วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2565

3 ภาคีติดอาวุธใหม่ให้ SME ไทย ก้าวสู่การส่งออกตลาดโลก

 

3 ภาคีติดอาวุธใหม่ให้ SME ไทย ก้าวสู่การส่งออกตลาดโลก

 


สสว. จับมือ EXIM BANK และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย มุ่งผลัดัน SME เข้าสู่ Global Supply Chain จัดกิจกรรม Upskill SME Exporters ติดอาวุธใหม่ให้ SME สู่การส่งออก” ให้ความรู้เชิงลึกกับผู้ประกอบการ SME ไทย 4 ภูมิภาค สร้างความพร้อมและยกระดับให้ผู้ประกอบการสู่สากลอย่างมั่นใจ

 



สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ร่วมกับ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ร่วมจัดกิจกรรม Upskill SME Exporters ติดอาวุธใหม่ให้ SME สู่การส่งออก” เพื่อพัฒนาทักษะและยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ให้พร้อมฟันฝ่าวิกฤติโควิดามารถดำเนินธุรกิจท่ามกลางการแข่งขันและความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ที่สำคัญได้รู้และเข้าใจการค้าระหว่างประเทศ สามารถสร้างและขยายตลาดในต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างคุณค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์และก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม

ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และนายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ร่วมเปิดงานและกล่าวต้อนรับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เข้าร่วมงาน 



นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า สสว. มีบทบาทในการช่วยเหลือและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ให้ดำเนินธุรกิจและพร้อมออกสู่สากลได้อย่างมีศักยภาพ สนับสนุนให้ผู้ประกอบการยุคใหม่สามารถพัฒนานวัตกรรมให้กับสินค้าและบริการที่หลากหลาย และจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการต้องเตรียมความพร้อมสู่ยุค Next Normal ดังนั้นการร่วมมือกับ EXIM BANK และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยในครั้งนี้ จึงต้องการยกระดับการค้าส่งออกและสร้างโอกาสแก่ผู้ประกอบการให้มีความรู้ในตลาดการค้าต่างประเทศ สามารถปรับตัวรับกับการแข่งขันใหม่ทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทันต่อสถานการณ์ ให้อยู่รอด อยู่เป็น สามารถประกอบธุรกิจอย่างมืออาชีพ และก้าวสู่ธุรกิจสมัยใหม่ได้ ความร่วมมือดังกล่าวจะก่อให้เกิดการบูรณาการในการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ให้สามารถดำเนินธุรกิจการค้าระหว่างประเทศและอำนวยความสะดวกให้ได้เข้าถึงบริการทางการเงินและความรู้ด้านการส่งออก อาทิ  การบริการสินเชื่อ การประกันการส่งออก การบริหารความเสี่ยงการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการพัฒนาศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้ผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มกับสินค้าและบริการของผู้ประกอบการ และเกิดมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจของประเทศ

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวว่า จากทิศทางเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มขยายตัว 3-4% จากการปรับตัวของทุกภาคส่วนในการอยู่ร่วมกับโควิด-19 ได้มากขึ้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของภาครัฐ และโอกาสการเติบโตของภาคการส่งออกของไทยที่คาดว่าจะขยายตัวราว 5% ในปี 2565 เพราะแรงหนุนจากเศรษฐกิจโลก จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่จะเร่งปรับตัวทางธุรกิจ พัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์โลกยุค Next Normal โดย EXIM BANK พร้อมจับมือกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชน “ซ่อม” “สร้าง” และ “เสริม” ธุรกิจไทย โดยเฉพาะ SMEs ให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืน โดยพัฒนาองค์ความรู้ แพ็กเกจการเงินทั้งสินเชื่อและประกันความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศ และการจัดให้มีทีมผู้เชี่ยวชาญดูแล พัฒนา ปรับเปลี่ยนธุรกิจของไทยให้พร้อมรุกตลาดโลก ควบคู่กับการพัฒนาช่องทางการค้าออนไลน์ EXIM Thailand Pavilion นำเสนอเรื่องราวสินค้าไทยที่มีคุณภาพและเอกลักษณ์ให้ขยายตลาดบน E-Commerce อย่าง Alibaba Platform ได้อย่างมั่นคง

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เผยผลสำรวจอุปสรรคของผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจ คือ ร้อยละ 43.23 เป็นอุปสรรคด้านการตลาด รองลงมา ร้อยละ 27.55 คือ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน และร้อยละ 24.47 คือ การบริหารจัดการ ดังนั้นความร่วมมือในครั้งนี้ จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการ ได้เรียนรู้การดำเนินธุรกิจส่งออกอย่างเต็มรูปแบบ ผลักดันเอสเอ็มอี เข้าสู่ Global Supply Chain สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนามาตรฐานสินค้า และบริการสู่ระดับสากล รวมทั้งการสร้างและขยายตลาดในต่างประเทศให้แก่ผู้ประกอบการ โดยวางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการส่งออกของผู้ประกอบการ SME ให้ได้เกิน 50% ของมูลค่าการส่งออกทั้งประเทศ

อนึ่งการจัดกิจกรรม “Upskill SME Exporters ติดอาวุธใหม่ให้ SME ไทยสู่การส่งออก” มีกำหนดจัดขึ้นทั้งหมด 6 ครั้ง 4 ภาค ในรูปแบบ Hybrid Seminar โดยมีวิทยากรที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ตรง อาทิ นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายวรวุฒิ อุ่นใจ ประธานสมาคมค้าปลีกไทย และอดีตประธานสมาคม  E-Commerce นายยุทธพงศ์ มีแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านการค้า ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย นายศุทธิกานต์ กริชไกรวรรณ ผู้อำนวยการศูนย์บริการศุลกากร กรมศุลกากร นายบรรณ ภุชงค์เจริญ CEO บริษัท Level Up Holding และวิทยากรอีกมากมาย มาร่วมแชร์ประสบการณ์และเสริมทักษะให้แก่ผู้ประกอบการใน 3 ส่วนคือ              Soft Skill, Hard Skill, และระบบมาตรฐานสากล (บัญชี ภาษี ขั้นตอนการส่งออก พิกัดศุลกากร การตลาดต่างประเทศ Incoterm2020 International Culture และ Digital Platform)

 

 

ซึ่งจะจัดขึ้นในแต่ละภูมิภาค ดังนี้

ภาคกลาง - กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 26-27 มกราคม 2565 ณ โรงแรมแลงคาสเตอร์

ภาคเหนือ – เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 3-4 กุมภาพันธ์ 2565 ณ โรงแรมวินทรี ซิตี้ รีสอร์ท

ภาคใต้ - นครศรีธรรมราช ระหว่างวันที่ 24-25 กุมภาพันธ์ 2565 ณ โรงแรมทวินโลตัส

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ - ขอนแก่น ระหว่างวันที่ 10-11 มีนาคม 2565 ณ โรงแรมอวานี ขอนแก่น โฮเทล

ภาคตะวันออก - ชลบุรี ระหว่างวันที่ 5-6 พฤษภาคม 2565 ณ โรงแรมแกรนด์ พาลาสโซ่ พัทยา

ภาคกลาง - อยุธยา ระหว่างวันที่ 26-27 พฤษภาคม 2565 ณ โรงแรมคลาสสิค คามิโอ

 

ผู้ที่สนใจเข้าร่วมสัมมนา Upskill SME Exporters ติดอาวุธใหม่ให้ SME สู่การส่งออก”

สามารถสอบถามข้อมูลหรือติดตามรายละเอียดได้ที่                                                            

คุณสุนันพร พลายเถื่อน โทรศัพท์ 06-3625-9962 , 09-0236-2915

หรือสมัครเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่ https://forms.gle/18YVLAChAWexUagD7

ฟรี! รับจำนวนจำกัด


 

วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2565

สันนิบาตสหกรณ์ฯ ประชุมนำเสนอผลกระทบจากการลงทุนหุ้นกู้การบินไทย

 

สันนิบาตสหกรณ์ฯ ประชุมนำเสนอผลกระทบจากการลงทุนหุ้นกู้การบินไทย

 


สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย (สสท.) จัดประชุมการนำเสนอผลกระทบที่เกิดจากการลงทุนในหุ้นกู้ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อหารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาและการระดมทุนเสริมสภาพคล่องให้บริษัทการบินไทยสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งจะช่วยให้สหกรณ์เจ้าหนี้ไม่ประสบภาวะหนี้สูญ

 


นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม ประธานฯ สสท. เปิดเผยว่า สันนิบาตสหกรณ์ฯ ได้จัดประชุมสหกรณ์เจ้าหนี้หุ้นกู้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กว่า 87 สหกรณ์ เพื่อเป็นเวทีในการนำเสนอถึงผลกระทบที่เกิดจากการลงทุนในหุ้นกู้การบินไทย โดยเฉพาะการต้องตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญตามที่กรมตรวจบัญชีสหกรณ์กำหนด จนส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของสหกรณ์ เช่น กำไรลดลง ขาดทุน เป็นต้น

 


สำหรับการหารือดังกล่าวจะรวมไปถึงแนวทางการลงทุนเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้แก่บริษัท การบินไทย ว่ามีสหกรณ์ใดที่สนใจในข้อเสนอนี้บ้าง เนื่องจากตามกฎหมายและประกาศคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติในปัจจุบัน สหกรณ์ไม่สามารถลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัท การบินไทย ได้ เพราะไม่มีสถานภาพเป็นรัฐวิสาหกิจอีกต่อไป ซึ่งอาจต้องมีการขยายขอบเขตการลงทุนหรือแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ






ทั้งนี้ความสำเร็จของแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.การบินไทย ต้องได้รับการสนับสนุนวงเงินสินเชื่อใหม่ จำนวน 50,000 ล้านบาท จากทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ทรีนิตี้ จำกัด ในฐานะ ที่ปรึกษาทางการเงินได้ทำประมาณการทางการเงินว่าการได้รับการสนับสนุนวงเงินสินเชื่อใหม่ 25,000 ล้านบาท ก็เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจของ บมจ.การบินไทย ซึ่ง บมจ.การบินไทย ได้จัดทำข้อเสนอสำหรับสหกรณ์ ซึ่งเป็นกลุ่มเจ้าหนี้หุ้นกู้ ได้แก่ ข้อเสนอขอวงเงินสินเชื่อใหม่ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามกฎหมายกำหนด โดยเป็นสินเชื่อที่มี หลักประกันเต็มจำนวน โดย บมจ.การบินไทย เสนออาคารสำนักงานใหญ่ อาคารที่ดอนเมือง รวมถึงที่ดินและสำนักงานอื่นๆ วางเป็นหลักประกัน นอกจากนั้นยังได้รับสิทธิต่าง ๆ ดังนี้ 1.สิทธิในการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนในจำนวนเดียวกับจำนวนที่ให้สินเชื่อใหม่ที่ราคาหุ้นละ 2.5452 บาท 2.สิทธิในการรับชำระภาระหนี้เดิมก่อนกำหนดในสัดส่วน 10% ของจำนวนที่ให้สินเชื่อใหม่ และสุดท้ายคือข้อเสนอการแปลงหนี้เป็นทุน กำหนดราคาแปลงหนี้เป็นทุนที่ราคาหุ้นละ ... บาท

 

“หลังจากที่สันนิบาตสหกรณ์ฯ ได้รวบรวมนำข้อมูลต่างๆเรียบร้อยแล้ว จะนำข้อมูลเหล่านี้เสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะอนุกรรมการลงทุนและคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ เป็นต้น เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเจ้าหนี้หุ้นกู้บริษัท การบินไทย สามารถดำเนินการขั้นตอนต่อไปได้” นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม ประธานฯ สสท. กล่าว

-------------------------------------------

มนัญญา สั่งเดินเกมรุกอุดทุกปัญหาส่งออกผลไม้ไปจีน คาดผลผลิตปีนี้กว่าล้านตันฟันรายได้เข้าประเทศนับแสนล้านบาท

 

มนัญญา สั่งเดินเกมรุกอุดทุกปัญหาส่งออกผลไม้ไปจีน คาดผลผลิตปีนี้กว่าล้านตันฟันรายได้เข้าประเทศนับแสนล้านบาท

  


กรมวิชาการเกษตร เด้งรับข้อสั่งการมนัญญา จัดติวเข้มผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุผลไม้ภาคตะวันออกเตรียมการเชิงรุกบุกส่งออกผลไม้ฤดูกาลผลิตปี 65 ไปแดนมังกร คาดปีนี้ผลผลิต 1.3 ล้านตัน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 1 แสนล้านบาท  อัดกำลังพลตรวจปิดตู้คอนเทนเนอร์พร้อมออกใบรับรองสุขอนามัยพืชเพิ่มจากเดิมอีก 1 เท่า กรุยทางส่งออกฉลุย 

 


          นายภัชญภณ หมื่นแจ้ง รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร  เปิดเผยว่า ในวันที่ 28 มกราคม2565 นี้ ได้มอบหมายให้สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 จังหวัดจันทบุรี  ซึ่งเป็นหน่วยงานในส่วนภูมิภาคของกรมวิชาการเกษตร จัดประชุมชี้แจงสร้างการรับรู้แนวทางการดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับการส่งออกผลไม้ในฤดูกาลผลิตปี 2565 แก่ผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุผลไม้ภาคตะวันออก หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ตามข้อสั่งการของนางสาวมนัญญา  ไทยเศรษฐ์  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่กำชับให้วางแผนป้องกันและแก้ไขปัญหาการส่งออกผลไม้ไปประเทศจีนตลอดจนการป้องกันผลผลิตด้อยคุณภาพออกสู่ตลาด  ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีความเข้าใจในหลักเกณฑ์ กฎระเบียบ และขั้นตอนการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่กรมวิชาการเกษตรในการตรวจติดตาม เฝ้าระวัง และควบคุมการส่งออกให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน  โดยในการประชุมครั้งนี้นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะเป็นประธานการประชุมและมอบนโยบายแนวทางการส่งออกผลไม้ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วย

 




ในช่วงที่ผ่านมาผลผลิตลำไยของจังหวัดจันทบุรีประสบปัญหาตรวจพบศัตรูพืชทำให้จีนระงับการนำเข้าลำไยจากโรงคัดบรรจุที่ได้รับการแจ้งเตือน โดยทางการจีนขอให้กรมวิชาการเกษตรระงับการส่งออกชั่วคราวกับโรงคัดบรรจุที่ถูกแจ้งเตือนดังกล่าว เพื่อสอบสวนหาสาเหตุและกำหนดมาตรการควบคุมให้ทางการจีนพิจารณา ซึ่งจากการที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาทำให้ปัจจุบันสามารถส่งออกได้ตามปกติ    ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นอีกในฤดูกาลส่งออกทุเรียนและมังคุดของจังหวัดจันทบุรี  กรมวิชาการเกษตรจึงต้องเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบผลผลิตเพื่อป้องกันปัญหาศัตรูพืชควบคู่ไปกับมาตรการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยสร้างการรับรู้และแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องตั้งแต่ที่สวนให้แก่เกษตรกร  พร้อมกับเน้นย้ำให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามแนวทางของ FAO และ WHO ในโรงคัดบรรจุอย่างเคร่งครัด    โดยหากจีนตรวจพบเชื้อโควิด-19 ในสินค้าผลไม้ของไทยสินค้าจะถูกทำลายซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของผลไม้ไทยในประเทศจีนอีกด้วย

 


รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร  กล่าวว่า  ก่อนเข้าสู่ฤดูกาลส่งออกผลไม้ภาคตะวันออกในปี 2565 นี้กรมวิชาการเกษตรได้มีการเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับมาตรการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ในโรงคัดบรรจุพื้นที่ภาคตะวันออก โดยสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6  ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดจันทบุรี สมาคมผู้ประกอบการส่งออกทุเรียน มังคุด (DMA) และสมาคมการค้าผลไม้ยุคใหม่ (MAFTA) จัดฝึกอบรมมาตรการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ในโรงคัดบรรจุ ให้กับผู้ประกอบการและผู้ควบคุมคุณภาพประจำโรงคัดบรรจุ จำนวน 400 คน รวมทั้งจัดทำคู่มือและคลิปวีดีโอ การบริหารจัดการโรงคัดบรรจุที่ถูกต้องตามมาตรฐาน GMP และมาตรการป้องกันโควิด-19 ในโรงคัดบรรจุ เพื่อให้ผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง

 




กรมวิชาการเกษตรมุ่งหวังให้ผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุเข้าใจในกระบวนการและขั้นตอนต่างๆ ในการส่งออกผลไม้  โดยจะมีการเพิ่มมาตรการในการตรวจติดตามโรงคัดบรรจุ GMP Plus (มาตรการ GMP + Covid-19 ) ควบคู่กับมาตรการตรวจสอบคุณภาพทุเรียนเพื่อป้องกันทุเรียนด้อยคุณภาพปะปนไปในช่วงต้นฤดู ซึ่งจะส่งผลให้ราคาทุเรียนตกต่ำและผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นในคุณภาพของทุเรียนไทย   รวมทั้งได้เตรียมแผนรองรับการตรวจปิดตู้คอนเทนเนอร์ของด่านตรวจพืช และการออกใบรับรองสุขอนามัยพืช (PC)  โดยเพิ่มอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในช่วงเวลาดังกล่าวมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาอีกหนึ่งเท่า  เพื่ออำนวยความสะดวกให้การส่งออกมีความคล่องตัวและรวดเร็วมากขึ้น

 


จากข้อมูลการเพาะปลูกไม้ผลในเขตพื้นที่ภาคตะวันออก ได้แก่ จันทบุรี ระยอง และตราด มีการปลูกไม้ผลส่งออกที่สำคัญ 3 ชนิด ได้แก่ ทุเรียน มังคุด และลำไย พื้นที่รวมกว่า 7 แสนไร่ คาดการณ์ว่าปีนี้จะมีผลผลิตส่งออกประมาณ 1.3 ล้านตัน ทำรายได้เข้าประเทศเป็นมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท โดยลำไยอยู่ในช่วงปลายฤดูเก็บเกี่ยว  ส่วนทุเรียนและมังคุดผลผลิตจะออกสู่ตลาดตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์และมากที่สุดในช่วงเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน   ซึ่งผลผลิตเกือบทั้งหมดจะส่งออกประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดหลัก  ปัจจุบันมีโรงงานผลิตสินค้าพืชหรือโรงคัดบรรจุผลไม้ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตรรวมจำนวนทั้งสิ้น 1,790 โรง โดยในภาคตะวันออกมีโรงคัดบรรจุผลไม้ส่งออกรวมทั้งสิ้น 702 โรง ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดจันทบุรี 630 โรง

******************************

วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2565

เครือซีพี เดินหน้าส่งมอบฟ้าทะลายโจร 150,000 แคปซูล แก่พ่อเมืองเชียงราย เร่งแจกจ่ายประชาชน ฟื้นฟูผู้ป่วยโควิดฯ สร้างภูมิคุ้มกันต้านโอมิครอน

 

เครือซีพี เดินหน้าส่งมอบฟ้าทะลายโจร 150,000 แคปซูล แก่พ่อเมืองเชียงราย  เร่งแจกจ่ายประชาชน ฟื้นฟูผู้ป่วยโควิดฯ สร้างภูมิคุ้มกันต้านโอมิครอน

 


เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เดินหน้า “ร้อยเรียงความดีซีพี 100 ปี” สนับสนุนภารกิจมอบยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรอย่างต่อเนื่อง ตามเจตนารมณ์ ของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือซีพี ในโครงการ “ซีพี ปันปลูก ฟ้าทะลายโจร” ร่วมสนับสนุนทุกภาคีเครือข่ายและหน่วยงาน ป้องกันผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 กลายพันธุ์ชนิดใหม่หรือ “โอมิครอน” ที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น เร่งมอบยาทะลายโจรต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแก่คนไทย

 


ล่าสุด นายภาสกร บุญญลักษม์ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร่วมกับนายกนก ศรีวิชัยนันท์ปลัดจังหวัดเชียงรายรับมอบยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรจำนวน150,000 แคปซูล หรือ 2,000 กระปุก จากเครือซีพี เพื่อส่งมอบให้ผู้เกี่ยวข้องนำไปจัดสรรและส่งต่อแก่ชุมชนในพื้นที่ต่อไป โดยมี นายจอมกิตติ ศิริกุลรองกรรมการผู้จัดการอาวุโสด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์เครือซีพี และผู้ช่วยบริหารสำนักประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เป็นผู้แทนมอบ ณ ศาลากลางจังหวัด  

 


         นายภาสกร บุญญลักษม์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พื้นที่ จ.เชียงราย เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์โคโรนาไวรัสอย่างใกล้ชิด พร้อมยกระดับมาตรการป้องกันและควบคุมโรคในสถานที่ราชการและหน่วยงานของรัฐ ตามคำสั่งศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรคเทศบาลนครเชียงราย (ศปก.ทน.ชร) พร้อมเน้นย้ำให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข อย่างเคร่งครัด ทั้งการเว้นระยะห่างทางสังคม ล้างมือด้วยสเปรย์แอลกอฮอล์  สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ลดการจัดกิจกรรมรวมกลุ่ม อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดในครั้งนี้ อาจมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และยังคงมีคนบางกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาหรือยาเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันได้ 

 




       “ในนามตัวแทนชาวเชียงราย รู้สึกขอบคุณเครือซีพี ที่เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสนับสนุนประชาชนให้เข้าถึงสมุนไพรไทย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ เพราะช่วงวิกฤติที่ผ่านมาฟ้าทะลายโจรหายาก และขาดตลาดเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ผู้คนบางกลุ่มไม่สามารถเข้าถึงฟ้าทะลายโจรได้อย่างเต็มที่ ครั้งนี้ถือเป็นประโยชน์ต่อชุมชนอย่างยิ่ง ที่ได้รับการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันจากยาสมุนไพรไทย” ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าว

 

          ทางด้าน นายจอมกิตติศิริกุล กล่าวว่า โครงการนี้ เป็นนโยบายของท่านประธานอาวุโสเครือซีพี ธนินท์ เจียรวนนท์ ภายใต้แนวคิด “ร้อยเรียงความดี ซีพี 100 ปี” ที่ต้องการเพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้เข้าถึงยาสมุนไพรไทย เพื่อใช้เสริมภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย พร้อมใช้เป็นทางเลือกในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในช่วงเริ่มต้นที่มีอาการเล็กน้อย ร่วมกับการรักษาแพทย์แผนปัจจุบัน โดยครั้งนี้ ซีพี เดินหน้าผนึกกำลังกับกลุ่มธุรกิจในเครือฯ อาทิ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ซีพีเอฟ , บริษัทซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) CP All พร้อมทั้งภาคีเครือข่าย นำสมุนไพรฟ้าทะลายโจรแทนความห่วงใย ส่งมอบถึงมือพี่น้องชาวเชียงราย

 

          ทั้งนี้ เครือซีพีดำเนินการปลูกต้นฟ้าทะลายโจรบนที่ดิน 100 ไร่ใน จ.สระบุรี และเก็บเกี่ยวเพื่อนำมาผลิตยาฟ้าทะลายโจร 30 ล้านแคปซูล แจกจ่ายฟรีแก่ประชาชน เพราะฟ้าทะลายโจรมีสรรพคุณช่วยป้องกันไข้หวัดสร้างภูมิคุ้มกัน โดยได้ผ่านการรับรองมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) จากกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมทั้งการบรรจุแคปซูลยังได้รับรองมาตรฐานจาก GMP PIC/S ซึ่งเป็นมาตรฐานสำคัญของโรงงานผลิตยา และดำเนินการผลิตตามพ.ร.บ.ยาสมุนไพร ผ่านการรับรองการขึ้นทะเบียนยาสมุนไพร กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาที่มีข้อกำหนดด้านปริมาณสารสำคัญ แอนโดรกราโฟไลด์ (andrographolide) ในวัตถุดิบอย่างเคร่งครัด./

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2565

ซีพีเอฟ เปิดโรงงานแปรรูปสุกรแปดริ้ว ต้อนรับคณะพาณิชย์-ปศุสัตว์ จ.ฉะเชิงเทรา ตรวจเยี่ยมการผลิตอาหารปลอดภัย พบสต๊อกปกติ ชมให้ความร่วมมืออย่างดี แจ้งข้อมูลครบถ้วน

ซีพีเอฟ เปิดโรงงานแปรรูปสุกรแปดริ้ว ต้อนรับคณะพาณิชย์-ปศุสัตว์ จ.ฉะเชิงเทรา  ตรวจเยี่ยมการผลิตอาหารปลอดภัย พบสต๊อกปกติ ชมให้ความร่วมมืออย่างดี แจ้งข้อมูลครบถ้วน 

 


นายอัมพร อัมพรพุทธิสกุล รองกรรมการผู้จัดการ ซีพีเอฟ เปิดโรงงานแปรรูปสุกรแปดริ้ว จ.ฉะเชิงเทรา ต้อนรับ นายณฐภณ ร่างมณี  ผู้แทนจากพาณิชย์จังหวัด ร่วมด้วย นายทรงสิทธิ์ บู่บาง ปศุสัตว์อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา และนายธวัฒน์ ปิ่นแก้ว ปศุสัตว์อำเภอบางปะกง พร้อมคณะ เข้าเยี่ยมชมกระบวนการผลิตเนื้อสุกรและอาหารปลอดภัย พร้อมตรวจสอบสต๊อกการผลิต ตามข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบว่าโรงงานมีการจัดเก็บสต๊อกพื้นฐานตามปกติ เพื่อจัดส่งแก่ลูกค้าตามคำสั่งซื้อ โดยผู้แทนพาณิชย์จังหวัดและปศุสัตว์อำเภอ ได้กล่าวชื่นชมบริษัทฯ ที่ให้ความสำคัญและให้ความร่วมมือที่ดีกับหน่วยงานราชการมาโดยตลอด และที่ผ่านมามีการจัดส่งข้อมูลการผลิตครบถ้วน ถูกต้อง มีการรายงานอย่างต่อเนื่อง./ 






วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2565

พลิกวงการน้ำปลาร้าไทย เปิดตัว “น้ำปลาร้าแม่ไพลิน by จ่าวิรัช ปันสุข” ดีเดย์ 17 ม.ค.65 ขายน้ำปลาร้าขวดละ 19 บาท พร้อมจัดแคมเปญแจกทุนทำมาหากิน 50 ร้านค้าๆ ละ 20,000 บาท ช่วยพ่อค้าแม่ค้าฝ่าวิกฤติโควิด-19

พลิกวงการน้ำปลาร้าไทย เปิดตัว “น้ำปลาร้าแม่ไพลิน by จ่าวิรัช ปันสุข” ดีเดย์ 17 ม.ค.65 ขายน้ำปลาร้าขวดละ 19 บาท พร้อมจัดแคมเปญแจกทุนทำมาหากิน 50 ร้านค้าๆ ละ 20,000 บาท ช่วยพ่อค้าแม่ค้าฝ่าวิกฤติโควิด-19




นางไพลิน โตอิ้ม เจ้าของธุรกิจน้ำปลาร้าจ่าวิรัช แม่ไพลิน เป็นประธานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ “น้ำปลาร้าแม่ไพลิน by จ่าวิรัช ปันสุข” น้ำปลาร้าที่ไม่หวังกำไรเพื่อช่วยเหลือลูกค้า ลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 พร้อมกับเปิดตัวแคมเปญแจกทุนทำมาหากินให้กับร้านค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าว  ณ ห้องประชุมจ่าวิรัช Out Let  ตำบลท่าน้ำอ้อย อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์



นางไพลิน โตอิ้ม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงการทำมาหากินของพ่อค้าแม่ค้า ยิ่งในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ทำมาหากินลำบากรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในครัวเรือน เราในฐานะที่เป็นแม่ค้าคนหนึ่ง เข้าใจถึงความทุกข์ยากเป็นอย่างดี เพราะเคยจนมาก่อนต้องหาบปลาร้าไปเร่ขายตามที่ต่างๆ กว่าจะมาถึงวันนี้ที่มีธุรกิจโรงงานน้ำปลาร้าเป็นของตัวเอง พอมีรายได้ที่มั่นคงขึ้น จึงอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเหลือคนที่ยังยากลำบากให้พอมีแรงที่จะลุกขึ้นสู้ฝ่าฟันอุปสรรคนี้ไปให้ได้





โดยได้ทำโครงการ “น้ำปลาร้าแม่ไพลิน by จ่าวิรัช ปันสุข” ขึ้นมา เพื่อจำหน่ายน้ำปลาร้าราคาถูกกว่าท้องตลาดที่ปกติขายกันอยู่ที่ขวดละ 35 บาท ลดลงมาเหลือเพียงขวดละ 19 บาท โดยเป็นสูตรอร่อยยิ่งขึ้น เพื่อคืนกำไรให้ผู้บริโภคและลดค่าใช้จ่ายให้กับพ่อค้าแม่ค้า เบื้องต้นตั้งเป้าไว้ที่ 1,000,000 ขวด สามารถซื้อสินค้าได้ที่ จ่าวิรัช Out Let ตลาดไท และที่ร้านบลูช้อป ซุปเปอร์สโตร์ทุกสาขา พร้อมกันนี้ ยังได้จัดแคมเปญมอบทุนทำมาหากินให้กับผู้ประกอบการที่ซื้อผลิตภัณฑ์น้ำปลาร้าแม่ไพลิน by จ่าวิรัช ปันสุข จำนวน 50 ร้านค้าๆ ละ 20,000 บาท กติการ่วมชิงทุนง่ายๆ เพียงแค่ถ่ายรูปคู่กับผลิตภัณฑ์น้ำปลาร้าแม่ไพลิน by จ่าวิรัช ปันสุข ที่หน้าร้านของตนเอง ส่งมาที่เพจ facebook : น้ำปลาร้าแม่ไพลิน by จ่าวิรัช ปันสุข นับตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม 2565 เป็นต้นไป




ด้าน นายฐิติพงศ์ เอกจีน ผู้จัดการโรงงานปลาร้าจ่าวิรัช  กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่าโรงงานน้ำปลาร้าจ่าวิรัช จะก่อตั้งมาได้เพียง 3 ปีเศษ แต่ด้วยคุณภาพการผลิตที่ได้มาตรฐานทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ผ่านกระบวนการหมักปลาร้าที่สั่งสมประสบการณ์ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นมาอย่างยาวนานกว่า 100 ปี เข้าสู่กระบวนการแปรรูปจากโรงงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน  GMP และ HACCP จากกรมประมง โดยน้ำปลาร้าจ่าวิรัชยังได้รับมาตรฐาน อย. สินค้า OTOP มาตรฐานฮาลาล ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจ และยอมรับทั้งในเรื่องรสชาติและคุณภาพที่มั่นใจว่าเราไม่เป็นรองใคร  นายฐิติพงศ์  กล่าว

 

นอกจากนี้ ในงานเปิดตัวสินค้าวันนี้ยังได้มีกิจกรรมให้ลูกค้าได้ร่วมลุ้นร่วมสนุก เพียงแค่ซื้อน้ำปลาร้าแม่ไพลิน by จ่าวิรัช ปันสุข ที่บูธกิจกรรมภายในวันที่ 17 มกราคมนี้ จำนวน 5 ขวด มีสิทธิ์ลุ้นรับสร้อยคอทองคำ มูลค่า 5,000 บาท และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย หรือเข้าไปกดไลท์และกดแชร์เพจ น้ำปลาร้าแม่ไพลิน by จ่าวิรัช ปันสุข สำหรับ 50 ท่านแรก รับน้ำปลาร้าไปทานฟรีถึงบ้าน สามารถติดตามกติกาเพิ่มเติมและข้อมูลกิจกรรมดีๆ อย่างต่อเนื่องได้ที่เพจ น้ำปลาร้าแม่ไพลิน by จ่าวิรัช ปันสุข

 ครอบครัวเราดำเนินการกิจการเกี่ยวกับปลาร้า สืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นยายทวด ปีนี้ก็จะครบรอบ 100 ปีแล้ว ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้รับการสนับสนุนจากลูกค้าด้วยดีเสมอมา ทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น วันนี้ลูกค้าเราลำบากก็อยากจะทำอะไรเพื่อตอบแทนบ้าง เพราะแม่เคยจนมาก่อนรู้ดีว่าอาชีพค้าขายมันลำบาก ถ้าเราพอช่วยลดค่าใช้จ่ายหรือมีเงินทุนสนับสนุนเขาได้บ้าง ทำให้เขามีเงินไปลงทุนทำมากินต่อ ก็จะช่วยให้เขาฟื้นตัว มีอาชีพมีรายได้เลี้ยงครอบครัวเขาได้ แล้วเขาก็จะคิดถึงเราคิดถึงน้ำปลาร้าแม่ไพลิน จ่าวิรัช เท่านี้ก็มีความสุขแล้ว” แม่ไพลิน กล่าวทิ้งท้าย

 


วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2565

ชป.ชวนแกล้งข้าว ทำนา“เปียกสลับแห้ง”ช่วยประหยัดน้ำ เพิ่มผลผลิต ทางรอดภัยแล้ง

 ชป.ชวนแกล้งข้าว ทำนา“เปียกสลับแห้ง”ช่วยประหยัดน้ำ เพิ่มผลผลิต ทางรอดภัยแล้ง

 



โครงการชลประทานเชียงใหม่ ต่อยอดงานวิจัยการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง แกล้งข้าว ชวนชาวนาเปลี่ยนวิธีการทำนา หวังลดต้นทุนการผลิต และช่วยประหยัดน้ำจากการทำนาได้มากกว่าร้อยละ 30 - 40 ทั้งยังเพิ่มผลผลิตและเพิ่มรายได้ให้กับชาวนา ช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

 



นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ในช่วงฤดูแล้งปี 2565 ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำต่างๆ มีอยู่ในเกณฑ์จำกัด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ และลุ่มน้ำเจ้าพระยา จำเป็นต้องวางแผนการใช้น้ำอย่างเคร่งครัด ควบคู่ไปกับการรณรงค์ให้มีการใช้น้ำอย่างประหยัดในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะน้ำเพื่อการเกษตรที่มีสัดส่วนการใช้น้ำค่อนข้างมาก เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาการขาดแคลนน้ำ จึงได้วางแผนบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำต่างๆ ที่มีปริมาณน้ำในอ่างฯไม่ถึงร้อยละ 30 ของความจุอ่างฯ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่าในช่วงปลายปี 2564 - ต้นปี 2565 อาจจะเกิดภัยแล้งได้ในบางพื้นที่ กรมชลประทาน ได้รณรงค์ให้พี่น้องเกษตรกรและทุกภาคส่วนร่วมกันใช้น้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคตลอดฤดูแล้งนี้ไปจนถึงต้นฤดูฝนปีหน้า

 



จากสถานการณ์น้ำข้างต้น โครงการชลประทานเชียงใหม่ ได้ต่อยอดงานวิจัยการบริหารจัดการน้ำในการทำนา แบบเปียกสลับแห้ง โดยสมาชิกกลุ่มบริหารการใช้น้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยแม่ออน ได้ร่วมกันทำแปลงสาธิตทดลองการทำนาเปียกสลับแห้งแกล้งข้าว ในพื้นที่หัวงานอ่างเก็บน้ำห้วยแม่ออน ตำบลออนเหนือ อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่ประมาณ 10 ไร่ เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำเพาะปลูกข้าวโดยวิธีประหยัดน้ำในช่วงวิกฤติ เนื่องด้วยอ่างเก็บน้ำห้วยแม่ออน มีปริมาณน้ำเก็บกักในเกณฑ์น้ำน้อย จึงรณรงค์ให้มีการทำนาปลูกข้าวแบบประหยัดน้ำ แต่ได้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้นกว่าการปล่อยน้ำท่วมขังในแปลงนา ด้วยวิธีการทำนาเปียกสลับแห้งแกล้งข้าว โดยจะเรียกว่า“ทฤษฎี เปียก 5 แห้ง 15”

 






โดยสรุปผลการทำนาแบบเปียกสลับแห้งในพื้นที่ของโครงการชลประทานเชียงใหม่

💧ใช้ปริมาณน้ำเพียง 480 ลูกบาศก์เมตร/ไร่ จากปกติใช้น้ำฤดูแล้งประมาณ 800 ลบ../ไร่ และฤดูฝน 1,200 ลบ.ม./ไร่

🌾 สามารถทำผลผลิตได้ถึง 770  กก./ไร่ เพิ่มขึ้นจากปกติประมาณ 170 กก./ไร่

ถือเป็นการทดลองที่ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก และสามารถเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่นๆ นำไปขยายผลได้อีกด้วย ทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ต้นทุนการผลิตลดลง ช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้นได้พอสมควร

 

ด้านนายดำรง เล็กดี รองประธานกลุ่มบริหารการใช้น้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยแม่ออน กล่าวว่า “ผลผลิตที่ได้เกินคาดเป็นที่น่าพอใจและก็รู้สึกประหลาดใจ ตนเองจะได้เอาวิธีการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้งนี้สร้างการรับรู้และนำไปต่อยอดให้เกษตรกรสมาชิกผู้ใช้น้ำทดลองทำในแปลงนาตนเอง เพื่อเพิ่มผลผลิต อีกทั้งยังได้ประหยัดน้ำต้นทุน มีน้ำอุปโภคบริโภคตลอดฤดูกาลต่อไป”

สำหรับการขยายผลโครงการฯ ในช่วงฤดูแล้งปี 2564/65 นี้ โครงการชลประทานเชียงใหม่ ได้มีการเผยแพร่และส่งเสริมการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง ไปยังพื้นที่ชลประทานอ่างเก็บน้ำแม่โก๋นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลป่าไหน่ อำเภอพร้าว  จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 5000 ไร่ ทั้งนี้ หากเกษตรกรในพื้นที่ใด สนใจเรื่องการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สถานีทดลองการใช้น้ำชลประทาน โครงการชลประทานใกล้บ้านได้ในวันเวลาราชการ




“วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” เทศกาลสัตว์น้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

  เปิดประสบการณ์ความมหัศจรรย์ของโลกใต้น้ำกับ FISHTIVAL 2025   ที่ยกทัพพาเหรดสัตว์น้ำกว่า 3,000 ตู้ ในงาน “วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” ...