วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

“โรงเรียนบ้านแสนสุข” โมเดลความสำเร็จโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน

 



“โรงเรียนบ้านแสนสุข” โมเดลความสำเร็จโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน

 

“ยังจำภาพวันแรกที่ก้าวมาในโรงเรียนบ้านแสนสุขแห่งนี้ เมื่อ 5 ปีก่อนได้ดี จากโรงเรียนที่เกือบร้าง ใกล้ปิดตัว มีนักเรียนเพียง 39 คน เป็นเด็กไทย 7 คน นอกนั้นเป็นเด็กกัมพูชา มีครูแค่ 4 คน สภาพอาคารถูกทิ้งร้าง พื้นที่รกร้างไม่ได้ใช้ประโยชน์ โรงเรียนถูกลืมจากผู้คนในหมู่บ้าน เพราะคนในพื้นที่ไม่มีใครเรียน มีแต่เด็กกัมพูชา ขนาดโรงเรียนอยู่ปากซอยแท้ๆแต่ไม่มีคนรู้จัก ทุกคนบอกว่าโรงเรียนยุบไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้หมดกำลังใจ กลับยิ่งอยากพัฒนาที่นี่ให้ดีขึ้น จากวันนั้นถึงวันนี้โรงเรียนบ้านแสนสุขได้พัฒนาแบบพลิกฝ่ามือ ทั้งระบบการเรียนการสอน การเรียนรู้นอกห้องเรียน และการฝึกอาชีพ จากความตั้งใจที่จะให้ที่นี่กลายเป็นโรงเรียนในใจชุมชน” นายบรรจรงค์ วรเศรษฐสุขศิริ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านแสนสุข ต.คลองน้ำใส อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว บอกอย่างภูมิใจ

 





เมื่อย้อนกลับไปต้นปี 2560 โรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ติดแนวชายแดนกัมพูชาแห่งนี้ กำลังนับวันรอที่จะปิดตัวลง เพราะนักเรียนเหลือน้อย ด้วยผู้ปกครองเลือกที่จะให้ลูกหลานไปเรียนในโรงเรียนใหญ่ๆในตัวอำเภอ ภารกิจอันยิ่งใหญ่จึงตกเป็นของ ผอ.บรรจรงค์ ที่ต่อสู้ทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้โรงเรียนถูกยุบ ด้วยการพลิกฟื้นความเชื่อมั่นของคนในชุมชน และเดินหน้าประชาสัมพันธ์เชิงรุก เชิญชวนผู้ใหญ่ใจดี ผู้มีจิตศรัทธาคนใจบุญในโลกโซเชียล ร่วมกันบริจาคทุนทรัพย์เพื่อปรับปรุงอาคารเรียน ให้ทุนการศึกษา ซื้ออุปกรณ์การเรียน ทำให้โรงเรียนกลับมาน่าเรียน จนวันนี้มีนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล ถึงประถมศึกษาปีที่ 6 รวม 206 คน เป็นนักเรียนไทย 60 คน ที่เหลือเป็นนักเรียนกัมพูชา และมีครูผู้สอน 12 คน

 



จากการที่โรงเรียนมีทั้งคลองล้อมรอบ ดินดำน้ำดี ผอ.บรรจรงค์ จึงน้อมนำศาสตร์พระราชามาปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยโครงการที่นำเข้ามาเป็นต้นแบบโครงการเพื่อการพัฒนาคือ “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” โดยส่งเรื่องขอสมัครไปยังมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท แม้จำนวนนักเรียนจะไม่เข้าเกณฑ์ แต่ด้วยความตั้งใจจริงที่ต้องการให้การเลี้ยงไก่ไข่ เป็นทั้งตัวช่วยด้านภาวะทุพโภชนาการในเด็ก และเป็นอาชีพที่สร้างรายได้เข้ากองทุนพัฒนาโรงเรียน จึงพยายามผลักดันจนสำเร็จ มูลนิธิฯ และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ได้เข้ามาร่วมพัฒนาพื้นที่สำหรับเลี้ยงไก่ไข่ 100 ตัว เมื่อปี 2562 ทำให้มีแหล่งโปรตีนที่สำคัญเป็นอาหารกลางวันให้กับนักเรียน และจำหน่ายเป็นสวัสดิการให้กับชาวชุมชน โดยมีเจ้าหน้าที่สัตวบาลของซีพีเอฟมาให้ความรู้ ให้คำปรึกษาในการเลี้ยงและการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ถูกต้องตามหลักวิชาการและการสุขาภิบาล

 

“การเลี้ยงไก่ไข่ที่เพิ่มเป็น 150 แม่ กลายเป็นรายได้หลัก ทำให้เราสามารถขับเคลื่อนงานอื่นๆได้มากขึ้น จึงมีแนวคิดที่จะพัฒนาโรงเรียนให้เป็นศูนย์เกษตรพอเพียง พึ่งตนเองได้ และต่อยอดสู่การสอนวิชาการสร้างอาหารให้เด็ก โดยริเริ่มทำโครงการอื่นๆที่สอดคล้องกัน ทั้งการปลูกผักปลอดสารพิษ ผักสวนครัว ผักสลัดนานาชนิด กล้วย แก้วมังกร ฝรั่ง ข้าวไรซ์เบอร์รี่ กาแฟอาราบิก้า ลูกหม่อน หรือมัลเบอรี่ เลี้ยงปลา เลี้ยงกบ ที่กลายเป็นแหล่งอาหารมั่นคง ช่วยเหลือเด็กๆและชุมชนรอบข้างได้อย่างมาก กลายเป็นโรงเรียนแนวใหม่ที่สามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างยั่งยืน สามารถสร้างมูลค่าให้กับสิ่งที่มีอยู่ได้” ผอ.บรรจรงค์ กล่าว

 



ที่นี่เน้นการเรียนรู้ที่สอดคล้องวิถีชีวิตชนบท มีการพัฒนาคุณภาพนักเรียนด้วยกิจกรรมเสริมทักษะชีวิตเป็นหลัก ผ่านแหล่งเรียนรู้ครบวงจรทำให้ “ผลิตได้ ขายเป็น เห็นคุณค่า ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” เน้นการฝึกสอนพื้นฐานอาชีพที่นักเรียนนำไปต่อยอดใช้ได้ในชีวิตประจำวันและอนาคตได้ ควบคู่กับการสร้างครูรุ่นใหม่ที่เข้าใจเด็ก เข้าใจผู้ปกครอง เป็นครูพันธุ์ใหม่ที่มีจิตวิญญาณเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ทุกวันนี้เงินในการพัฒนาโรงเรียนเกิดจากน้ำพักน้ำแรงของครูและนักเรียนทุกคน โรงเรียนมีรายได้วันละ 1,000 บาท นำมาจ้างครูและบูรณะโรงเรียน นักเรียนมีทุนเรียนฟรี ทั้งอาหาร รถรับส่ง และเสื้อผ้าโรงเรียนจัดให้ทุกอย่าง ทำให้พวกเขา “สุขทุกที่ เพราะที่นี่ แสนสุข”

 

สำหรับโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ที่มีเด็กๆเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการนั้น น้องเนตรนภา โซ หรือน้องเนตร นักเรียนชาวกัมพูชา เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 บอกว่า ตนเองอยากช่วยเลี้ยงไก่ไข่ เพื่อให้มีพื้นฐานอาชีพในอนาคต โดยแต่ละวันจะทำหน้าที่ให้อาหารไก่และเก็บไข่ไก่ เพื่อนำเข้าโครงการอาหารกลางวัน ผลผลิตที่เหลือนำไปขายที่โรงงานเย็บผ้าที่อยู่ใกล้กับโรงเรียน รายได้เข้าบัญชีกองทุนโรงเรียนเป็นทุนต่อยอดโครงการฯ ที่สำคัญคือความภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างอาหารปลอดภัยให้กับทุกคนในโรงเรียนและชาวชุมชนทุกคน

 

ส่วน น้องนิดหน่อย ส่อด นักเรียนชาวกัมพูชา เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ตั้งใจช่วยกิจกรรมเลี้ยงไก่ไข่มาตั้งแต่ต้น บอกว่า หน้าที่หลักคือการดูแลแม่ไก่ ช่วยกันกับเพื่อนๆเก็บไข่ไก่และนำไปขาย โครงการนี้ทำให้มีประสบการณ์ตรง ได้ลงมือทำจริง กลายเป็นทักษะอาชีพติดตัว ซึ่งที่บ้านก็เลี้ยงไก่เช่นกัน วิธีการเลี้ยงและการดูแลจากที่โรงเรียน จึงนำไปปรับใช้ได้ รวมถึงทักษะการทำการเกษตรอื่นๆ ก็สามารถต่อยอดไปทำต่อที่บ้านได้เช่นกัน

 

วันนี้โครงการเกษตรทั้งหมดภายใต้ ‘โคกหนองนาโมเดล’ ดำเนินการได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน สามารถต่อยอดสู่ ‘ร้านกาแฟโรงเรียนบ้านแสนสุข’ ที่เป็นแหล่งฝึกสอนอาชีพให้กับน้องๆนักเรียน ขณะที่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โรงเรียนยังนำผลผลิตจากโครงการเกษตร ไปให้ผู้ปกครองใช้ปรุงอาหารให้กับเด็กนักเรียน เพื่อให้เด็กๆไม่มีปัญหาทุพโภชนาการ และยังแบ่งปันผลผลิตใส่ตู้ปันสุข และทำอาหารแจกให้กับผู้ยากไร้ในชุมชน ผู้ที่ตกงาน รวมทั้งเด็กชายขอบชาวกัมพูชา ที่มารับอาหารช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้ โรงเรียนบ้านแสนสุขจึงได้รับการยอมรับและถูกยกให้เป็น “ครัวของชุมชน” สมกับการเป็นโรงเรียนที่เป็น Best Practice ได้รับรางวัลโรงเรียนพระราชทาน ระดับประถมศึกษาขนาดเล็ก ประจำปี 2562 และรางวัลชนะเลิศระดับเหรียญทอง รางวัลทรงคุณค่า สพฐ. OBEC AWARDS ผู้มีผลงานดีเด่นประสบผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ด้านบริหารจัดการยอดเยี่ยม ระดับประถมศึกษาขนาดกลาง

 


นักเรียนโรงเรียนบ้านแสนสุขจึงเต็มไปด้วยความสุข เพราะมีวิชาพึ่งพาตนเองได้ติดตัวกันทุกคน และยังภูมิใจที่ได้เป็นผู้ให้และผู้ถ่ายทอดความรู้ ให้กับผู้ที่สนใจจากทั่วประเทศที่เข้ามาศึกษาดูงาน ที่สำคัญ “แสนสุข โมเดล” ของโรงเรียนบ้านแสนสุข ถือเป็นตัวอย่างของความยั่งยืนในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตและยึดหลักความพอเพียง สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของซีพีเอฟ และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ที่ต้องการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนเข้าถึง ‘ไข่ไก่’ โปรตีนคุณภาพดี ที่จะช่วยลดภาวะทุพโภชนาการแก่เด็กและเยาวชน และสร้างแหล่งเรียนรู้ในโรงเรียนและชุมชนได้อย่างแท้จริง./

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

ซีพีเอฟ สานต่อโครงการ "ซีพีเอฟ อิ่ม สุข ปลูกอนาคต" ปีที่ 8 ส่งเสริมการเข้าถึงอาหารคุณภาพ

 




ซีพีเอฟ สานต่อโครงการ "ซีพีเอฟ อิ่ม สุข ปลูกอนาคต" ปีที่ 8 ส่งเสริมการเข้าถึงอาหารคุณภาพ

 



นายวลัยพรรณ น้อยสันเทียะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เป็นผู้แทน นายเฉลิมพล มั่งคั่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร รับมอบ “โครงการซีพีเอฟ อิ่มสุข ปลูกอนาคต” จาก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เพื่อสร้างโภชนาการที่ดีในเด็กและเยาวชน แก่โรงเรียนป่าไร่ป่าชาดวิทยา ตำบลป่าไร่ อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร พร้อมสร้างกระบวนการเรียนรู้และส่งเสริมการเข้าถึงอาหารคุณภาพ ปลอดภัย และเหมาะสมตามหลักโภชนาการแก่เยาวชน สนับสนุนสู่การพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ต้นแบบในโรงเรียนและชุมชนต่อไป โดยมี นายดำริห์ แสงสินธุ์ชัย รองกรรมการผู้จัดการ ธุรกิจสุกร ซีพีเอฟ เป็นผู้แทนส่งมอบ ร่วมด้วย นายพิเชษฐ มหาวงศ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามุกดาหาร

 

นายวลัยพรรณ น้อยสันเทียะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร กล่าวขอบคุณซีพีเอฟ ที่ได้แบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กับเยาวชนที่จะเติบโตเป็นกำลังสำคัญของประเทศต่อไป การดำเนินงานของ “โครงการซีพีเอฟ อิ่ม สุข ปลูกอนาคต” เพื่อให้เกิดความสำเร็จนั้นจะต้องประกอบด้วยภาคส่วนที่สำคัญ ส่วนแรกคือซีพีเอฟ ในฐานะภาคเอกชนผู้ส่งมอบองค์ความรู้และแนวทางปฏิบัติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมด้านโภชนาการ ส่วนที่สองคือโรงเรียน ในฐานะภาครัฐ โดยมีคณะครูและนักเรียนเป็นผู้ขับเคลื่อนให้เป็นไปตามแนวทางที่กำหนด ส่วนที่สามคือภาคประชาสังคม  ทั้งพ่อแม่ผู้ปกครองและชุมชนรอบข้าง ที่ต้องมาช่วยกันผลักดันให้เกิดความสำเร็จ

 





ภาคเอกชน ภาครัฐ และภาคประชาสังคม คือ 3 ภาคส่วนที่มีความสำคัญในการดำเนินโครงการฯ นี้อย่างมั่นคง และทำให้เกิดความยั่งยืนต่อไปได้ในอนาคต ขอขอบคุณซีพีเอฟอีกครั้ง ที่ร่วมสร้างโภชนาการที่ดีให้กับเด็กๆ และสร้างโอกาสที่ดีให้กับโรงเรียนและนักเรียน ที่ทุกคนมีความต้องการในการพัฒนาโรงเรียนให้เป็นแหล่งสร้างอาหารปลอดภัย และแหล่งเรียนรู้แก่นักเรียน ครู และผู้ปกครองต่อไป” รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร กล่าว

 

ด้าน นายพิเชษฐ มหาวงศ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามุกดาหาร เปิดเผยว่า  สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ ผนึกกำลังกับ ซีพีเอฟ และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ดำเนิน “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ตั้งแต่ปี 2532 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อเสริมสร้างโภชนาการที่ดีและการเติบโตสมวัยทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา ให้แก่เด็กและเยาวชนในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกลและในถิ่นทุรกันดาร จากความสำเร็จของโครงการฯ ดังกล่าว ในปี 2558 สพฐ. และซีพีเอฟได้ร่วมกันดำเนิน “โครงการซีพีเอฟ อิ่ม สุข ปลูกอนาคต” เพื่อต่อยอดความมุ่งมั่นในการมีส่วนร่วมสร้างโภชนาการที่ดีในเด็กและเยาวชนอย่างไม่สิ้นสุด

 



การดำเนินโครงการฯ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 บนพื้นฐานความร่วมมือเชิงบูรณาการ 3 ประสาน เป็นการขยายผลกระบวนการเรียนรู้และส่งเสริมการเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพปลอดภัย และเหมาะสมตามหลักโภชนาการไปยังเด็กนักเรียน พร้อมสนับสนุนการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ต้นแบบในโรงเรียนและชุมชน โดยโรงเรียนป่าไรป่าชาดวิทยา ถือเป็นหนึ่งในความสำเร็จของโครงการฯ จากการพัฒนาพื้นที่ภายในโรงเรียน เกิดเป็น 7 ฐานเรียนรู้ ทั้งการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวัน อุโมงค์ผักและศูนย์การเรียนรู้ศาสตร์พระราชา การเลี้ยงปลา หลุมพอเพียง ไม้ผลแบบผสมผสาน แปลงผักปลอดสาร ปลูกเห็ดในโรงเรือน ปลูกมะนาวในบ่อซีเมนต์ และร้านค้าอิ่มสุขโรงเรียน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมทั้งทักษะวิชาการและพัฒนาสู่พื้นฐานการประกอบอาชีพในอนาคตของเยาวชนได้เป็นอย่างดี” นายพิเชษฐ กล่าว

 

ด้าน นายดำริห์ แสงสินธุ์ชัย รองกรรมการผู้จัดการ ธุรกิจสุกร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ภายใต้กลยุทธ์ 3 เสาหลักสู่ความยั่งยืน “อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน และดินน้ำป่าคงอยู่” พร้อมทั้งสร้างความตระหนักและส่งเสริมพนักงานมีส่วนร่วมตอบแทนสังคม ดูแลชุมชนรอบสถานประกอบการ ผ่านการดำเนินโครงการต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง โดยเสาหลักด้าน “อาหารมั่นคง” เป็นเป้าหมายสำคัญในการส่งเสริมการเข้าถึงอาหารแก่เด็กและเยาวชน ผ่าน “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ตลอดระยะเวลา 34 ปี จนถึงปัจจุบันมีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ แล้ว 905 โรงเรียนทั่วประเทศ มีนักเรียนมากกว่า 180,000 คน และยังเป็นแหล่งเรียนรู้การจัดการอาชีพเกษตรเชิงธุรกิจให้กับครู 12,000 คน และชุมชน 1,900 แห่งได้รับประโยชน์จากโครงการฯ กระทั่งต่อยอดสู่ “โครงการซีพีเอฟ อิ่ม สุข ปลูกอนาคต” ไปยังโรงเรียนในพื้นที่รอบโรงงานและฟาร์มของบริษัท มากกว่า 80 แห่ง สู่น้องๆนักเรียนรวมกว่า 16,000 คน ที่ชาวซีพีเอฟจิตอาสาร่วมกันเข้าไปช่วยสร้างแหล่งอาหาร แหล่งเรียนรู้ และพัฒนาเป็นโรงเรียนต้นแบบนวัตกรรมการสร้างอาหารในชุมชน

 

ซีพีเอฟเชื่อมั่นว่า “หากให้ปลาหนึ่งตัว จะมีกินหนึ่งวัน แต่การสอนจับปลา จะมีกินตลอดไป” เมื่อเด็กและเยาวชน “อิ่มท้อง” จากการเรียนรู้วิธีการผลิตอาหาร ควบคู่ไปกับวิถีการบริโภคอย่างมีสุขโภชนาการ  ไม่เพียงแต่ส่งเสริมการมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนการมีจิตใจแจ่มใส พร้อมเล่นและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เรียกได้ว่า “สุข” ทั้งกาย ใจ สังคม และปัญญา ซึ่งถือเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญของการ “ปลูกอนาคต” เพื่อเด็กและเยาวชน และจะเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าและมั่นคงต่อไป” นายดำริห์ กล่าวทิ้งท้าย./

“วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” เทศกาลสัตว์น้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

  เปิดประสบการณ์ความมหัศจรรย์ของโลกใต้น้ำกับ FISHTIVAL 2025   ที่ยกทัพพาเหรดสัตว์น้ำกว่า 3,000 ตู้ ในงาน “วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” ...