วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ซีพีเอฟ ใช้ระบบคอมพาร์ทเม้นท์ ป้องกันโรคไข้หวัดนก 100% ตอกย้ำผู้ผลิตอาหารปลอดภัยส่งถึงมือผู้บริโภค




บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ชูระบบ “คอมพาร์ทเม้นท์” (Compartment) ช่วยป้องกันโรคไข้หวัดนกในอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ได้อย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ไทยปลอดจากไข้หวัดนกมานานกว่า 14 ปี แนะเกษตรกรเฝ้าระวังและคุมเข้ม ยกระดับระบบการควบคุมความปลอดภัยทางชีวภาพในฟาร์มสัตว์ปีก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค ว่าเนื้อไก่ ไข่ไก่ และผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกของไทยปลอดภัย แนะเลือกซื้อจากผู้ผลิตและแหล่งจำหน่ายมาตรฐาน ย้ำปรุงสุกก่อนรับประทานเท่านั้น



สพ.ญ.ดร.นิอร บุญประเสริฐ รองกรรมการผู้จัดการ หน่วยงานสัตวแพทย์บริการด้านสัตว์ปีก ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ มีระบบป้องกันไข้หวัดนกในฟาร์มสัตว์ปีกของบริษัท และฟาร์มของเกษตรกรในโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงไก่กับบริษัท (Contract Farming) อย่างแข็งแกร่ง โดยพัฒนาระบบการควบคุมความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity System) เพื่อป้องกันโรคสัตว์ปีก และยกระดับมาตรฐานการจัดการฟาร์มสัตว์ปีก โดยได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ ที่สำคัญซีพีเอฟได้ร่วมกับกรมปศุสัตว์ จัดทำ “โครงการปลอดโรคไข้หวัดนก” ภายใต้รูปแบบการบริหารจัดการด้วย "ระบบคอมพาร์ทเม้นท์" หรือการเลี้ยงสัตว์ปีกในระบบฟาร์มปิด ตามหลักการขององค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (World Organization for Animal Health หรือ OIE) มาตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน โดยมุ่งเน้นให้ความรู้ สร้างความตระหนักแก่บุคลากรและเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีก ในเรื่องสุขศาสตร์ การป้องกันโรค วิธีการสังเกตอาการป่วยของสัตว์ปีก และแนวทางการปฏิบัติเพื่อการป้องกันโรคอย่างต่อเนื่อง จึงสามารถป้องกันโรคในสัตว์ปีกได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ปัจจุบันการเลี้ยงสัตว์ปีกในฟาร์มของซีพีเอฟทั้งหมด ใช้ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ (Fully Automation) ช่วยลดแรงงานคนให้น้อยที่สุด ทดแทนด้วยการใช้เทคโนโลยี เพื่อลดการปนเปื้อนของเชื้อโรคที่จะเข้าไปสู่ตัวสัตว์ในระบบการเลี้ยง โดยมีสัตวบาลผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบการเลี้ยงผ่านคอมพิวเตอร์ ด้วยการใช้ AI ในการตรวจติดตามพฤติกรรม ความเป็นอยู่และสุขภาพสัตว์ หากพบความผิดปกติเกิดขึ้น ก็สามารถปรึกษากับสัตวแพทย์ได้ทันที เพื่อวางแผนการรักษาได้โดยไม่ต้องเข้าตรวจในฟาร์ม ช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากคนเป็นพาหะ บางกรณีที่จำเป็นต้องใช้แรงงานคน ต้องมีมาตรการที่เข้มงวด บุคลากรที่จะเข้าไปในพื้นที่เลี้ยง ต้องมีชำระร่างกายและคัดกรองโรคตามมาตรฐานที่กำหนด รวมถึงยานพาหนะที่เข้าไปในเขตฟาร์มต้องผ่านการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อก่อนทุกครั้ง


“ซีพีเอฟมีมาตรการติดตามสุขภาพฝูงสัตว์ปีกและเฝ้าระวังโรคอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง ด้วยมาตรการที่รัดกุมของระบบคอมพาร์ทเม้นท์ จึงช่วยลดโอกาสและลดความเสี่ยงการเกิดโรคสัตว์ได้เป็นอย่างดี จากหลักการประเมินความเสี่ยงหรือวิเคราะห์ปัจจัยของการเกิดโรคภายในฟาร์ม เพื่อหาทางป้องกันและจัดการกับปัจจัยเสี่ยงจึงทำให้การควบคุมและป้องกันโรคทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหลายประเทศกำลังประสบปัญหาไข้หวัดนกอยู่ เกษตรกรไทยต้องมีมาตรการเฝ้าระวังและดูแลฝูงสัตว์ปีกที่เข้มข้นขึ้น (Disease Surveillance System) โดยใช้มาตรการป้องกันโรคตั้งแต่ต้นทาง มีระบบการเลี้ยง การจัดการที่ถูกต้อง ด้วยระบบการป้องกันโรคที่ดี ตามคำแนะนำของกรมปศุสัตว์และสัตวแพทย์อย่างเคร่งครัด เกษตรกรมั่นใจได้ว่าสามารถป้องกันโรคไข้หวัดนกได้อย่างแน่นอน” สพ.ญ.ดร.นิอร กล่าว






สำหรับกระบวนการตรวจติดตามสถานะทางสุขภาพสัตว์ของซีพีเอฟ มีการดำเนินการเป็นประจำทุกเดือน โดยมีการเก็บตัวอย่าง swab สัตว์ปีกพันธุ์เพื่อส่งตรวจแยกเชื้อไวรัสสำคัญ และเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อตรวจติดตามสถานะทางภูมิคุ้มกันของฝูงสัตว์ปีกต่อโรคติดเชื้อสำคัญ สำหรับสัตว์ปีกเนื้อจะมีการสุ่มเก็บตัวอย่าง swab และอวัยวะทุกฝูงก่อนปลด เพื่อส่งตรวจวิเคราะห์ว่าปราศจากการปนเปื้อนไวรัสสำคัญ ได้แก่ ไข้หวัดนก และนิวคาสเซิล ควบคู่กับการตรวจสอบการปนเปื้อนยาปฏิชีวนะและสารตกค้างต่างๆ และเก็บตัวอย่างเนื้อที่เป็นผลิตภัณฑ์สุดท้ายหลังแปรรูป ส่งตรวจในห้องปฏิบัติการอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจถึงความปลอดภัยในผลิตภัณฑ์ก่อนถึงมือผู้บริโภค ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟยังร่วมกับกรมปศุสัตว์ และเกษตรกรในพื้นที่ เก็บตัวอย่างเพื่อตรวจเฝ้าระวังโรคในฟาร์มสัตว์ปีกที่เลี้ยงในพื้นที่ 1 กิโลเมตร รอบฟาร์มอย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งเสริมการทำวัคซีนป้องกันโรคนิวคาสเซิลในฝูงสัตว์ปีกเลี้ยงหลังบ้าน และสนับสนุนการพ่นยาฆ่าเชื้อในบริเวณจุดเสี่ยงต่อการติดเชื้อด้วย



สพ.ญ.ดร.นิอร กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงไม่ให้เชื้อไวรัสก่อโรคและเชื้อจุลชีพอื่นเข้ามาภายในฟาร์มเลี้ยงไก่ ต้องมีระบบป้องกันโรคที่ดี โดยมีหลักการที่ควรปฏิบัติ 8 ประการ คือ แยกบริเวณพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่เลี้ยงสัตว์ปีกให้ชัดเจน มีรั้วรอบขอบชิดสามารถป้องกันสัตว์พาหะจากภายนอกฟาร์ม ทำการจำกัดบุคคลเข้าฟาร์มเท่าที่จำเป็นเท่านั้น มีการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อยานพาหนะทุกชนิดก่อนเข้ามาไปภายในฟาร์ม ต้องล้างทำความสะอาดและฆ่าเชื้อเตรียมโรงเรือนก่อนเลี้ยงไก่รุ่นใหม่ ทำการซ่อมแซมโรงเรือน โครงสร้าง และอุปกรณ์การเลี้ยงให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน มีตาข่ายกันนกเพื่อไม่ให้มาทำรังบริเวณชายคาหรือเข้าไปภายในโรงเรือน มีระบบป้องกันสัตว์พาหะอื่นๆ โดยเฉพาะ หนู ด้วงดำ และแมลงวันซึ่งเป็นพาหะนำโรค จัดทำระบบการบำบัดน้ำและจัดการของเสียภายในฟาร์มอย่างถูกวิธี 


กรณีที่เกษตรกรผู้เลี้ยงพบสัตว์ปีกตายกะทันหัน หรือมีอาการผิดปกติ ต้องแจ้งสัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มและปศุสัตว์ในพื้นที่โดยเร็ว หากพบการเคลื่อนย้ายสัตว์ปีกผิดกฎหมาย โดยเฉพาะพื้นที่เขตชายเดน หรือพบสัตว์ปีกตามธรรมชาติแสดงอาการป่วยให้แจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการตรวจวินิจฉัยต่อไป สำหรับวิธีการป้องกันตนเองจากไวรัสไข้หวัดนก ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ปีกที่ไม่ทราบประวัติ รวมถึงมูลและสารคัดหลั่ง หรือสัตว์ปีกที่มีอาการหรือสงสัยว่าป่วย หากเกิดการสัมผัสให้ใช้สบู่ล้างมือให้สะอาดทันที สำหรับผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศในพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดของโรค ควรสังเกตสุขภาพตนเอง หากรู้สึกมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ให้ไปพบแพทย์โดยเร็ว รวมถึงสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค


“เพื่อการรับประทานเนื้อไก่ เนื้อเป็ด และสัตว์ปีกอื่นได้อย่างมั่นใจ ผู้บริโภคควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตที่มีระบบการผลิตผ่านการรับรองมาตรฐาน และแหล่งจำหน่ายที่เชื่อถือได้ สังเกตสัญลักษณ์ "ปศุสัตว์ OK" และซื้อผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่มีฉลากแจ้งข้อมูลสำคัญที่ชัดเจน อาทิ วันผลิต วันหมดอายุ และก่อนรับประทาน ต้องปรุงสุกที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส ขึ้นไป ใช้เวลาอย่างน้อย 5 นาที ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อไวรัสไข้หวัดนกได้” สพ.ญ.ดร.นิอร กล่าวทิ้งท้าย./

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2565

เกษตรกรกระทุ้งรัฐกวาดล้างหมูเถื่อนต่อเนื่อง ก่อนผู้เลี้ยงอำลาอาชีพ เหตุสู้ไม่ไหว


 นายปรีชา กิจถาวร นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ เปิดเผยว่า หมูเถื่อนยังเป็นปัญหาสำหรับผู้เลี้ยง โดยยังมีการขายกันทั่วประเทศ ทั้งในท้องตลาด และเสนอขายผ่านโลกออนไลน์ ในราคาต่ำมากที่ 130-140 บาทต่อกิโลกรัม  ทำให้เกษตรกรมีความกังวลต่ออาชีพ เนื่องจากหมูลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ยอดขายหมูทรงตัวหรือถดถอยลง ขณะที่ธุรกิจการท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคใต้อย่างเช่นจังหวัดสงขลา และฝั่งทะเลอันดามัน ทั้งภูเก็ต กระบี่ พังงา ซึ่งถือเป็นตลาดผู้บริโภครายใหญ่กำลังเติบโตขึ้น โดยปกติจะมีความต้องการบริโภคหมูเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่ปัจจุบันตลาดหมูกลับไม่คึกคัก ภาคผู้เลี้ยงจึงคาดว่ามีเป็นหมูเถื่อนทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ผลกระทบนี้เกิดขึ้นกับผู้เลี้ยงหมูทั้งอุตสาหกรรม ทั้งเกษตรกรรายเล็ก รายย่อย ที่ต้องล้มหายตายจากไป เพราะสู้กับต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงที่ปรับขึ้นทุกตัวไม่ไหว ทั้งราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ ค่าพลังงาน ค่าเวชภัณฑ์ ค่าแรงงาน ขณะที่ผู้เลี้ยงรายกลางและรายใหญ่ก็ดำเนินธุรกิจอย่างยากลำบากเช่นกัน

 



"ที่ผ่านมาผู้ลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนหรือหมูกล่องนำเข้ามาเป็นตู้คอนเทนเนอร์ แล้วนำใส่กล่องโฟมกระจายไปทั่วประเทศ การแก้ปัญหาทางกรมปศุสัตว์ที่ดำเนินการอยู่จะต้องเข้มแข็งขึ้น จับแล้วต้องทำลาย คิดว่าจะทำให้ผู้ค้าหมูเถื่อนไม่กล้านำเข้า และจะทยอยหายไป ขณะเดียวกันกรมศุลกากรที่เป็นหน้าด่านก็ต้องผนึกกำลังกันล้างบางขบวนการทำลายชาตินี้ให้หมดไปโดยเร็วที่สุด เพื่อปกป้องอาชีพให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู ปกป้องเศรษฐกิจชาติ และปกป้องความมั่นคงและความปลอดภัยในอาหารให้กับคนไทย” นายปรีชากล่าว

 



นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ กล่าวอีกว่า เมื่อเร็วๆนี้ สมาคมฯได้ร่วมกับปศุสัตว์จังหวัดพัทลุง จัดสัมมนาการผู้เลี้ยงหมูแบบปลอดภัย มีมาตรฐาน ตามนโยบายกรมปศุสัตว์ที่ส่งเสริมการเลี้ยงหมูในการกลับมาเลี้ยงใหม่ ที่ จ.พัทลุง  ซึ่งเป็นพื้นที่เลี้ยงหมูรายใหญ่อันดับ 1 ของภาคใต้  มีประชากรหมูเกือบ 5 แสนตัว พบว่าเกษตรกรตื่นตัวมากอยากกลับมาเลี้ยงหมูให้ปลอดภัยจากโรคและการผลิตมีประสิทธิภาพดี ผลผลิตที่ได้มีประปริมาณพอสมควร อย่างไรก็ตามภาคผู้เลี้ยงยังกังวลกับอนาคตของอาชีพ เพราะถึงแม้ธุรกิจท่องเที่ยวจะเติบโตและปกติความต้องการบริโภคหมูจะพุ่งสูง แต่ขณะนี้ความต้องการซื้อหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มกลับทรงตัว เหตุเพราะหมูเถื่อนยังเกลื่อนเมือง ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูพัทลุงต้องเบรกการลงเลี้ยงหมูรอบใหม่ เนื่องจากหมูเถื่อนมีต้นทุนต่ำ เกษตรกรสู้ราคาไม่ไหว

 

“ปัญหาการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนมาวางขายทั่วประเทศในราคาถูกกว่าหมูในประเทศ โดยเฉพาะหมูเนื้อแดงเถื่อนราคาขายอยู่ที่ 130-140 บาท/กก. ขณะที่หมูเนื้อแดงที่เลี้ยงภายในประเทศวางขายอยู่ที่ 180-200 บาท/กก. จากต้นทุนการผลิตที่สูงถึง 99-100 บาทต่อกิโลกรัม แต่เกษตรกรยังคงร่วมกันรักษาระดับราคาขายหมูหน้าฟาร์มอยู่ที่ 100 บาทต่อกิโลกรัม มานานกว่า 23 สัปดาห์แล้ว ส่งผลให้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูชาวพัทลุงรวมกว่า 5 พันราย ยังคงวิตกกังวล ไม่กล้าตัดสินใจลงทุนเลี้ยงหมูรอบใหม่ เพราะต้นทุนในการเลี้ยงสูงและมีปัญหาหมูเถื่อนมาสมทบ เรื่องนี้ภาครัฐที่เกี่ยวข้องต้องเร่งปราบปรามและจบปัญหานี้ให้เร็วที่สุด เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับผู้เลี้ยง และสร้างความมั่นคงทางอาหารของไทย ก่อนที่เกษตรกรจะถอดใจเลิกเลี้ยงหมูทั้งประเทศ” นายปรีชา กล่าวทิ้งท้าย./

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2565

อึ้ง! ยังพบเกลื่อน ซากสัตว์ (ชิ้นส่วนสุกร,ขาไก่) ลักลอบนำเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ยังหลั่งไหลเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง



นายสัตวแพทย์ชัยวัฒน์ โยธคล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์รักษาการอธิบดีกรมปศุสัตว์ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการพิเศษพญาไท และเจ้าหน้าที่กองสารวัตรและกักกัน คุมเข้มตรวจสอบห้องเย็น เพื่อป้องการการลักลอบนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ตามนโยบาย ดร. เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกร์ 




วันนี้เวลา 12.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษพญาไท กองสารสัตรและกักกัน กรมปศูสัตว์ เจ้าหน้ากรมศุลกากร ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ ตำรวจ กองกำกับการ1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค กองบัญชาการสอบสวนกลาง เข้าตรวจสอบห้องเย็นบริษัทนาสาครห้องเย็น จำกัด จังหวัดสมุทรสาคร 



ประกอบกิจการลักษณะรับฝากและผลิตจำหน่ายสินค้าปศุสัตว์


 จากการตรวจสอบพบซากสัตว์(สุกร,ขาไก่) นำเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ประกอบด้วย 


1.สามชั้นจากประเทศอิตาลีและเยอรมัน จำนวน 70 ตัน

2. ซี่โครง จากประเทศบราซิล 

จำนวน 40 ตัน

3.ขาไก่จากประเทศบราซิล จำนวน 25 ตัน

4. ขาไก่จากประเทศตุรกี จำนวน 25 ตัน

พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำการยึดอายัดของกลางทั้งหมด เพื่อดำเนินคดีตามพรบ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 ตาม มาตรา 31 วรรค 1 เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและควบคุมโรคระบาด  ผู้ใดนําเข้า  ส่งออก  หรือนําผ่าน ราชอาณาจักรซึ่งสัตว์หรือซากสัตว์  ต้องได้รับใบอนุญาตจากอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายทุกครั้งที่นําเข้า  ส่งออกหรือนําผ่านราชอาณาจักร 

ราชอาณาจักร มีบทกำหนดโทษ ตามมาตรา 68 จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ






และมาตรา 22 เมื่อได้ประกาศกําหนดเขตโรคระบาดชั่วคราวตามมาตรา  20  หรือประกาศกําหนด เขตโรคระบาดหรือเขตเฝ้าระวังโรคระบาดตามมาตรา  21  ห้ามมิให้ผู้ใดเคลื่อนย้ายสัตว์หรือซากสัตว์ ตามที่กําหนดในประกาศดังกล่าว  เข้า  ออก  ผ่าน  หรือภายในเขตนั้น  เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือ จากสัตวแพทย์ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบประจําเขตนั้นทุกครั้งที่มีการเคลื่อนย้าย มีบทกำหนดโทษ ตามมาตรา 65 จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


โดยนำตัวอย่างส่งตรวจห้องปฏิบัติการกรมปศุสัตว์ เพื่อหาเชื้อโรคตามพรบโรคระบาดสัตว์และสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อไป


นายสัตวแพทย์ชัยวัฒน์กล่าวว่า กรมปศุสัตว์ยังคงคุมเข้มตรวจสอบห้องเย็นเพื่อป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าเนื้อสัตว์อย่างจริงจัง หากประชาชนพบเบาะแสการกระทำผิด สามารถแจ้งผ่านแอปพลิเคชัน DLD 4.0 หรือสายด่วนกรมปศุสัตว์ 063-225 -6888 ได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมงขอรับข้อมูลเพิ่มเติม หรือขอรับข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.dld.go.th

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ชาวอุบลฯ-นครราชสีมา-สระบุรี ปลื้ม “CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม” ส่งความห่วงใยต่อเนื่อง

 


 

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ อาสาคลายทุกข์แก่คนไทยผู้ประสบภัยน้ำท่วมต่อเนื่อง เดินหน้าส่งมอบวัตถุดิบปรุงอาหาร และน้ำดื่มซีพี ภายใต้โครงการ "CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม" ถึงมือพี่น้องประชาชนชาวอุบลราชธานี นครราชสีมา และสระบุรี อย่างเร่งด่วน

 



นายสมเพชร สร้อยสระคู รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี พร้อมด้วย นายกันตภณ สุขสงค์ นายอำเภอวารินชำราบ และ นายกิตติ กุบแก้ว ปศุสัตว์จังหวัดอุบลราชธานี นำผู้บริหารหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตจังหวัดอุบลราชธานี ร่วมกันรับมอบเนื้อสุกรแปรรูป 200 กิโลกรัม ไข่ไก่ 3,000 ฟอง และน้ำดื่ม 1,000 ขวด เพื่อส่งมอบแก่ โรงครัวพระราชทาน อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี สนับสนุนการประกอบอาหารสำหรับผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี นายวุฒิชัย ประชุมพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธุรกิจสุกรภาคอีสานตอนล่าง และ นายวุฒินันท์ แผลงฤทธิ์  ผู้จัดการฝ่ายผลิตไก่ไข่ นำจิตอาสาซีพีเอฟร่วมส่งมอบ

 





ขอขอบคุณซีพีเอฟ และเหล่าพนักงานที่มาร่วมแรงร่วมใจส่งมอบวัตถุดิบแก่โรงครัวพระราชทานฯ ที่มีการประกอบอาหารปรุงสุก สด ใหม่ทุกวัน เพื่อส่งมอบถึงมือพี่น้องประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ที่ได้รับความเดือดร้อนโดยเฉพาะด้านอาหารและน้ำดื่มที่หลายจุดยังคงขาดแคลน ความช่วยเหลือของบริษัทในครั้งนี้ช่วยคลายทุกข์แก่ชาวอุบลราชธานีได้เป็นอย่างดีรองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี กล่าว

 





ทางด้าน โรงงานอาหารสัตว์บกโคกกรวด จ.นครราชสีมา นายรุ่ง จันทร์นาค ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และ นายธราพงษ์ ธนสำราญสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กิจการขายอาหารสัตว์ภาคอีสานล่าง พร้อมทีมงานซีพีเอฟจิตอาสาโรงงานฯโคกกรวด มอบอาหารแห้งสำหรับยังชีพ และน้ำดื่มซีพี แก่ นางคมขำ ปองนาน นายกเทศมนตรีตำบลประทาย อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา เพื่อนำไปจัดสรรให้กับชาวชุมชนในตำบลประทายต่อไป

“วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” เทศกาลสัตว์น้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

  เปิดประสบการณ์ความมหัศจรรย์ของโลกใต้น้ำกับ FISHTIVAL 2025   ที่ยกทัพพาเหรดสัตว์น้ำกว่า 3,000 ตู้ ในงาน “วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” ...