี้ยงหมูระทม โรคหมูทำผลผลิตลดกว่า 30% ต้นทุนเพิ่ม ซ้ำขาดทุนสะสมกว่า 3 ปี

 เกษตรกรเลี้ยงหมูระทม โรคหมูทำผลผลิตลดกว่า 30% ต้นทุนเพิ่ม ซ้ำขาดทุนสะสมกว่า 3 ปี




น.สพ.วิวัฒน์ พงษ์วิวัฒนชัย อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า ปัจจุบันเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู กำลังเผชิญกับปัจจัยลบหลายอย่าง ทั้งปัญหาน้ำท่วมที่สร้างความเสียหายแก่ฟาร์มเลี้ยงหมูในหลายพื้นที่ และยังมีโรคระบาด PRRS หรือโรคเพิร์ส ที่เกิดขึ้นในทุกภูมิภาคของประเทศ ทำให้แม่พันธุ์หมูเสียหายไปมากกว่า 300,000 ตัว ส่งผลให้ฟาร์มหมูขุนได้รับความเสียหายไป 30% ทั้งเกษตรกรรายย่อย รายเล็ก รายกลาง และรายใหญ่ ขณะเดียวกันผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้การบริโภคเนื้อหมูลดลงด้วย ประกอบกับ การท่องเที่ยวที่หยุดชะงักทำให้การบริโภคทั้งของผู้บริโภคในประเทศและนักท่องเที่ยวน้อยลงตามไปด้วย 


ขณะเดียวกัน เกษตรกรทุกคนต้องแบกรับภาระต้นทุนค่าวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สูงขึ้นแทบทุกตัว โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จากราคา 8.50 บาทต่อกิโลกรัม ปรับเพิ่มเป็น 12.50 บาทต่อกิโลกรัม กากถั่วเหลือง จากราคา 17 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มเป็น 21 บาทต่อกิโลกรัม รวมถึงปลายข้าวที่ขณะนี้ราคาขึ้นไปถึงกระสอบละ 1,100 บาทแล้ว ขณะที่ต้องมีภาระในการจัดการด้านความปลอดภัยทางชีวภาพ หรือ Biosecurity เพื่อการป้องกันโรคในสุกรที่เข้มงวด ทำให้จำเป็นต้องใช้ต้นทุนการป้องกันโรคเพิ่มขึ้นกว่า 300-400 บาทต่อตัว นอกจากนี้ ยังต้องเดินหน้าเข้าสู่ระบบฟาร์มมาตรฐาน ซึ่งต้องปรับตัวให้พร้อมกับระบบนี้ ที่จำเป็นต้องใช้ทุนอีกเป็นจำนวนมาก




"สิ่งที่เกษตรกรทุกคนอยากร้องขอคือ ขอผู้บริโภคเข้าใจ ไม่ใช่ว่าเกษตรกรจะขายหมูได้ราคาดีมีกำไร ปัจจุบันนี้ราคาหมูเป็นที่เกษตรกรขายได้ยังไม่คุ้มกับต้นทุนเสียด้วยซ้ำ เพราะต้นทุนถีบตัวสูงขึ้นไปมากกว่ากิโลกรัมละ 80.03 บาทแล้ว ยังไม่นับภาวะขาดทุนสะสมที่ต้องเผชิญมาอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 3 ปีที่ผ่านมา วันนี้คนเลี้ยงหมูพยายามอย่างเต็มที่ในการช่วยเหลือตัวเองและช่วยเหลือกันเอง เพื่อประคองอาชีพให้ผ่านพ้นวิกฤติให้ได้ ขอเพียงผู้บริโภคและภาครัฐเข้าใจกลไกตลาดที่เกิดขึ้นจริง และจนถึงตอนนี้ราคาขายจริงหน้าฟาร์มก็ยังไม่เกิน 80 บาทต่อกิโลกรัม" น.สพ.วิวัฒน์ กล่าว


อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวอีกว่า คาดว่าปี 2565 เกษตรกรจึงจะกลับมาเข้าเลี้ยงสุกรใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 หลังจากที่คนเลี้ยงตัดสินใจชะลอการเลี้ยง หรือเข้าเลี้ยงสุกรบางลงไม่เต็มการผลิตของฟาร์ม เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทั้งจากภาวะโรค PRRS รวมถึงรอดูสถานการณ์โรคโควิด-19 โดยเชื่อว่าต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ปีที่ภาคอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูจะกลับมาเป็นปกติ และผู้เลี้ยงกลับมาเลี้ยงหมูได้ 100%./

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

จิตอาสาซีพี-ซีพีเอฟ ระดมกำลังส่งมอบความห่วงใย เคียงข้างชาวสระบุรี สู้ภัยน้ำท่วมต่อเนื่อง

 

จิตอาสาซีพี-ซีพีเอฟ ระดมกำลังส่งมอบความห่วงใย เคียงข้างชาวสระบุรี สู้ภัยน้ำท่วมต่อเนื่อง

 


สถานการณ์น้ำท่วมในหลายอำเภอของจังหวัดสระบุรียังไม่คลี่คลาย มีประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนโดยเฉพาะด้านอาหารและน้ำดื่มที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง เครือซีพี และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ จึงระดมทีมจิตอาสาลงพื้นที่นำอาหารและน้ำดื่ม ภายใต้โครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม” ช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนเคียงข้างพี่น้องชาวสระบุรีผู้ประสบอุทกภัย ผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากไปด้วยกัน

 


นางสาวญาณิพัชญ์ ศรีโคตร นายอำเภอดอนพุด พร้อมด้วยชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านอำเภอดอนพุด ร่วมกันรับมอบผลิตภัณฑ์อาหารสด ทั้งเนื้อหมูสด เนื้อไก่สด และไข่ไก่ จากซีพีเอฟ เพื่อเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารปรุงสุกพร้อมรับประทาน สำหรับแจกจ่ายแก่ประชาชนใน 3 ตำบล ของอำเภอดอนพุด ได้แก่ ตำบลไผ่หลิ่ว ตำบลบ้านหลวง และตำบลดอนพุด ที่ชาวชุมชนยังคงได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม พื้นที่บ้านเรือนมีน้ำขัง ประชาชนต้องอยู่อย่างยากลำบาก และบางจุดเส้นทางถูกตัดขาดต้องใช้เรือท้องแบนในการสัญจรเข้าออกพื้นที่ โดยมี นายชาญณรงค์ ส้มแก้ว และนายภัทรพงษ์ มงคล ผู้แทนซีพีเอฟ นำทีมงานซีพีเอฟจิตอาสาจากธุรกิจไก่เนื้อ ธุรกิจสุกร และธุรกิจไก่ไข่ ผนึกกำลังช่วยเหลือในครั้งนี้ ณ ที่ว่าการอำเภอดอนพุด

 

“สถานการณ์น้ำท่วมอำเภอดอนพุดขณะนี้อยู่ในระดับทรงตัว เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่เป็นแอ่งกระทะ จึงกลายเป็นพื้นที่รับน้ำเกือบ 100% มีน้ำที่ลงมาสู่พื้นที่นี้ถึง 3 แหล่งคือ คลองตาเมฆ จ.ลพบุรี คลองชัยนาทป่าสัก จ.อยุธยา และคลอง 23Rน้ำ ทำให้น้ำล้นคลองและเอ่อท่วมไร่นารวมถึงบ้านเรือนประชาชน มีพื้นที่การเกษตรเสียหายเกือบ 7,000 ไร่  ที่ผ่านมามีความช่วยเหลือทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน โดยซีพีเอฟเข้ามาสนับสนุน ภารกิจช่วยเหลือประชาชนชาวดอนพุดมาตั้งแต่ต้น ด้วยการมอบถุงยังชีพ และมอบผลิตภัณฑ์อาหารสดคุณภาพดี สนับสนุนกิจกรรมธนาคารอาหารดอนพุด จัดตั้งโรงครัวที่มีกำนันผู้ใหญ่บ้านในอำเภอดอนพุด มาร่วมกันประกอบอาหารแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมกว่า 500 หลังคาเรือน ขอขอบคุณความช่วยเหลือที่ดีเสมอมาจากซีพีเอฟ ที่ไม่เคยทอดทิ้่งชาวดอนพุด” นายอำเภอดอนพุดกล่าว

 





ภายหลังจากประกอบอาหารแล้วเสร็จ กำนันและผู้ใหญ่บ้านของทั้ง 3 ตำบล นำหน่วยเคลื่อนที่เร็วร่วมกันกระจายความช่วยเหลือให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง  นางสาวลักษมี มาสอน ชาวบ้านหมู่ 4 ตำบลไผ่หลิว กล่าวขอบคุณซีพีเอฟ ที่ส่งมอบความห่วงใยมาถึงพี่น้องชาวดอนพุดที่ประสบอุทกภัยอย่างเร่งด่วน และมอบอาหาร น้ำดื่ม ตลอดจนวัตถุดิบประกอบอาหาร เช่นเดียวกับ นายประเดิม ดาวลอย ชาวบ้านหมู่ 4 ตำบลไผ่หลิ่ว ขอบคุณชาวซีพีเอฟที่ส่งมอบอาหารปลอดภัย สู้ภัยน้ำท่วมต่อเนื่อง อาหารที่มอบให้ถือเป็นกำลังใจให้ชาวดอนพุดได้ก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน

 


โครงการ "CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วมของซีพีเอฟ ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยชาวซีพี-ซีพีเอฟจิตอาสา ผนึกกำลังลงพื้นที่ประสบเหตุอุทกภัยในจังหวัดพิษณุโลก เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สระบุรี นครราชสีมา ชัยภูมิ ขอนแก่น และกาญจนบุรี เพื่อมอบความช่วยเหลือผ่านอาหารปลอดภัยส่งตรงถึงมือคนไทย ได้เข้าถึงอาหารและของใช้ที่จำเป็นอย่างเพียงพอในยามที่ประสบกับสถานการณ์น้ำท่วม./

 

 

 

“วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” เทศกาลสัตว์น้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

  เปิดประสบการณ์ความมหัศจรรย์ของโลกใต้น้ำกับ FISHTIVAL 2025   ที่ยกทัพพาเหรดสัตว์น้ำกว่า 3,000 ตู้ ในงาน “วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” ...