“จ่าวิรัช” ควักเงินกว่า 3 ล้านบาท แจกถุงปันสุขให้ชาวบ้านตำบลท่าน้ำอ้อยม่วงหัก
พร้อมทุนการศึกษาให้เยาวชน ร่วมฝ่าวิกฤติโควิด-19 ไปด้วยกัน
“จ่าวิรัช” ควักเงินกว่า 3 ล้านบาท แจกถุงปันสุขให้ชาวบ้านตำบลท่าน้ำอ้อยม่วงหัก
พร้อมทุนการศึกษาให้เยาวชน ร่วมฝ่าวิกฤติโควิด-19 ไปด้วยกัน
อ.ม.รังสิต"แนะสื่อยุค
5 จี คำนึงถึงผลกระทบก่อนเสนอข่าวหวั่นกระทบสังคมแนะดูแลเด็ก - คนแก่
ครอบครัวร่วมโต๊ะเซ็นเซอร์ข่าวโลกโซเชียลหวั่นเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ
ที่ศูนย์อบรมพัฒนาทุนมนุษย์
มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้จัดให้มีการเสวนา "นั่งคุยเรื่องสื่อในยุค 5G ใครๆ ก็เป็นสื่อคุณภาพได้ ภายใต้โครงการ "Media
Mee Dee ศูนย์รวมความรู้เท่าทันสื่อบนโลกดิจิทัล" โดย ผศ.ดร.อานิก
ทวิชาชาติ คณะวิทยาลัยนิเทศศาสตร์ สาขาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์
มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า
ในปัจจุบันมีคนทำงานสื่อดิจิทัลหรือโซเชียลมีเดียมากขึ้น
เนื่องจากระบบการสื่อสารเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และรวดเร็ว สะดวกมากขึ้น โดยเฉพาะภาคประชาชนและนักข่าวพลเมือง การนำเสนอเนื้อหาเหตุการณ์รวดเร็วถือว่าเป็นสิ่งดีที่จะนำเหตุการณ์ต่างๆ
ให้สาธารณะชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารมากขึ้น
แต่คนที่จะมาทำหน้าที่นี้และเรียกตนเองว่าเป็นสื่อต้องละเอียดรอบคอบ
คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
ก่อนนำเสนอเพราะหากไม่มีการตรวจสอบรายละเอียดที่ชัดเจนจะทำให้เกิดผลเสียอย่างมากเพราะบางข่าว
โยงไปถึงชีวิตความเป็นอยู่คนที่เป็นข่าวและผู้เกี่ยวข้องทั้งระบบในระยะยาวหรือเสียหายประเมินค่าไม่ได้
สื่อที่นำเสนอข่าวแยกออกเป็นสองส่วน
คือ สื่อที่มีต้นสังกัด ที่ในวันนี้ไม่น่าห่วงเพราะมีกรอบจริยธรรมชัดเจน
ตรวจสอบได้ ที่ผ่านมาสื่อหลักๆ
มีองค์กรสื่อ รวมตัวชัดเจนตรวจสอบได้
ก่อนให้บุคคลากรหรือผู้สื่อข่าวทำข่าว ทุกสำนักข่าว
มีการฝึกอบรมเรื่องจริยธรรมที่ชัดเจนก่อนออกปฏิบัติหน้าที่
ส่วนสื่อไม่มีต้นสังกัดโดยเฉพาะสื่อออนไลน์ใหม่ ๆ ทั้ง youtube tiktok น่าเป็นห่วงเพราะมีอิสระในการนำเสนอที่ส่วนใหญ่ไม่รู้กฏระเบียบ
คนเหล่านี้ไม่ผ่านการอบรม เรื่องระบบการนำเสนอข่าว ไม่มีกรอบ กฏระเบียบ
กติการทำสื่อ ทำให้การเสนอเนื้อหาที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบผู้เป็นข่าว
ทำเพื่อความสะใจมากกว่า
"ขณะนี้กระแสในโลกโซเชียลเอง
ก็ได้ตรวจสอบสื่อด้วยกันเองเช่นกันว่าสื่อประเภทใดเป็นสื่อน้ำดีหรือไม่ดี โดยดูจาก
content ของสื่อเหล่านั้นนั่นเอง
ฉะนั้นทุกคนที่ต้องการจะเป็นสื่อในยุค5Gต้องคำนึงถึงจริยธรรม
ความถูกต้อง การไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
ปัจจุบันองค์กรที่ผลิตบุคคลากรที่จะมาทำสื่อสถาบันการศึกษาหลายแห่งได้สร้างจิตสำนึก
ปลูกฝัง ให้นักศึกษา ด้วยการยึดหลักจริยธรรม"
ส่วนการรับรู้สื่อของภาคประชาชนควรใช้วิจารณญาณในการรับรู้
หรือรู้เท่าทัน แยกแยะ การติดตามข่าวสารหลายช่องทาง
กลุ่มที่น่าเป็นห่วงคือเด็กที่ผู้ปกครองควรเข้ามาดูแลการใช้อุปกรณ์เกี่ยวกับดูสื่อเพื่อป้องกันการเสพสื่อที่ไม่เหมาะสม
อีกกลุ่มที่น่าห่วงคือผู้สูงอายุ ที่อาจตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว
หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จากการโฆษณาแฝง ดังนั้นครอบครัวต้องมีระบบเซ็นเซอร์
ข่าวสารให้คนในสองกลุ่มมากขึ้น
"สุธี
จันทร์แต่งผล"บรรณาธิการบริหาร เว็บไซด์เอ็มไทย กล่าวว่า
การนำเสนอข่าวของสื่อควรยึดหลักความจริง ความถูกต้อง
มีการกลั่นกรองข่าวสารอย่างละเอียดก่อนนำเสนอ
องค์กรสื่อก็ต้องตรวจสอบบุคคลากรตนเองว่าต้องยึดความตรงไปตรงมาในการนำเสนอข่าวเพื่อไม่ให้นำอคติส่วนตัวไปเสนอข่าวสารโดยใช้สื่อองค์กรตนเองเป็นช่องทาง
อีกทั้งไม่ควรนำเสนอข่าวในการสร้างสิ่งเร้าใจมากกว่าข้อเท็จจริง
ในส่วนสื่อขององค์กรตนนั้นมีกระบวนการกลั่นกรอง
และตรวจสอบเน้นความถูกต้องเป็นหลักไม่เน้นความรวดเร็ว รวมถึงองค์กรอื่น ๆ
ก็อาจปฏิบัติเช่นเดียวกัน แทนการนำเสนอข่าวที่รวดเร็วแต่อาจมีการผิดพลาดได้
จนมีผลกระทบในระยะยาวต่อสังคม "อยากให้ประชาชนที่ติดตามข้อมูลข่าวสารควรใช้วิจารณญาณ
โดยเฉพาะผู้ปกครองที่จะต้องดูแลบุตรหลาน ต้องให้คำแนะนำ
และติดตามอย่างใกล้ชิดด้วย"
"อิทธิพัทธ์
ปิ่นระโรจน์" หัวหน้าข่าว ผู้ประกาศข่าวภาคสนาม
เนชั่นทีวี 22 กล่าวว่า
การนำเสนอข่าวของสื่อต้องมีวิจารณญาณคำนึงถึงผลกระทบผู้เป็นข่าว
โดยเฉพาะข่าวอาชญากรรม จะโยงกับคนที่มีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะกรณีฆาตกรรม
ที่อาจถูกสังคมประนาม ไปด้วยแม้ไม่ได้ก่อเหตุก็ตาม สื่อต้องยึดหลักไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น
เนื่องจากปัจจุบัน การนำเสนอข่าวทางโซเชียลจะเน้นรวดเร็ว และเรียลไทม์
ส่งผลให้ละเมิดสิทธิคนอื่นโดยไม่รู้ตัว และบางครั้งทำให้เกิดความแตกแยก
ฟ้องร้องในภายหลัง จึงมีคำถามว่าทำอย่างไรจะสามารถควบคุมสื่อประเภทนี้ให้ได้ สื่อเองก็ต้องมีการสอดส่องสื่อด้วยกันเองเพื่อป้องกันการละเมิด
อย่างไรก็ตามที่น่าเป็นห่วงอีกประเด็นคือ เยาวชนที่เสพสื่ออาจมีพฤติกรรมการเลียนแบบและก่อให้ความเสียหายได้.......
อ.ม.รังสิต "แนะสื่อยุค 5 จี คำนึงถึงผลกระทบก่อนเสนอข่าวหวั่นกระทบสังคมแนะดูแลเด็ก - คนแก่ ครอบครัวร่วมโต๊ะเซ็นเซอร์ข่าวโลกโซเชียลหวั่นเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ
ที่ศูนย์อบรมพัฒนาทุนมนุษย์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้จัดให้มีการเสวนา "นั่งคุยเรื่องสื่อในยุค 5G ใครๆ ก็เป็นสื่อคุณภาพได้ ภายใต้โครงการ "Media Mee Dee ศูนย์รวมความรู้เท่าทันสื่อบนโลกดิจิทัล" โดยผศ.ดร.อานิก ทวิชาชาติ คณะวิทยาลัยนิเทศศาสตร์ สาขาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ในปัจจุบันมีคนทำงานสื่อดิจิทัลหรือโซเชียลมีเดียมากขึ้น เนื่องจากระบบการสื่อสารเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และรวดเร็วสะดวก มากขึ้นโดยเฉพาะภาคประชาชนและนักข่าวพลเมือง การนำเสนอเนื้อหาเหตุการณ์รวดเร็วถือว่าเป็นสิ่งดีที่จะนำเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้สาธารณะชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารมากขึ้น แต่คนที่จะมาทำหน้าที่นี้และเรียกตนเองว่าเป็นสื่อต้องละเอียดรอบคอบ คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ก่อนนำเสนอเพราะหากไม่มีการตรวจสอบรายละเอียดที่ชัดเจนจะทำให้เกิดผลเสียอย่างมากเพราะบางข่าว โยงไปถึงชีวิตความเป็นอยู่คนที่เป็นข่าวและผู้เกี่ยวข้องทั้งระบบในระยะยาวหรือเสียหายประเมินค่าไม่ได้
สื่อที่นำเสนอข่าวแยกออกเป็นสองส่วนคือสื่อที่มีต้นสังกัด ที่ในวันนี้ไม่น่าห่วงเพราะมีกรอบจริยธรรมชัดเจน ตรวจสอบได้ ที่ผ่านมาสื่อหลัก ๆ มีองค์กรสื่อ รวมตัวชัดเจนตรวจสอบได้ ก่อนให้บุคคลากรหรือผู้สื่อข่าวทำข่าว ทุกสำนักข่าว มีการฝึกอบรมเรื่องจริยธรรมที่ชัดเจนก่อนออกปฏิบัติหน้าที่ ส่วนสื่อไม่มีต้นสังกัดโดยเฉพาะสื่อออนไลน์ใหม่ ๆ ทั้ง youtube tiktok น่าเป็นห่วงเพราะมีอิสระในการนำเสนอที่ส่วนใหญ่ไม่รู้กฏระเบียบ คนเหล่านี้ไม่ผ่านการอบรม เรื่องระบบการนำเสนอข่าว ไม่มีกรอบ กฏระเบียบ กติการทำสื่อ ทำให้การเสนอเนื้อหาที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบผู้เป็นข่าว ทำเพื่อความสะใจมากกว่า
"ขณะนี้กระแสในโลกโซเชียลเอง ก็ได้ตรวจสอบสื่อด้วยกันเองเช่นกันว่าสื่อประเภทใดเป็นสื่อน้ำดีหรือไม่ดี โดยดูจาก content ของสื่อเหล่านั้นนั่นเอง ฉะนั้นทุกคนที่ต้องการจะเป็นสื่อในยุค 5G ต้องคำนึงถึงจริยธรรม ความถูกต้อง การไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ปัจจุบันองค์กรที่ผลิตบุคคลากรที่จะมาทำสื่อสถาบันการศึกษาหลายแห่งได้สร้างจิตสำนึก ปลูกฝัง ให้นักศึกษา ด้วยการยึดหลักจริยธรรม"
ส่วนการรับรู้สื่อของภาคประชาชนควรใช้วิจารณญาณในการรับรู้ หรือ รู้เท่าทัน แยกแยะ การติดตามข่าวสารหลายช่องทาง กลุ่มที่น่าเป็นห่วงคือเด็กที่ผู้ปกครองควรเข้ามาดูแลการใช้อุปกรณ์เกี่ยวกับดูสื่อเพื่อป้องกันการเสพสื่อที่ไม่เหมาะสม อีกกลุ่มที่น่าห่วงคือผู้สูงอายุ ที่อาจตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จากการโฆษณาแฝง ดังนั้นครอบครัวต้องมีระบบเซ็นเซอร์ ข่าวสารให้คนในสองกลุ่มมากขึ้น
"สุธี จันทร์แต่งผล"บรรณาธิการบริหาร เว็บไซด์เอ็มไทย กล่าวว่า การนำเสนอข่าวของสื่อควรยึดหลักความจริง ความถูกต้อง มีการกลั่นกรองข่าวสารอย่างละเอียดก่อนนำเสนอ องค์กรสื่อก็ต้องตรวจสอบบุคคลากรตนเองว่าต้องยึดความตรงไปตรงมาในการนำเสนอข่าวเพื่อไม่ให้นำอคติส่วนตัวไปเสนอข่าวสารโดยใช้สื่อองค์กรตนเองเป็นช่องทาง อีกทั้งไม่ควรนำเสนอข่าวในการสร้างสิ่งเร้าใจมากกว่าข้อเท็จจริง ในส่วนสื่อขององค์กรตนนั้นมีกระบวนการกลั่นกรอง และตรวจสอบเน้นความถูกต้องเป็นหลักไม่เน้นความรวดเร็ว รวมถึงองค์กรอื่น ๆ ก็อาจปฏิบัติเช่นเดียวกัน แทนการนำเสนอข่าวที่รวดเร็วแต่อาจมีการผิดพลาดได้ จนมีผลกระทบในระยะยาวต่อสังคม
"อยากให้ประชาชนที่ติดตามข้อมูลข่าวสารควรใช้วิจารณญาณ โดยเฉพาะผู้ปกครองที่จะต้องดูแลบุตรหลาน ต้องให้คำแนะนำ และติดตามอย่างใกล้ชิดด้วย"
"อิทธิพันธ์ ปิ่นระโรจน์" หัวหน้าข่าว ผู้ประกาศข่าวภาคสนาม เนชั่นทีวี 22 กล่าวว่า การนำเสนอข่าวของสื่อต้องมีวิจารณญาณคำนึงถึงผลกระทบผู้เป็นข่าว โดยเฉพาะข่าวอาชญากรรม จะโยงกับคนที่มีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะกรณีฆาตกรรม ที่อาจถูกสังคมประนาม ไปด้วยแม้ไม่ได้ก่อเหตุก็ตาม สื่อต้องยึดหลักไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น เนื่องจากปัจจุบัน การนำเสนอข่าวทางโซเชียลจะเน้นรวดเร็ว และเรียลไทม์ ส่งผลให้ละเมิดสิทธิคนอื่นโดยไม่รู้ตัว และบางครั้งทำให้เกิดความแตกแยก ฟ้องร้องในภายหลัง จึงมีคำถามว่าทำอย่างไรจะสามารถควบคุมสื่อประเภทนี้ให้ได้ สื่อเองก็ต้องมีการสอดส่องสื่อด้วยกันเองเพื่อป้องกันการละเมิด อย่างไรก็ตามที่น่าเป็นห่วงอีกประด็นคือเยาวชนที่เสพสื่ออาจมีพฤติกรรมการเลียนแบบและก่อให้ความเสียหายได้
สวนทุเรียนแห่งแรก จ.บึงกาฬผ่านมาตรฐาน
GAP
“ปลูกทุเรียนไม่มีวันจน มันจะจนสำหรับวันแรกที่ลงทุนซื้อต้นพันธุ์และทำระบบน้ำ หลังจากนั้นเรามีแต่รายได้” นายวิรัตน์ สาลีรัมย์ เจ้าของสวนทุเรียนรุ่งโรจน์ซึ่งปลูกทุเรียนเป็นแห่งแรกของจังหวัดบึงกาฬ
ยืนยันพร้อมกับกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการทำสวนทุเรียนมาจากการไปรับจ้างเก็บเกี่ยวผลผลิตทุเรียนที่จังหวัดจันทบุรีและนครศรีธรรมราชทำให้เกิดแนวคิดว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็น่าจะทำได้จึงทดลองปลูกทุเรียนเป็นแปลงแรกของจังหวัดบึงกาฬเมื่อปี
2549 โดยนำความรู้จากประสบการณ์ที่ได้รับทั้ง
2 แห่งมาบริหารจัดการดูแลสวนทุเรียนพื้นที่ปลูกจำนวน 28 ไร่ ณ บ้านท่าดอกคำเหนือ หมู่ที่ 9
ตำบลท่าดอกคำ อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ
การจัดการสวนของนายวิรัตน์
จะตัดแต่งกิ่งแห้ง กิ่งแขนง กิ่งกระโดงในทรงพุ่ม กิ่งที่เป็นโรคออก ช่วงแตกใบอ่อน ป้องกันกำจัดโรคที่เกิดกับใบ
และแมลงปากดูด ที่มาทำลายใบ ช่วงฤดูฝน
ป้องกันกำจัดโรครากเน่าโคนเน่าโดยใช้ชีวภัณฑ์ไตรโคเดอร์มาและควบคุมวัชพืชโดยการปลูกพืชคลุมดิน
หรือกำจัดโดยใช้แรงงานตัดหญ้า การใส่ปุ๋ย หว่านปุ๋ยคอกก่อนและตามด้วยปุ๋ยเคมี ปุ๋ยคอก อัตรา 5-10กิโลกรัม/ต้น ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 1-2
กิโลกรัม/ต้น การให้น้ำ
ปริมาณน้ำ 150 ลิตร/ต้น/วัน
การเตรียมต้นทุเรียนให้พร้อมต่อการออกดอก ใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 8-24-24 อัตรา 2-3
กิโลกรัม/ต้น หลังติดผลใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 12-12-17-2 หรือ 13-13-21 อัตรา 1 ใน 3 ของเส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม พร้อมกับตัดแต่งผลที่ไม่สมบูรณ์หรือมีจำนวนมากเกินไปออกเพราะถ้าปล่อยไว้อาจทำให้กิ่งหักได้
หลังติดผล 70 วัน ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 0-0-60 อัตรา 1 ถึง 2 กิโลกรัม/ต้น
โรคที่ระบบราก ใช้สารเมตาแลกซิล ราดใต้ทรงพุ่มให้ทั่ว
พร้อมกับกระตุ้นการเจริญของราก โรคที่ลำต้นและกิ่ง ถ้าอาการเล็กน้อย
ให้ขูดผิวเปลือกส่วนที่เป็นโรคออกนำไปเผาทำลาย แล้วทาด้วยปูนแดง หรือ
สารเมตาแลกซิล ถ้าพบอาการรุนแรง ใช้กรดฟอสฟอรัส ฉีดเข้าลำต้น
หรือกิ่งในบริเวณตรงข้าม หรือส่วนที่เป็นเนื้อไม้ดีใกล้บริเวณที่เป็นโรค โรยสารคาร์บาริล
รอบโคนต้นป้องกันมด หรือพ่นด้วยสารมาลา-ไธออน ร่วมกับปิโตรเลียมออยล์
พ่นเป็นจุดเฉพาะกลุ่มผลที่สำรวจพบการทำลาย และต้องหยุดใช้สารเคมีก่อนเก็บเกี่ยว
15 วัน
การโยงผลทุเรียนสามารถลดการร่วงของผล
และกิ่งหักหรือกิ่งฉีกเนื่องจากลมแรงได้
โดยการโยงผลทุเรียนที่ถูกต้องให้ผูกเชือกโยงกับกิ่งทุเรียนให้เลยตำแหน่งเชื่อมต่อระหว่างขั้วผลกับกิ่งไปทางด้านปลายยอดของกิ่ง
โดยพยายามสอดดึงเชือกโยงเหนือกิ่งทำมุมกว้างในแนวขนานกับกิ่ง แล้วดึงปลายเชือกผูกรั้งกับต้นให้ตึงพอประมาณ
สังเกตได้จากกิ่งนั้นยกระดับสูงขึ้นเล็กน้อย
และสามารถเคลื่อนไหวได้ค่อนข้างเป็นอิสระ โดยเชือกโยงกิ่งหรือผลทุเรียนต้องเป็นวัสดุที่ทนทานต่อแรงดึงค่อนข้างสูง
และควรใช้เชือกโยงหลายสีในกรณีที่มีผลทุเรียนหลายรุ่นในต้นเดียวกัน
การนับอายุในการเก็บเกี่ยว ทุเรียนจะนับจำนวนจากวันหลังจากดอกบานจนถึงวันที่ผลแก่
พร้อมที่จะเก็บเกี่ยวได้ พันธุ์หมอนทอง 140-150 วัน พันธุ์ชะนี 110-120 วัน โดยนายวิรัตน์จะทำสัญลักษณ์ของทุเรียนแต่ละรุ่นและจดบันทึกทุกขั้นตอนในการจัดการสวน
สำหรับผลผลิตจะจำหน่ายผ่านFacebook โดยจำหน่ายในราคากิโลกรัมละ
180 บาท โดยในปี 2564 นี้ได้รับผลผลิตรวมทั้งสิ้น 12 ตัน รวมรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตทุเรียนจำนวน 2 ล้านบาท ปัจจุบันสวนทุเรียนรุ่งโรจน์ซึ่งเป็นแหล่งปลูกทุเรียนแห่งแรกและได้รับการรับรองตามมาตรฐาน
GAP แห่งแรกของจังหวัดบึงกาฬได้เป็นแหล่งศึกษาดูงานการปลูกไม้ผลตามระบบการรับรองแหล่งผลิต GAP ของจังหวัดบึงกาฬที่ได้รับความสนใจจากเกษตรกรในจังหวัดบึงกาฬและจังหวัดใกล้เคียงได้เข้ามาเรียนรู้ด้วย
สสส. ผนึกเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ เตรียมพร้อมรับมือเทศกาลปีใหม่
2565 ช่วง 7 วันอันตราย ขับเคลื่อนตำบลขับขี่ปลอดภัย
“ลดเร็ว ลดเสี่ยง เลี่ยงตาย” ลดอุบัติเหตุทำได้ เริ่มที่ชุมชนท้องถิ่น
พัฒนาศักยภาพ คน รถ ถนน ตั้งด่านชุมชน แก้ปัญหาจุดเสี่ยง เช็กสภาพรถ
เมื่อวันที่
20 ธันวาคม ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ดร.ประกาศิต กายะสิทธิ์
รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และรักษาการผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน
(สำนัก 3) สสส. กล่าวในการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อออกแบบและวางแผนขับเคลื่อน
“ตำบลขับขี่ปลอดภัย” โดยชุมชนท้องถิ่นว่า การลดอัตราการตายจากการบาดเจ็บทางถนนเป็น
1 ในทิศทางและเป้าหมาย ระยะ 10 ปี ของ สสส. เนื่องจากอุบัติเหตุทางถนนเป็น 1 ใน 3
อันดับแรกของปัญหาสาธารณสุขของไทย จำนวนผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต
และผู้พิการมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นทุกปี ข้อมูลจาก Global
Status Report on Road Safety 2018 ขององค์การอนามัยโลกไทย
จัดอันดับไทยมีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเป็นอันดับ 9 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย
โดยเฉพาะการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกิดจากจักรยานยนต์ของไทยสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก คิดเป็นร้อยละ 74.4
ของอุบัติเหตุทางถนนทั้งหมด ขณะที่เด็กและวัยรุ่นมีอัตราการสวมหมวกนิรภัยต่ำมาก
สำหรับสาเหตุสำคัญมาจากพฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่ ดื่มแล้วขับ
ขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด และการไม่สวมหมวกนิรภัย
ข้อมูลการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน จากฐานข้อมูลบูรณาการการเสียชีวิต 3 ฐาน ในปี 2561-2563 พบว่า
จังหวัดที่มีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนต่อแสนประชากร สูงในรอบ 3 ปี
ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคกลาง
“สสส. ตั้งเป้าลดปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เป็นสาเหตุการตายก่อนวัยอันควร
และช่วยลดความสูญเสีย ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมทั้งในระดับประเทศและระดับครัวเรือน
โดยลดพฤติกรรมเสี่ยงต่ออุบัติเหตุทางถนนและสร้างพฤติกรรมความปลอดภัยเพิ่มขึ้น เช่น
รณรงค์ขับไม่ดื่ม สวมหมวกนิรภัย และสร้างสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อความปลอดภัยในการใช้รถ
และใช้ถนน ทั้งการบังคับใช้กฎหมายควบคู่กับการใช้มาตรการทางสังคม เช่น การจัดการจุดเสี่ยงในแต่ละพื้นที่
การจัดการยานพาหนะเสี่ยง และระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งความปลอดภัยทางถนนเริ่มที่ชุมชนท้องถิ่นได้
โดย สสส. ได้ถอดบทเรียนและออกแบบกิจกรรม “ตำบลขับขี่ปลอดภัย”
ของเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่
เพื่อขับเคลื่อนในระดับพื้นที่และหนุนเสริมการขับเคลื่อนเชิงนโยบายระดับอำเภอ
จังหวัดและประเทศ พร้อมจัดตั้งศูนย์ประสานงานเครือข่ายเฉพาะประเด็นจัดการความปลอดภัยทางถนนโดยชุมชนท้องถิ่น
(ศปง.ขับขี่ปลอดภัย)” โดยตั้งเป้าหมายกว่า
100 ตำบล ในเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่
ดร.ประกาศิต กล่าว
รศ. ดร.ขนิษฐา นันทบุตร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน (ศวช.) คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า จากระบบข้อมูลตำบล (TCNAP) ของเครือข่ายตำบล สุขภาวะเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ทั่วประเทศ สนับสนุนโดย สสส. เมื่อเดือนตุลาคม 2564 พบว่า มีผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปดื่มสุราเป็นประจำ จำนวน 536,123 คน จากประชากรจำนวน 8,215,694 คน ใน 2,677,838 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 6.53 โดยมีการดื่มสุราร่วมกับขับรถเร็ว ประมาท จำนวน 10,570 คนหรือร้อยละ 0.13 และมีการดื่มสุราร่วมกับไม่สวมหมวกนิรภัย จำนวน 27,236 คนหรือร้อยละ 0.33 และดื่มสุราร่วมกับไม่คาดเข็มขัดนิรภัย จำนวน 5,302 หรือร้อยละ 0.06 จากข้อมูลดังกล่าว นำมาสู่ การออกแบบและวางแผนขับเคลื่อน “ตำบลขับขี่ปลอดภัย” ภายใต้แคมเปญ ลดเร็ว ลดเสี่ยง เลี่ยงตาย : ชุมชนท้องถิ่นจัดการได้ โดยช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 ในช่วง 7 วันอันตราย พื้นที่เครือข่ายมีเป้าหมาย การพัฒนาศักยภาพ คน รถ ถนน เช่น รณรงค์ลดอุบัติเหตุจราจรทางถนน ตั้งด่านชุมชน แก้ปัญหาจุดเสี่ยง และเช็กสภาพรถ เป็นต้น
รศ. ดร.ขนิษฐา กล่าวต่อว่า
การขับเคลื่อนตำบลขับขี่ปลอดภัย ดำเนินการภายใต้ 5 ชุดกิจกรรม การจัดการความปลอดภัยทางถนน
ประกอบด้วย 1.การบริการและช่วยเหลือ เช่น
จัดตั้งหน่วยบริการดูแล กำหนดให้มีแนวทางในการเฝ้าระวังอุบัติเหตุ
2.การรณรงค์ขับขี่ปลอดภัย เช่น การรณรงค์ป้องกันอุบัติ จัดทำธรรมนูญตำบลหรือมาตรการชุมชน
การบังคับใช้กฎหมาย 3.การพัฒนาศักยภาพคน รถ ถนน เช่น การฝึกอบรมพัฒนาทักษะกฎหมาย กฎจราจร
ปรับโครงสร้างถนน ไม่ว่าจะเป็นพื้นผิวถนน ไฟส่องสว่าง พร้อมทั้งมีศูนย์ตรวจเช็กสภาพรถในชุมชน
4.การจัดสภาพถนน และสิ่งแวดล้อม คือ ประกาศข้อกำหนด ด้านจราจรในเขตชุมชน
ทำป้ายแจ้งเตือนความเร็ว กำหนดให้พื้นที่สาธารณะเป็นพื้นที่ปลอดเหล้า และ 5.การพัฒนานโยบายและแผน
โดยจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนน(ศปถ.) จัดทำข้อมูล ความเสี่ยง พัฒนาระบบข้อมูลเฝ้าระวัง
รวมไปถึงบรรจุโครงการในข้อบัญญัติ/เทศบัญญัติ
ทั้งนี้จะดำเนินงาน 3 ระยะ คือ ระยะป้องกันและเฝ้าระวัง ระยะเกิดเหตุ
และระยะหลังเกิดเหตุและฟื้นฟู
ด้าน
นางก่องกาญจน์ ทักษ์หิรัฐฤทธิ์
ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม สสส. กล่าวว่า
แผนการจัดการความปลอดภัยและปัจจัยเสี่ยงทางสังคม สสส. มีต้นทุนการทำงาน ในระดับจังหวัดระดับอำเภอโดยสนับสนุนการทำงานผ่านเครือข่ายคณะทำงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด
(สอจร.)
ซึ่งมีเครือข่ายคนทำงานในทุกจังหวัดมีประสบการณ์การทำงานและแนวทางการปฏิบัติการเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุที่จะสามารถหนุนเสริมการทำงานและเป็นพี่เลี้ยงสนับสนุนการทำงานในระดับตำบล
และมีต้นแบบตำบลในการจัดการอุบัติเหตุทางถนนได้ดีในหลากหลายพื้นที่และกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาค
รวมทั้งมีองค์ความรู้ที่จะสนับสนุนและประสานความร่วมมือในการทำงานร่วมกัน
โดยมีเกณฑ์ในการกำหนด “ตำบลขับขี่ปลอดภัย”
เกิดจากการทำงานในพื้นที่ปฏิบัติการที่ประสบผลสำเร็จซึ่งมีการลดการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน
และเป็นการกำหนดและยอมรับโดย ศปถ. ซึ่งเกณฑ์การดำเนินงาน 5 ข้อ มีดังนี้
1.กลไกการจัดการที่เข้มแข็งโดยมีการจัดตั้ง ศปถ.อปท.
หรือมีการตั้งคณะทำงานเพื่อความปลอดภัยทางถนนของ อปท.
2.ดำเนินแผน/กิจกรรมการสวมหมวกนิรภัย 100%
3.แผนหรือกิจกรรมการลดการเสียชีวิตจากการ “ดื่มขับ”
4.ดำเนินการลดความเร็วในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เช่น 1 ท้องถิ่น 1
speed zone 5.มีการดำเนินการแก้ไขจุดเสี่ยงใน อปท.
ซึ่งจะสอดคล้องกับนโยบายของ ศปถ.
ประธานอาวุโส ธนินท์ เจียรวนนท์ ห่วงใยคนไทย มอบยาฟ้าทะลายโจรฟรี!! 30 ล้านแคปซูล ซีพีเอฟ เดินหน้าร้อยเรียงความดี จับมือ
ก.เกษตรฯ แจกชาวบางกอกน้อย-บางพลัด
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับมอบยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร
จากเครือเจริญโภคภัณฑ์ (เครือซีพี)
เพื่อส่งมอบแก่อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.)
สำหรับแจกจ่ายให้กับประชาชนในเขตบางกอกน้อยและบางพลัด รวม 86 ชุมชน ตามโครงการ “ซีพี ปันปลูก ฟ้าทะลายโจร”
จากนโยบายของ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ ธนินท์ เจียรวนนท์
เพื่อสนับสนุนให้คนไทยเข้าถึงยาสมุนไพรไทย โดยบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด
(มหาชน) หรือซีพีเอฟ ร่วมผนึกกำลังเดินหน้าแจกจ่ายแก่ประชาชนทั่วประเทศ
นายชนินทร์ รุ่งแสง คณะที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้แทน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
รับมอบยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรจากเครือซีพี เปิดเผยว่า
ยาสมุนไพรที่ได้รับนี้จะส่งมอบแก่ชาวชุมชนบางกอกน้อยและบางพลัด ผ่านทีมงาน อสส.
ในพื้นที่ สำหรับส่งต่อให้กับประชาชนอย่างทั่วถึง ซึ่งโครงการ “ซีพี ปันปลูก
ฟ้าทะลายโจร” เพื่อผลิตยาสมุนไพรฯ 30 ล้านแคปซูล แจกฟรีให้กับกลุ่มเปราะบางในภูมิภาคต่างๆ
สอดคล้องกับนโยบายของ ก.เกษตรฯ ที่จัดโครงการส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพรฟ้าทะลายโจร
สู้ภัยโควิด-19
โดยให้เกษตรกรเป็นผู้เพาะปลูกเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตยาต้านไวรัสโควิด–19 ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น และอาจผลักดันเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่
จึงถือว่า ก.เกษตรฯ และเครือซีพีมีเป้าหมายเดียวกัน
ในการขยายโอกาสการเข้าถึงยาฟ้าทะลายโจรแก่พี่น้องชาวไทย
ขอชื่นชมเครือซีพีและซีพีเอฟที่จัดโครงการดีๆ อย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะในสถานการณ์โควิด-19 เช่นนี้
ด้าน
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า
จากแนวคิดของประธานอาวุโสเครือซีพี ธนินท์ เจียรวนนท์
ที่มุ่งนำศักยภาพจากทุกกลุ่มธุรกิจมาช่วยประเทศ
ซีพีจึงขอร่วมส่งเสริมสนับสนุนการใช้สมุนไพรไทยฟ้าทะลายโจร
และผนึกกำลังทุกกลุ่มธุรกิจร่วมร้อยเรียงความดีซีพี 100 ปี ส่งมอบแก่ประชาชน
โดยซีพีเอฟร่วมส่งต่อความห่วงใยของท่านประธานอาวุโสฯ
และเครือซีพีที่มีต่อคนไทยทุกคน ส่งมอบในจังหวัดสงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส
และนครราชสีมา ผ่านโรงพยาบาลและองค์กรพันธมิตรต่างๆ
นางสาวเสาวลักษณ์ จารุภูมิ อาสาสมัครสาธารณสุขชุมชนตรอกข้าวเม่า (อสส.30 วัดเจ้าอาม)
เป็นผู้แทนรับมอบยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร เพื่อนำไปส่งต่อแก่ประชาชนชาวบางกอกน้อย 38 ชุมชน ได้นำไปใช้ในการดูแลตนเอง
ซึ่งชาวชุมชนต่างดีใจที่ได้รับยาสมุนไพรในครั้งนี้ และขอบคุณ ซีพี-ซีพีเอฟ
ที่มอบความห่วงใยให้กับคนไทยมาตลอด ก่อนหน้านี้ได้รับอาหารจากโครงการ CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19
และโครงการครัวปันอิ่ม ซีพีร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19
เช่นเดียวกับ นายเทอดเกียรติ ล้วนโกศล อาสาสมัครชุมชนเติมสุข (อสส.31) เป็นผู้แทนเขตบางพลัด แจกจ่ายแก่ 48 ชุมชน กล่าวว่า
ดีใจที่เครือซีพีมอบยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางและผู้ที่มีความเสี่ยง
ถือเป็นโครงการที่ดีมากและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อพี่น้องชาวไทย
ทั้งนี้
โครงการ “ซีพี ปันปลูก ฟ้าทะลายโจร” จัดพื้นที่ปลูกต้นฟ้าทะลายโจร จำนวน 100 ไร่ ที่ศูนย์วิจัยแสลงพัน และฟาร์มคำพราน จ.สระบุรี
ที่ได้การรับรองมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) จากกรมวิชาการเกษตร
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การบรรจุแคปซูลผ่านการรับรองมาตรฐานจาก GMP PIC/S ซึ่งเป็นมาตรฐานสำคัญของโรงงานผลิตยา และดำเนินการผลิตตามพ.ร.บ.ยาสมุนไพร
ผ่านการรับรองการขึ้นทะเบียนยาสมุนไพร กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
ที่มีข้อกำหนดด้านปริมาณสารสำคัญ แอนโดรกราโฟไลด์ (andrographolide) ในวัตถุดิบอย่างเคร่งครัด เพื่อผลิตสมุนไพรฟ้าทะลายโจร 30 ล้านแคปซูล แจกจ่ายฟรีให้กับประชาชนคนไทย./
เปิดประสบการณ์ความมหัศจรรย์ของโลกใต้น้ำกับ FISHTIVAL 2025 ที่ยกทัพพาเหรดสัตว์น้ำกว่า 3,000 ตู้ ในงาน “วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” ...