วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2565

ซีพีเอฟ ดันเกษตรกรคอนแทรคฟาร์มมิ่ง ใช้เทคโนโลยี-นวัตกรรม-ออนไลน์ มุ่งสู่ฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farm)



ซีพีเอฟ ดันเกษตรกรคอนแทรคฟาร์มมิ่ง ใช้เทคโนโลยี-นวัตกรรม-ออนไลน์ มุ่งสู่ฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farm)

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ถ่ายทอดระบบ “ฟาร์มอัจฉริยะ หรือสมาร์ทฟาร์ม (Smart Farm)” มุ่งสู่เกษตรกรคอนแทรคฟาร์มมิ่ง มุ่งใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม IOT ในฟาร์มสุกร ช่วยยกระดับการบริหารจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สวัสดิภาพสัตว์ระดับสากล ลดการพึ่งพายาปฏิชีวนะ และเพิ่มความเชื่อมั่นผู้บริโภค






นายสมพร เจิมพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า การวิจัยและพัฒนาเป็นก้าวย่างสำคัญที่ช่วยให้การดำเนินงานของธุรกิจเลี้ยงสัตว์ (Farm) รุดหน้าและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สำหรับธุรกิจสุกรให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้ขับเคลื่อนการดำเนินงาน โดยผนึกกำลังกับซีพีเอฟไอที เซ็นเตอร์ และทรู คอร์ปอเรชั่น ในการพัฒนาระบบ “ฟาร์มอัจฉริยะ หรือสมาร์ทฟาร์ม (Smart Farm)” มาผนวกกับกิจการเลี้ยงสัตว์ของซีพีเอฟ เมื่อข้อมูลจำนวนมากของบริษัทที่ถูกเก็บรวบรวมแบบออนไลน์ ทำให้ได้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อใช้สำหรับการวิเคราะห์และประมวลผล อีกทั้งยังนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มาช่วยยกระดับและสร้างความเชื่อมั่นให้กับข้อมูลต่างๆ และบริษัทยังพัฒนาการเลี้ยงสุกรครบวงจร “SMART PIG” มาปรับใช้ในการเลี้ยงสุกรทุกช่วงอายุ เพื่อช่วยยกระดับการบริหารจัดการของเจ้าหน้าที่ การเก็บข้อมูล และวิเคราะห์ประสิทธิภาพการผลิต 


ขณะเดียวกัน ยังผลักดันให้เกษตรกรในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์แก่เกษตรกรรายย่อย หรือ Contract Farming นำระบบสมาร์ทฟาร์มมาปรับใช้อย่างต่อเนื่อง อาทิ การตรวจสอบและควบคุมสภาพแวดล้อมแบบอัตโนมัติ (Automatic) การติดตั้งระบบกล้อง CCTV โดยร่วมกับทรูติดตั้งจนครบ 100% ในฟาร์มเกษตรกร 3,700 ราย และมีระบบตรวจวัดการไอของหมู หรือ Sound Talks เพื่อติดตามสุขภาพตลอด 24 ชั่วโมงผ่านออนไลน์ เพื่อลดโอกาสเกิดความเสียหายในฝูงสัตว์ 




“ซีพีเอฟใช้เทคโนโลยีระบบสมาร์ทฟาร์ม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและส่งเสริมสวัสดิภาพสัตว์ในฟาร์มระบบปิด ที่สะอาด ถูกสุขอนามัย ทำให้สัตว์มีสุขภาวะที่ดีจากภายใน ลดการพึ่งพายาปฏิชีวนะ ได้เนื้อสัตว์ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ปลอดภัย ส่งผลดีต่อสุขภาพผู้บริโภค พร้อมถ่ายทอดระบบสู่เกษตรกร ส่งผลการผลิตเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยตรวจสอบการป้องกันโรคในฟาร์มอย่างเข้มงวด ด้วยเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ นวัตกรรม และ IOT (Internet of Things) ทำให้ซีพีเอฟและเกษตรกรมีเทคโนโลยีการผลิต (Operation Tech) ที่สามารถผลิตสุกรในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน” นายสมพร กล่าว






สำหรับเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในการเลี้ยงสุกร ได้แก่ ระบบ SMART Farm Solution ทำให้ทราบถึงปริมาณการกินน้ำและอาหาร อุณหภูมิ ความชื้น ความเร็วลม ก๊าซแอมโมเนียที่จะมีผลต่อสุขภาพสุกร และสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมในโรงเรือนให้สม่ำเสมอตลอดทั้งหลัง เหมาะสมกับสุกรมากที่สุด หากอุปกรณ์เกิดความผิดพลาด ระบบจะแจ้งเตือนไปยังเจ้าหน้าที่ทันที, ระบบ SMART Eye AI Detector ทำการบันทึกและวิเคราะห์พฤติกรรมและสุขภาพสุกรแม่พันธุ์ก่อนคลอดได้อย่างแม่นยำ เจ้าหน้าที่จึงบริหารจัดการได้อย่างมีประสทธิภาพ, ระบบ Smart Pig (QR Code) บันทึกข้อมูลในระบบออนไลน์ และวิเคราะห์ข้อมูลด้านการจัดการสุกรแม่พันธุ์ผ่าน QR Code, ระบบตรวจวัดการไอของสุกร Sound Talks ตรวจวัดสุขภาพสุกรจากการไอ แล้วแปลงเป็นระบบคลื่นเสียง พร้อมแสดงแถบสีบนอุปกรณ์ และแจ้งข้อมูลในระบบทันที, ระบบกล้องวงจรปิด CCTV ติดตั้งในจุดที่สำคัญทั้งภายนอกและภายในโรงเรือน เพื่อตรวจสอบระบบการป้องกันโรค ลดโอกาสการนำเข้าเชื้อโรคเข้าสู่ฟาร์ม และ ระบบรายงานออนไลน์สำหรับเกษตรกร Chatbot เกษตรกรสามารถบันทึกข้อมูลสำคัญในกระบวนการผลิต ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งรวดเร็วกว่าการจดบันทึก และยังสามารถส่งภาพพฤติกรรมสุกรภายในโรงเรือนให้กับสัตวบาลและสัตวแพทย์ช่วยวิเคราะห์สุขภาพสุกรขุนได้ตลอดเวลา ช่วยให้ดำเนินแก้ปัญหาได้ทันท่วงที สามารถลดเวลาและประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง./




คลิกเพื่อชม CLIP VDO >> https://youtu.be/5GBytc-7znE

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2565

ซีพีเอฟ เดินหน้าคลายทุกข์ชาวมีนบุรี “ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม" ต่อเนื่อง




ชาวซีพีเอฟจิตอาสา โรงงานแปรรูปเนื้อไก่ มีนบุรี 1 และมีนบุรี 2 ของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เร่งช่วยเหลือเพื่อนพนักงานและชาวมีนบุรีที่ประสบภัยน้ำท่วม เดินสายมอบอาหารและน้ำดื่ม ภายใต้โครงการ "CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม" ช่วยคลายทุกข์อย่างต่อเนื่อง จากก่อนหน้านี้ที่ได้ให้ความช่วยเหลือในหลายพื้นที่ของจังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง และพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งที่บางนา และมีนบุรี





นายดิถดนัย ผ่องสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ ธุรกิจไก่เนื้อ ซีพีเอฟ นำผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล และจิตอาสาโรงงานแปรรูปเนื้อไก่ซีพีเอฟ มีนบุรี 1 และมีนบุรี 2 ลงพื้นที่ช่วยเหลือชาวชุมชนลำไทร และชุมชนทองสงวน ซึ่งเป็นชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงสถานประกอบการ ตลอดจนช่วยเหลือเพื่อนพนักงานที่อาศัยในชุมชนดังกล่าว ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมเนื่องจากมีฝนตกติดต่อกันหลายวัน ส่งผลทำให้น้ำไหลลงมาสะสมและระบายไม่ทัน น้ำในลำคลองเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือน มีน้ำท่วมขังหลายจุด ถนนถูกน้ำท่วม การเข้าออกพื้นที่มีความยากลำบาก 






“ซีพีเอฟ ห่วงใยพี่น้องคนไทยเร่งให้ความช่วยเหลือในเหตุการณ์น้ำท่วมมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้นำข้าวสาร อาหารแห้ง เครื่องอุปโภค-บริโภค พร้อมน้ำดื่ม  ไปมอบถึงมือเพื่อนพนักงานและชาวชุมชนในเขตมีนบุรีที่กำลังเดือดร้อนจากเหตุน้ำท่วม หลายจุดสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย มีน้ำท่วมขังในบ้านเรือน บริษัทฯ จึงอาสาเข้าไปเร่งช่วยเหลือคลายความกังวลโดยเฉพาะด้านอาหารการกิน ให้ทุกคนได้มีอาหารเพียงพอในการดำรงชีวิต และยังให้กำลังใจเพื่อให้ผ่านสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน” นายดิถดนัย กล่าว






ทางด้าน นายสมาน พุฒเพ็ง ประธานชุมชนพัฒนาลำต้นไทร กล่าวว่า ขอขอบคุณซีพีเอฟเป็นอย่างยิ่งที่ระดมทีมลง พื้นที่เข้าดูแลชุมชนในทันที โรงงานแปรรูปเนื้อไก่ซีพีเอฟ มีนบุรี 1 และมีนบุรี 2  ถือเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ที่คอยช่วยเหลือแก่ชุมชนใกล้เคียงในทุกครั้งที่เกิดสถานการณ์อันยากลำบาก ดังเช่นที่ชุมชนเกิดปัญหาน้ำท่วมในครั้งนี้ ทางจิตอาสาซีพีเอฟได้เข้าช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง และก่อนหน้านี้ทีมงานได้ร่วมกับชาวชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และจิตอาสาจากหลายภาคส่วน ร่วมกันบรรจุทรายใส่กระสอบ เพื่อทำแนวกั้นน้ำบริเวณชุมชนลำต้นไทรที่แม่น้ำในลำคลองเอ่อล้นเข้าพื้นที่ชุมชน  พร้อมลงตรวจสอบพื้นที่ชุมชนรอบโรงงานเพื่อเฝ้าระวังระดับน้ำอยู่ตลอดเวลา ถือเป็นความเสียสละและสะท้อนความห่วงใยที่บริษัทมีต่อชาวชุมชนในเขตมีนบุรีเสมอมา./




วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2565

ภาครัฐ "เครื่องอย่ารวน" เร่งสปีดปราบหมูเถื่อน กู้ชีพคนเลี้ยงหมูไทย กู้ชีวิตคนไทยไม่ให้ตายผ่อนส่ง

 ภาครัฐ "เครื่องอย่ารวน" เร่งสปีดปราบหมูเถื่อน  กู้ชีพคนเลี้ยงหมูไทย กู้ชีวิตคนไทยไม่ให้ตายผ่อนส่ง


อัปสร พรสวรรค์ 





สัปดาห์ก่อนอ่านเจอข่าว “หมูเถื่อน” ขายออนไลน์กันเกลื่อนเมือง แถมราคาล่อใจถูกกว่าหมูไทยเกือบเท่าตัว เนื้อแดงสนนราคาเพียง 135-145 บาทต่อกิโลกรัม เทียบกับหมูไทยที่ 200 บาทต่อกิโลกรัม ใครจะไม่สน โดยเฉพาะร้านอาหาร ร้านหมูกระทะ ที่ต้องใช้หมูเป็นวัตถุดิบ หรือ เขียงหมู ค้าขายต่อวันจำนวนมากให้ได้กำไรเพิ่มคงไม่พลาด แต่หารู้ไม่ว่าเนื้อหมูนำเข้านั้นแฝงไว้ด้วยสารพิษและสารปนเปื้อน โดยเฉพาะสารเร่งเนื้อแดง เป็นสารสังเคราะห์ในกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ (Beta-Agonist) มีด้วยกันหลายชนิด เช่น แรคโตพามีน (Ractopamine) เป็นต้น ซึ่งมีฤทธิ์ส่งเสริมการเปลี่ยนไขมันเป็นกล้ามเนื้อ และลดการสะสมไขมันในเนื้อเยื่อ เพื่อเพิ่มปริมาณเนื้อแดง  ที่สำคัญกว่านั้นคือ เป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง ในมุมผู้บริโภคต้องถามตัวเองว่า เราจะเอาชีวิตไปเสี่ยงกับ “มะเร็ง” หรือไม่







ในมุมของเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู หมูลักลอบนำเข้า รวมถึงเครื่องใน ขายราคาถูกเบอร์นั้นได้เพราะเป็นชิ้นส่วนที่คนในประเทศทางตะวันตกไม่นิยมบริโภคกัน จึงไม่มีราคาในประเทศ การส่งออกไปขายราคาถูกๆ ยังได้ต้นทุนคืนบ้าง นอกจากนี้ เกษตรกรบ้านเขาได้รับการอุดหนุนจากภาครัฐหนักกว่าบ้านเรามาก  ที่สำคัญหมูที่ลักลอบนำเข้าส่วนใหญ่มาจาก เยอรมัน สเปน เนเธอร์แลนด์ บราซิล เป็นต้น ประเทศเหล่านี้พบว่ามีการระบาดของโรค ASF เกือบทั้งหมด โอกาสที่หมูลักลอบนำเข้าจะติดโรคนี้มาด้วยก็มีความเป็นไปได้สูงเช่นกัน จึงจำเป็นต้องลักลอบนำเข้าปะปนมาในตู้คอนเทรนเนอร์เดียวกับสินค้าอาหารอื่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจโรคและการแสดงเอกสารเคลื่อนย้ายซากสัตว์ หาก ASF กลับมาระบาดในไทยอีกครั้งเกษตรกรรายย่อยและรายเล็กคงหายนะ


“หมูเถื่อน” จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำลายเศรษฐกิจของไทย ไม่ใช่แค่เพียงรายได้ แต่สำคัญที่สุดคือ สุขอนามัยที่ดีของคนไทยทั้งประเทศ และชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูไทย หากต้องขายเนื้อหมูในราคาขาดทุน เนื่องจากปัจจัยการผลิตเพิ่มขึ้นรอบด้าน นับตั้งแต่วัตถุดิบอาหารสัตว์ ต้นทุนการป้องกันโรคและต้นทุนพลังงาน  




ดังนั้น อย่าให้การปราบปราม “หมูเถื่อน” ของภาครัฐเหมือนกับสำนวน “ผักชีโรยหน้า” หรือ “เช้าชามเย็นชาม” แต่ต้องปราบปรามให้สิ้นซากแบบถอนรากถอนโคน ไม่ใช่แค่ทำให้เสร็จๆไป การปราบพวกฉวยโอกาสลักลอบนำเข้าต้องทำอย่างเด็ดขาด ด้วยความรวดเร็ว สม่ำเสมอและต่อเนื่อง อย่าเพียงแค่ขู่แต่ต้องลงดาบให้เข็ดหลาบ 


ล่าสุด นับเป็นข่าวดีที่กรมศุลกากร ขยับตัวจับกุมเนื้อสุกรแช่แข็งลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ 3 คดี น้ำหนักกว่า 35,000 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 7.34 ล้านบาท และพร้อมเดินหน้าตรวจเข้มและจับกุมผู้ทำผิดกฎหมายเพื่อให้ประชาชนปลอดภัยจากสารปนเปื้อนและเชื้อ ASF


หากติดตามการปราบปรามหมูเถื่อนดูเหมือนจะมีรอบการตรวจจับ (ทุกไตรมาส) จับได้ก็ออกข่าวประกาศเป็นผลงานของกอง-กรมต่างๆ แต่พอมีการชี้เบาะแสกลับโยนกันไป-มาเหมือน “เครื่องรวน” หาเจ้าภาพไม่ได้ และอย่าทำเพราะมีเสียงเรียกร้องจากสมาคมผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศ ผนึกกำลังกันกู่ร้องให้ภาครัฐได้ยินว่า “หมูเถื่อนอาละวาดไทย” คนเลี้ยงหมูไทยขายของไม่ได้ โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยที่นำหมูเข้าเลี้ยงใหม่อีกกว่า ล้านตัว ซึ่งจะมีผลผลิตออกตลาดในช่วงปลายปีนี้ จะไปขายใครได้ถ้า “หมูเถื่อน” ยังเกลื่อนประเทศ และยังมีเล็ดลอดอีกมากในห้องเย็น ขอให้ท่านตรวจสอบอย่างจริงจัง ก็จะพบของกลางไม่ยาก

 

ภาครัฐ เป็นที่พึ่งเดียวของประชาชนและเกษตรกรในขณะนี้ จึงจำเป็นต้องเร่งสปีดจับกุมหมูเถื่อนให้หมดไป เพื่อสร้างงานสร้างอาชีพต่อลมหายใจให้ผู้เลี้ยงหมูไทย และยังส่งเสริมให้คนไทยได้บริโภคอาหารปลอดภัยจากมือเกษตรกรไทย เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งคนและเศรษฐกิจประเทศให้รอดพ้นจากวิกฤตโลกที่ทุกคนกำลังเผชิญ./

"CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม" ช่วยเหลือชาวระยอง-มีนบุรี ต่อเนื่อง




บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ตระหนักถึงความเดือดร้อนของคนไทยที่ประสบภัยน้ำท่วมในหลายพื้นที่ โดยชาวซีพีเอฟจิตอาสากระจายกำลังลงพื้นที่มอบเสบียงอาหารและน้ำดื่ม ภายใต้โครงการ "CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม" เพื่อบรรเทาทุกข์อย่างเร่งด่วนและต่อเนื่องในพื้นที่ระยอง และเขตมีนบุรี กรุงเทพฯ โดยก่อนหน้านี้ได้เร่งให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีในหลายจังหวัด ทั้งชลบุรี ระยอง บางนา และมีนบุรี 



นายอัฑฒ์ภูวิศ กลิ่นสุคนธ์ และ นายปัญญา เวียงนนท์ ปลัดอำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง รับมอบน้ำดื่มซีพี จาก นายโกมล  ดวงนภา ผู้จัดการโครงการส่งเสริมสุกรพันธุ์ระยอง และ นายธนากร บุญศรี ผู้จัดการโครงการส่งเสริมสุกรขุนระยอง เป็นผู้แทนซีพีเอฟร่วมกันส่งมอบ เพื่อนำไปช่วยเหลือ พี่น้องประชาชนชาวระยอง ผู้ประสบภัยน้ำท่วม ณ ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเทศบาลตำบลทับมา อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง 



ปลัดอำเภอเมืองระยอง กล่าวว่า สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดระยอง น้ำเริ่มลดลงและบางพื้นที่น้ำแห้งจนเกือบกลับมาสู่สภาวะปกติแล้ว แต่ยังคงมีพื้นที่ได้รับผลกระทบ จากปริมาณฝนที่ตกหนักติดต่อกันในช่วงที่ผ่านมา บางจุดยังมีน้ำท่วมขังและมีน้ำจากคลองทะลักท่วมบ้านอยู่ ทำให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเรือน และพื้นที่การเกษตรของประชาชน หลายชุมชนจึงได้รับความเดือดร้อน ขอขอบคุณซีพีเอฟที่ร่วมสนับสนุนน้ำดื่มสำหรับช่วยเหลือชาวระยองในครั้งนี้ 







ด้าน นายฤกษ์ บุญยิ่งเหลือ ผู้จัดการสำนักธุรการ โรงงานอาหารสำเร็จรูปหนองจอก นำชาวซีพีเอฟจิตอาสา ร่วมกันลงพื้นที่ให้การสนับสนุนไส้กรอก จำนวน 50 กิโลกรัม ให้แก่ชาวชุมชนอู่ตะเภา เขตหนองจอก ซึ่งเป็นชุมชนรอบข้างโรงงานฯ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม เข้าบ้านเรือนประชาชนที่อาศัยอยู่ริมคลองลำควายชน เขตหนองจอก 


"ช่วงที่ผ่านมามีฝนตกติดต่อกันหลายวัน ทำให้น้ำในคลองลำกระบือชนเอ่อล้น เข้ามาในพื้นที่ชุมชน จนเกิดน้ำท่วมขัง ชาวบ้านต่างได้รับความเดือดร้อนเพราะถนนถูกน้ำท่วม เข้าออก ลำบาก ที่นี่เป็นชุมชนเล็กๆ ที่ได้รับความช่วยเหลือจากทางโรงงานซีพีเอฟหนองจอก ในสถาณการณ์น้ำท่วมเช่นนี้ ขอขอบคุณบริษัทที่ห่วงใยและช่วยชุมชนมาตลอด" นางสุภาพร แซ่เฮ้ง ชาวชุมชนอู่ตะเภา กล่าว./

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2565

ผู้บริหารอ.ส.ค​ บุกสำนักข่าวแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่​ "โอเมก้าพลัส ตราไทย-เดนมาร์ค"



ผู้บริหารอ.ส.ค​ บุกสำนักข่าวแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่​ "โอเมก้าพลัส ตราไทย-เดนมาร์ค"





นายสมพร  ศรีเมือง   ผู้อำนวยการ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.)​  กล่าวว่า   เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างอ.ส.ค.และสื่อมวลชนตลอดจนแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่นมยูเอชที รสจืด โอเมก้าพลัส ตราไทย-เดนมาร์คให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น  เมื่อเร็วๆนี้ตนและนายเทอดไชย ระลึกมูล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ อ.ส.ค. และทีมงานกองประชาสัมพันธ์ฯ อ.ส.ค. นำผลิตภัณฑ์ใหม่ ยูเอชที รสจืด โอเมก้าพลัส ตราไทย-เดนมาร์คขนาด 180 มล.มอบให้แก่สื่อมวลในกิจกรรม “Media visit”  เพื่อเป็นการเยี่ยมเยือนสื่อมวลชนและประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ใหม่ของอ.ส.ค.โดยได้เข้าเยี่ยมสื่อสถานีโทรทัศน์ PPTV สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7  สำนักพิมพ์ข่าวสด  สำนักพิมพ์มติชน  สำนักพิมพ์เดลินิวส์ และสำนักพิมพ์แนวหน้า  ณ พื้นที่ย่านวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ






สำหรับ “ผลิตภัณฑ์นม  ยูเอชที รสจืด โอเมก้าพลัส ตราไทย-เดนมาร์ค”   เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก 1ขวบขึ้นไปและผู้บริโภคทุกวัย   ชูจุดขายเป็นยี่ห้อเดียวในตลาดที่ทำจากนมโคสดแท้100% ทำให้ปลอดภัยจากสารปนเปื้อนจากนมผงและมีผสมของ “ลูทีน”ช่วยบำรุงระบบประสาทตา  ตอบโจทย์พฤติกรรมคนสมัยใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์เกาะติดหน้าจอ   ผ่านการคัดสรรสูตรต้นแบบจากทีมวิจัยและพัฒนาของอ.ส.ค. โดยคุณสมบัติเด่นของผลิตภัณฑ์คือผลิตจากน้ำนมโคสดแท้ 100% สามารถซื้อได้ที่ร้านตัวแทนจำหน่ายนมไทย-เดนมาร์คทั่วประเทศ ซุปเปอร์มาร์เกตชั้นนำทั่วประเทศ เช่น โลตัส  บิ๊กซี  แม็คโคร กรูเม่ทุกสาขา เป็นต้น




อ.ส.ค.รุกยกระดับมาตรฐานการผลิตน้ำนมโคและผลิตภัณฑ์




อ.ส.ค.รุกยกระดับมาตรฐานการผลิตน้ำนมโคและผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับในระบบสากล  เพื่อรองรับการแข่งขันในอุตสาหกรรมนมทั้งในและต่างประเทศ 




นายสมพร   ศรีเมือง  ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย(อ.ส.ค.) กล่าวว่า    เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานการผลิตผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คให้เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศมากยิ่งขึ้น   รวมทั้งเตรียมความพร้อมในการรองรับการแข่งขันในอุตสาหกรรมนมในอนาคตที่มีแนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น   ตนได้สั่งการให้สำนักงานอ.ส.ค.ทั้ง5ภาคให้ความสำคัญการเข้ารับการตรวจประเมินระบบคุณภาพ เพื่อควบคุมและกำกับกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คให้เป็นไปตามข้อกำหนดและมาตรฐานสากลอย่างสม่ำเสมอ    โดยเฉพาะจากบริษัทคู่ค้า เช่น  บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)ผู้บริหาร  เซเว่น อีเลฟเว่นซึ่งปัจจุบันผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คได้ไปวางจำหน่ายอยู่ในสาขาทั่วประเทศรวมทั้งคู่ค้ารายอื่นๆ    รวมทั้งได้มอบหมายให้แผนกส่งเสริมการเลี้ยงโคนมทุกภาคจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาคุณภาพน้ำนมโค    โดยมีเป้าหมายให้สมาชิกสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนมภายใต้เครือข่ายอ.ส.ค.ทั่วประเทศ ได้พัฒนาคุณภาพน้ำนมดิบของสมาชิกสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น   เพื่อยกระดับการผลิต  การแปรรูปและการจำหน่ายได้ให้ได้มาตรฐานสากลเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น   ปัจจุบันสามารถผลิตน้ำนมได้ 13 กิโลกรัมต่อตัวต่อวัน ซึ่ง อ.ส.ค.ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มการผลิตน้ำนมให้ได้ 20 กิโลกรัมต่อตัวต่อวันในอนาคตเพื่อให้เกษตรกรโคนมได้ผลผลิตน้ำนมดิบที่สูงขึ้นได้น้ำนมคุณภาพดีสามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมนมไทยและระดับนานาชาติได้






 “ปัจจุบันอ.ส.ค.นอกจากมีภารกิจหลักในการบริหารกิจการโคนมแล้ว ยังให้ความสำคัญในการผลักดันส่งเสริมเกษตรกรโคนมไทย ด้วยการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมการเลี้ยงโคนม เป็นศูนย์ให้ความรู้ ช่วยเหลือ แนะนำ และให้คำปรึกษาแก่เกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรได้ผลผลิตน้ำนมดิบที่มีคุณภาพ และสามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมนมสู่ระดับนานาชาติได้ นอกจากนี้ยังช่วยส่งเสริมให้เกษตรกรโคนมรายใหม่ก้าวเข้าสู่อาชีพการเลี้ยงโคนม ตลอดจนประสานงาน และร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างปศุสัตว์ ในด้านการกำจัดโรค การเลี้ยงดู การผสมเทียม อาหารและอื่นๆ สำหรับโคนมและสัตว์อื่นที่ให้น้ำนมและเนื้ออีกด้วย โดยปัจจุบันมีกลุ่มสหกรณ์โคนมที่เข้าร่วมกว่า 40 สหกรณ์ เพื่อสนับสนุนการรับซื้อน้ำนมดิบของเกษตรกรโคนม”นายสมพร  กล่าว  

************

ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์นม ยูเอชที รสจืด โอเมก้า




ภาพสังคม-ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์นม ยูเอชที รสจืด โอเมก้า

นายวินิจ วงศ์วโรฬาร หัวหน้าสำนักงาน อ.ส.ค. ภาคเหนือตอนบน พร้อมด้วยแผนกการตลาดและการขาย สำนักงาน อ.ส.ค. ภาคเหนือตอนบนลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์นม ยูเอชที รสจืด โอเมก้า พลัส ในเขตพื้นที่อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับ บริษัท ส.เจริญซัพพลาย 2018 จำกัด  เพื่อเพิ่มพื้นที่กระจายสินค้าและกระตุ้นยอดจำหน่าย  ณ พื้นที่อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่  เมื่อเร็วๆนี้

**********************************


วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2565

มอบรางวัลให้กับผู้โชคดี ครั้งที่ 6




ภาพสังคม-มอบรางวัลให้กับผู้โชคดี ครั้งที่ 6

นายสมพร ศรีเมือง  ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย(อ.ส.ค.)เป็นประธาน มอบรางวัลให้กับผู้โชคดี ใน โครงการส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์ค เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 60 ปี ครั้งที่ 6  เพื่อกระตุ้นยอดขาย/ตอบแทนลูกค้านมไทย-เดนมาร์ค ณ สำนักงานอ.ส.ค.กรุงเทพ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เมื่อเร็วๆนี้

****************


อ.ส.ค.ตอกย้ำความสำเร็จ







อ.ส.ค.ตอกย้ำความสำเร็จ

นายอนุชิต สุกรินทร์ หัวหน้าสำนักงานองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย(อ.ส.ค.) เป็นตัวแทนอ.ส.ค.เข้าร่วมพิธีมอบรางวัลโครงการส่งเสริมโรงงานอุตสาหกรรมให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนอย่างยั่งยืน (CSR-DIW to achieve SDGs) ประจำปี 2565  ซึ่งสำนักงาน อ.ส.ค. ภาคใต้คว้ารางวัลดังกล่าวเป็นปีที่ 2   ณ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี  เมื่อเร็วๆนี้ 

                                      


อ.ส.ค.เปิดอาคารสำนักงาน กรุงเทพ





อ.ส.ค.เปิดอาคารสำนักงาน กรุงเทพ

นางสาวมนัญญา  ไทยเศรษฐ์   รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  เป็นประธานพิธีเปิดอาคารสำนักงานองค์การส่งเสริมกิจกรรมโคนมแห่งประเทศไทย(อ.ส.ค.) สำนักงานกรุงเทพ โดยมีคณะกรรมการบริหารอ.ส.ค.และผู้บริหารระดับสูงอ.ส.ค.ตลอดจนพนักงานให้การต้อนรับ ณ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี   เมื่อเร็วๆน

อ.ส.ค.หนุนเสริมเขี้ยวเล็บเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมรับมือเปิดเสรี





อ.ส.ค.หนุนเสริมเขี้ยวเล็บเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม  เพื่อลดผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้าของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม  





นายสมพร ศรีเมือง  องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย(อ.ส.ค.)  กล่าวว่า   อ.ส.ค.ได้จัดส่งเจ้าหน้าออกให้ความรู้และคำแนะนำกับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม เพื่อเตรียมมือรับมือการเปิดเสรี FTA ไทย-ออสเตรเลียและไทย-นิวซีแลนด์ที่ไทยต้องลดภาษีนำเข้าเป็นศูนย์ในสินค้านมและผลิตภัณฑ์นมในปี 2564 และปี 2568อย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะการยกระดับการผลิตน้ำนมโคและผลิตภัณฑ์ได้มาตรฐานสอดคล้องกับความต้องการทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้เกิดการยอมรับและสามารถแข่งขันกับนานาประเทศไทย   ซึ่งเป็นที่ทราบดีกว่า มีสินค้าเกษตรหลายชนิดที่เกี่ยวกับอ.ส.ค.และเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมจะได้รับผลกระทบ อาทิ   โคนม น้ำนมดิบ  จำเป็นที่จะต้องเร่งหามาตรการในการยกระดับและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมตั้งแต่ระดับต้นน้ำ  กลางน้ำและปลายน้ำเพื่อเพิ่มคุณภาพการผลิตน้ำนมโคให้ได้มาตรฐานควบคู่กับการเร่งลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมเพื่อให้สามารถแข่งขันด้านคุณภาพและราคากับนานาประเทศได้ในอนาคต   




อย่างไรก็ตาม  แม้ปัจจุบันอ.ส.ค.เป็นองค์กรที่มีศักยภาพสูงและเป็นรัฐวิสาหกิจหลักที่ทำหน้าที่ในดูแลโคนมอาชีพพระราชทานให้เป็นอาชีพที่มีความมั่นคง ยั่งยืนตลอดอยู่คู่ประเทศไทยตลอดไป  การส่งเสริมเกษตรกรในเครือข่ายให้ผลิตน้ำนมให้มีคุณภาพให้เกษตรกรอยู่ได้ด้วยการลดต้นทุน เพื่อให้เกษตรกรนั้นมีอาชีพการเลี้ยงโคนมที่ยั่งยืนจึงถือเป็นภารกิจสำคัญของอ.ส.ค.ที่จะต้องเร่งขับเคลื่อนโดยเร็วเพื่อยกระดับโคนมอาชีพพระราชทานให้เกิดความยั่งยืน มั่นคงต่อไป

*************************

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2565

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ จี้รัฐบาลเร่งปราบผู้ร้าย “หมูเถื่อน” เบียดผู้เลี้ยงรายย่อยจนตรอก




สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เร่งรัฐบาลปราบผู้ร้ายลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนให้ราบคาบ “ตัวอันตราย” ดั๊มพ์ราคาต่ำกว่าต้นทุนผลิตที่แท้จริง บิดเบือนกลไกราคาในประเทศ ปิดโอกาสเกษตรกรรายย่อยฟื้นฟูการเลี้ยงต้องออกจากอาชีพ เตือนหากนิ่งนอนใจอาจเจอปัญหาหมูล้นตลาด ราคาตกต่ำช่วงปลายปีนี้ เกิดผลเสียทั้งห่วงโซ่การผลิตและความมั่นคงทางอาหาร





นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า แม้จะมีการเรียกร้องให้ภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งกรมศุลกากรและกรมปศุสัตว์เร่งดำเนินการ แต่การปราบปรามและจับกุมยังไม่ดำเนินการอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง ทำให้ขบวนการลักลอบนำเข้าไม่เกรงกลัว ทั้งยังมีการลักลอบนำเข้ามาในหลายรูปแบบและมีการทำการตลาดทั้งแบบออนไลน์และขายหน้าร้าน โดยมีราคาขายปลีกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 135-145 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งต่ำกว่าราคาในประเทศมาก


“หากภาครัฐปล่อยให้หมูลักลอบนำเข้าเพิ่มมากขึ้นทุกภาค และวางจำหน่ายกันอย่างเปิดเผย ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ง่าย ภายในระยะเวลา 18 เดือน ผู้เลี้ยงรายย่อยและรายเล็กไม่รอดแน่ เพราะทุกคนมีภาระต้องกู้เงินมาฟื้นฟูกิจการ ถ้าต้องขายหมูขาดทุนจะไปต่อได้อย่างไร รัฐบาลต้องทำทุกวิถีทางให้เกษตรกรมั่นใจ” นายสุรชัย กล่าว




หลังกรมปศุสัตว์ประกาศพบโรคระบาด ASF เป็นทางการเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2565 พร้อมแจงตัวเลขผลผลิตแม่หมูหายไปจากระบบ 50% ส่งผลให้ราคาเนื้อหมูในประเทศปรับสูงขึ้นตามลำดับ โดยราคาหมูเนื้อแดงขยับขึ้นไปสูงสุดที่กิโลกรัมละ 200 บาท จากราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มที่กิโลกรัมละ 100 บาท ทำให้กลุ่มมิจจาชีพเห็นช่องทางฉวยโอกาสทำกำไรจากส่วนต่างหมูนำเข้ามีต้นทุนต่ำกว่า และเป็นชิ้นส่วนที่ประเทศต้นทางไม่บริโภคจึงส่งออกมายังไทยในราคาถูก แต่หมู ชิ้นส่วน และเครื่องในที่นำเข้าถูกต้องตามกฎหมายต้องผ่านการตรวจโรคและได้รับใบอนุญาตเคลื่อนย้ายซากสัตว์ จากกรมปศุสัตว์ ทำให้ผู้ลักลอบนำเข้าหลบหลีกขั้นตอนดังกล่าว โดยการสำแดงเท็จเป็นอาหารทะเลและสินค้าอื่นๆ แอบแฝงมาในตู้สินค้า


นายสุรชัย กล่าวว่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมาภาครัฐร่วมมือกันตรวจสต๊อกห้องเย็นเกือบทุกวัน พบหมูผลิตกฎหมายจำนวนมาก พอการปราบปรามทิ้งช่วง หมูเถื่อนก็กลับมาอาละวาดอีก ที่สำคัญหมูเถื่อนราคาถูก ทุบราคาหมูในประเทศ ล่อใจผู้บริโภคให้ซื้อเนื้อสัตว์ที่ราคาถูกกว่า เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งผู้บริโภคควรรับทราบถึงผลร้ายที่จะตามมาจากการซื้อหมูลักลอบนำเข้าจากพ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ ว่าเนื้อหมูผิดกฎหมายเหล่านั้นเต็มไปด้วยสารเร่งเนื้อแดงที่ประเทศต้นทางยังอนุญาตให้ใช้อยู่ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งชั้นดี กินมากก็สะสมมาก  


“สมาคมฯ เป็นห่วงว่าหากหมูเถื่อนยังคงแพร่หลายและกระจายอยู่ทั่วประเทศแบบนี้ จะกระทบกับผลผลิตหมูของไทยที่จะออกในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ แต่ไม่มีตลาดให้กับหมูไทยแน่นอน ปัญหาหนักตกกับเกษตรกรคือของมีแต่ขายไม่ได้” นายสุรชัยกล่าวย้ำ 


นายสุรชัย กล่าวด้วยว่า แม้กรมปศุสัตว์จะออกมากวาดล้างอย่างจริงจัง แต่จำนวนที่จับกุมได้ยังคงเป็นส่วนน้อย จึงอยากให้การปราบปรามมีความชัดเจนและต่อเนื่อง หากเป็นไปได้ควรออกตรวจสอบห้องเย็นทุกวัน ซึ่งสมาคมฯ พร้อมให้ความร่วมมือเพื่อปกป้องเกษตรกร เนื่องจากปัจจุบันมีการส่งเสริมให้เกษตรกรผู้เลี้ยงที่เสียหายจากปัญหาASF ได้เริ่มกลับมาเข้าขุนใหม่แล้วกว่า 1 ล้านตัว ดังนั้นก่อนที่ผลผลิตจะออกสู่ตลาด ต้องหยุดการลักลอบนำเข้านี้ให้หมด ซึ่งเครือข่ายผู้เลี้ยงสุกรพยายามหาเบาะแสมาตลอด


ต้นทุนการผลิตสุกรปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบัน จากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สูงขึ้น มี Supply น้อยกว่าความต้องการ และถูกซ้ำเติมจากสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทำให้การเลี้ยงสุกรในปัจจุบัน ผู้เลี้ยงต้องแบกรับภาระต้นทุนสูงอยู่ที่ 98-101 บาท/กิโลกรัม ในขณะที่ราคาขายสุกรหน้าฟาร์มต้องให้ความร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เพื่อดูแลผู้บริโภคในประเทศ./

ซีพีเอฟ เดินหน้าหนุนจุฬาฯ วิจัยไข้หวัดนกและไวรัสโคโรนา-2019 ต่อเนื่อง

 



ซีพีเอฟ เดินหน้าหนุนจุฬาฯ วิจัยไข้หวัดนกและไวรัสโคโรนา-2019 ต่อเนื่อง

 บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ มอบเงินจำนวน 1,000,000 บาท แก่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อสนับสนุนงานวิจัยไข้หวัดนกและไวรัสโคโรนา-2019 โดยมี ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้รับมอบ ณ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ชั้น 9 ตึก สก. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

 




น.สพ.นรินทร์ ร่มลำดวน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านบริการวิชาการสัตว์ปีก เปิดเผยว่า ซีพีเอฟเล็งเห็นความสำคัญกับงานด้านวิชาการและให้การสนับสนุนผ่านโครงการต่างๆ มาโดยตลอด โดยเฉพาะการวิจัยเชื้อไวรัสไข้หวัดนกของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านเชื้อไวรัสซึ่งทุ่มเทให้กับการวิจัยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ๆ ที่อาจมีความเสี่ยงที่จะติดจากสัตว์สู่คน โดยบริษัทให้ทุนวิจัยมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2549 และเมื่อเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา-2019 (โควิด-19) ที่เริ่มต้นขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ.2562 ซีพีเอฟจึงต่อยอดการสนับสนุนงานวิจัยไวรัสโคโรนา-2019 นับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา 

 


“ซีพีเอฟตระหนักและให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับงานด้านวิชาการเพื่อสังคมไทย จึงมอบทุนเพื่อให้ทางศูนย์ฯ สามารถทำการศึกษาวิจัยไวรัสไข้หวัดนกอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง มีการเตรียมความพร้อมรับมือกับโรคดังกล่าวได้อย่างเต็มที่ และยังคงมีการเฝ้าระวังที่เข้มงวดต่อไป ที่สำคัญยังนำไปสู่ความร่วมมือระหว่างกันในด้านการตรวจประเมิน และยังสามารถนำผลการวิจัยของคณะแพทย์จุฬาฯ ไปประยุกต์ใช้ในการตรวจติดตามและเฝ้าระวังโรคในสัตว์ปีกของบริษัท ทำให้มีวิธีการตรวจโรคที่ทันสมัยและแม่นยำยิ่งขึ้น และเมื่อเกิดวิกฤตโควิด-19 ซีพีเอฟก็ยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเพื่อพัฒนาความสามารถในการรับมือกับโควิด-19” น.สพ.นรินทร์ กล่าว

 



สำหรับการมอบเงินสนับสนุนในครั้งนี้ ในจำนวน 1,000,000 บาท แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ เพื่อใช้เป็นทุนศึกษาวิจัยไวรัสไข้หวัดนก จำนวน 600,000 บาท ซึ่งบริษัทได้มอบทุนต่อเนื่องเป็นปีที่ 17 และสนับสนุนงานวิจัยไวรัสโคโรนา-2019 จำนวน 400,000 บาท./

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2565

 

อ.ส.ค.ยืนหนึ่งด้านมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคม            ผงาดคว้ารางวัล CSR-DIW Continuous Award 2022 ต่อเนื่อง 2ปีซ้อน

 



อ.ส.ค.ยืนหนึ่งด้านมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคม ผงาดคว้ารางวัล CSR-DIW Continuous Award 2022 ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อนทั้ง5โรงงานทั่วประเทศ  ตอกย้ำมาตรฐานดำเนินกิจการด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนอย่างยั่งยืน   พร้อมเตรียมยกระดับก้าวสู่“อีโคแฟคตอรี่” รองรับการขึ้นแท่นสู่ผู้นำอุตสาหกรรมนมระดับอาเซียน




                นายสมพร  ศรีเมือง ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย(อ.ส.ค.) กล่าวว่า   ปัจจุบันแนวโน้มการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไม่ได้แข่งขันกันที่ตัวเลขทางด้านเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องมีการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่ภาคผู้ประกอบการในด้านการดูแลสิ่งแวดล้อมและชุมชนด้วยสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมด้วย   การประกอบกิจการอุตสาหกรรมจึงจำเป็นต้องได้รับความไว้วางใจจากภาคประชาชน พึ่งพาอาศัยเกื้อกูลกันและสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุขด้วย   ทำให้ที่ผ่านมาอ.ส.ค.ได้ให้ความสำคัญในการผลักดันนโยบายให้โรงงานผลิตนมทั้ง5แห่งทั่วประเทศรักษามาตรฐานการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความยั่งยืนร่วมดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง




                 รวมถึงส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมดูแลชุมชนและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในฐานะสมาชิกของชุมชน ตลอดจนการปฏิบัติตามมาตรฐานความรับผิดชอบของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่มีต่อสังคมอย่างเคร่งครัด   ส่งผลให้เร็วๆนี้ อ.ส.ค.สามารถคว้ารางวัลและเกียรติบัตร “CSR-DIW Continuous Award 2022” ภายใต้โครงการส่งเสริมโรงงานอุตสาหกรรมให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนเพื่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนประจำปี2565ที่จัดขึ้นโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมมาได้อีก 1ปี โดยสำนักงาน อ.ส.ค.ภาคกลาง (โรงงานนมมวกเหล็ก)  จ.สระบุรีได้รับรางวัลดังกล่าวต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ส่วนอีก 4 โรงงานได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ได้แก่  สำนักงาน อ.ส.ค.ภาคใต้ (โรงงานนมปราณบุรี) จ.ประจวบคีรีขันธ์  สำนักงาน อ.ส.ค.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (โรงงานนมขอนแก่น)  จ.ขอนแก่น   สำนักงาน อ.ส.ค.ภาคเหนือตอนล่าง (โรงงานนมสุโขทัย)  จ.สุโขทัยและสำนักงาน อ.ส.ค.ภาคเหนือตอนบน (โรงงานนมเชียงใหม่) จ. เชียงใหม่   ซึ่งการได้รับรางวัลในครั้งนี้ตอกย้ำมาตรฐานดำเนินกิจการด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนอย่างยั่งยืนของอ.ส.ค.ที่มียังคงรักษามาตรฐานไว้อย่างต่อเนื่อง  และนอกจากรางวัลดังกล่าวแล้วอ.ส.ค.มีแผนยกระดับโรงงานทั้ง5แห่งก้าวสู่โรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศหรืออีโคแฟคตอรี่ ซึ่งมุ่งเน้นให้โรงงานมีระบบการบริหารจัดการที่ดี มีการใช้ทรัพยากรและพลังงานอย่างคุ้มค่า  ก่อให้เกิดของเสียน้อยที่สุดและมีความเกื้อกูลกับสังคมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

          ที่ผ่านมาอ.ส.ค.ได้ให้ความสำคัญในการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยให้นโยบายโรงงานนมทั้ง 5แห่งจัดกิจกรรมเพื่อการอยู่ร่วมกันระหว่างโรงงานและชุมชนได้อย่างยั่งยืน  พร้อมสนับสนุนการดำเนินงานตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น การนำวัตถุดิบหรือวัสดุเหลือใช้จากกระบวนการผลิตนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ของชุมชน เช่น การน้ำนมที่สูญเสียจากกระขบวนการผลิตมาทำปุ๋ยอินทรีย์   การสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียอย่างเพียงพอเพื่อให้ส่งผลกระทบต่อชุมชนรอบนอก   การจัดกิจกรรมรณรงค์ ลด ละ  เลิก บุหรี่ แอลกอฮอล์และยาเสพติด   การให้ชุมชนนำผลิตภัณฑ์มาจำหน่ายในบริเวณหน้าโรงงาน  การส่งเสริมเชิงเกษตรในชุมชน  การถ่ายทอดการทำปุ๋ยอินทรีย์จากมูลโคให้กับชุมชน เป็นต้น  เพื่อให้โรงงานทั้ง 5ภาคได้รับการยอมรับ เชื่อมั่น ไว้วางใจ จากชุมชนและสังคม สามารถดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมได้อย่างต่อเนื่องและสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนนั่นเอง

          สำหรับรางวัล CSR-DIW Continuous Award 2022   เป็นโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียนที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ  ซึ่งกรมโรงงานอุตสาหกรรมจัดขึ้นเพื่อรณรงค์และส่งเสริมให้โรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมความปลอดภัยและมีความรับผิดชอบต่อสังคมทำให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนและสังคมได้อย่างยั่งยืน

       ***************************

 

 

อ.ส.ค.เปิดฟาร์มโคนมประสิทธิภาพสูงให้สื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมเป็นครั้งแรก ชูเป็นฟาร์มสาธิตต้นแบบที่ที่มีการจัดการฟาร์มที่ทันสมัยแห่งแรกของประเทศ

 



อ.ส.ค.เปิดฟาร์มโคนมประสิทธิภาพสูงให้สื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมเป็นครั้งแรก ชูเป็นฟาร์มสาธิตต้นแบบที่ที่มีการจัดการฟาร์มที่ทันสมัยแห่งแรกของประเทศ

 

อ.ส.ค.เปิดฟาร์มโคนมประสิทธิภาพสูงให้สื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมเป็นครั้งแรก พร้อมเผยเตรียมผลักดันเป็นฟาร์มสาธิตต้นแบบที่มีเทคโนโลยีการจัดการฟาร์มที่ทันสมัยนำร่องแห่งแรกของประเทศ  เพื่อใช้เป็นต้นแบบให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมรุ่นใหม่นำไปปรับใช้ในการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตโคนมของตัวเอง





 อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี  นายสมพร ศรีเมือง ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย(อ.ส.ค.) ได้เปิดฟาร์มโคนมประสิทธิภาพสูงให้คณะสื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมเป็นครั้งแรกโดยมีว่าที่ร้อยตรีกิตตว์ธรรศ์​   จิตต์มนัส  ​หัวหน้ากองงานฟาร์ม​ ฝ่ายวิจัยและพัฒนาการเลี้ยงโคนมและนายวสุวัฒน์​ พวงแก้ว​ ผู้จัดการฟาร์มโคนมประสิทธิภาพสูง​ นักสัตวบาล​4​ แผนกฟาร์มโคนมอินทรีย์​ กองงานฟาร์ม​ฝ่ายวิจัยฯ อ.ส.ค.ให้การต้อนรับ




นายสมพร ศรีเมือง ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย(อ.ส.ค.) กล่าวว่า  ตามที่คณะรัฐมนตรี( ครม.) ได้อนุมัติงบประมาณ อ.ส.ค.ยืมเงินจำนวน51.7ล้านบาท จากกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศสำหรับลงทุนในการจัดตั้งฟาร์มโคนมประสิทธิภาพสูง(Thai-Denmark Smart Dairy Farm) ในอำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรีเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมานั้น  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีการเลี้ยงโคนมของประเทศ และสำหรับใช้ในการศึกษาและพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการฟาร์มด้วยเทคโนโลยี เช่น การสแกนเบอร์โค เพื่อเก็บข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ ระบบรีดนมแบบไปป์ไลน์ที่บันทึกปริมาณน้ำนมดิบรายตัวรายวัน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (การจัดของเสียในฟาร์ม) และคำนึงถึงการกินอยู่ของแม่โคตามหลักสวัสดิภาพสัตว์



  ฟาร์มโคนมประสิทธิภาพสูง ถือเป็นฟาร์มสาธิตเชิงธุรกิจที่อยู่ในพื้นที่ของอ.ส.ค. ซึ่งอ.ส.ค.มีแผนที่จะพัฒนาให้เป็น Smart Dairy Farm ใช้เทคโนโลยีช่วยในการจัดการฟาร์ม ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  ตลอดจนเป็นแหล่งฝึกภาคปฏิบัติและสร้างบุคลากรมืออาชีพด้านการเลี้ยงโคนม รวมทั้งเป็นฟาร์มสำหรับใช้ในการศึกษาพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการฟาร์มให้มีความสะดวกและเหมาะสมกับการเลี้ยงโคนมของเกษตรกรยุคใหม่ ที่สอดสอดคล้องกับหลักการดูแลสวัสดิภาพสัตว์ (Animal welfare)และถือเป็นฟาร์มสาธิตต้นแบบที่เปิดนำร่องเป็นฟาร์มแรกของประเทศไทย   ”นายสมพร กล่าว






นายสมพร กล่าวด้วยว่า   ปัจจุบันฟาร์มโคนมประสิทธิภาพสูงมีจำนวนแม่โครีดนมจำนวน120 ตัว  มีการใช้เทคโนโลยีช่วยในการจัดการฟาร์ม เช่น การเลี้ยงแบบขังในคอกและใช้อาหารผสมสำเร็จที่มีมาตรฐานตรงตามความต้องการของโคการจัดการคอกพักโคและระบบระบายความร้อนที่ทำให้แม่โคอยู่สบายตามหลักสวัสดิภาพสัตว์การบริหารจัดการและเก็บข้อมูลโครายตัวในระบบคอมพิวเตอร์ รวมทั้งระบบการรีดนมที่มีการบันทึกปริมาณน้ำนมดิบรายตัวรายวันมีระบบทำความสะอาดโดยมีเป้าหมายให้มีการฝึกอบรมและศึกษาดูงานในฟาร์มโคนมประสิทธิภาพสูงสำหรับนักวิชาการเจ้าหน้าที่ส่งเสริมและเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมปีละไม่น้อยกว่า680คนและเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าเยี่ยมชมกิจการฟาร์มไม่น้อยกว่า10%จากปัจจุบันบันที่60,000คนต่อปี



 
            ด้านว่าที่ร้อยตรีกิตตว์ธรรศ์   จิตต์มนัส  หัวหน้ากองงานฟาร์มฝ่ายวิจัยและพัฒนาการเลี้ยงโคนมอ.ส.ค.กล่าวว่า อ.ส.ค.ได้ตั้งดัชนีชี้วัดความสำเร็จ(KPI) ของโครงการฟาร์มโคนมประสิทธิภาพสูงไว้ 12 ด้าน  อาทิ  ให้ผลผลิตเฉลี่ย 16กก/ตัว/วันแต่ทำได้ 21.75 กก./ตัว/  เปอร์เซ็นปริมาณเนื้อนมทั้งหมด (Total Solid) ไม่น้อยกว่า 12 ทำได้ 12.51  เปอร์เซ็นไขมัน (Fat) ไม่น้อยกว่า 3.5 ทำได้ 3.87   และเปอร์เซ็นธาตุน้ำนมไม่รวมมันเนย (Solid not fat) ไม่น้อยกว่า 8.5 ทำได้ 8.67  ส่วนปริมาณน้ำนมดิบสูญเสียกำหนด 0 % ทำได้ตามเป้าคือ 0%   นกจากนี้ยังได้วางเป้าหมายมีผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมกิจการฟาร์มไม่ร้อยกว่า ปีละ 60,000 คนแต่เพียงระยะ 4เดือนหลังเปิดดำเนินการมีผู้เข้าเยี่ยมแล้ว 14,351ราย  ส่วนผลดำเนินการด้านอื่นก็ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน   อาทิ มีบุคลากรด้านกิจการโคนมเข้าฝึกอบรมและศึกษาดูงานจนถึงปัจจุบันแล้วจำนวน  932 รายวัน  องค์ประกอบน้ำนมดิบสูงกว่ามาตรฐานการรับซื้อและมีรายได้จากการขายนมจนถึงปัจจุบันทำรายได้แล้ว 4.1 ล้านบาท






          *********************

“วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” เทศกาลสัตว์น้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

  เปิดประสบการณ์ความมหัศจรรย์ของโลกใต้น้ำกับ FISHTIVAL 2025   ที่ยกทัพพาเหรดสัตว์น้ำกว่า 3,000 ตู้ ในงาน “วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” ...