วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท-เครือซีพี-ซีพีเอฟ จับมือ JCC สนับสนุนโครงการเลี้ยงไก่ไข่ในโรงเรียน ต่อเนื่องสู่ปีที่ 23



มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมกับ หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ หรือ เจซีซี ร่วมส่งมอบโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ประจำปี 2565  ณ โรงเรียนบ้านนางแลใน ต.นางแล อ.เมือง จ.เชียงราย ได้รับเกียรติจาก นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี โดยมี นายโนริอากิ ยามาชิตะ รองประธานหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ และประธานส่วนการศึกษาคณะกรรมการฝ่ายความช่วยเหลือสังคม นายสมคิด วรรณลุกขี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ  นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมมอบโครงการ พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดเชียงราย ครู นักเรียน และผู้แทนโรงเรียนจากทั่วประเทศ  




นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือซีพี และผู้ช่วยบริหารสำนักประธานคณะกรรมการบริหาร ซีพีเอฟ ในฐานะกรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท เปิดเผยว่า มูลนิธิฯ ได้ดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางนักเรียนอย่างต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 35 มุ่งส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกลและในถิ่นทุรกันดาร ได้บริโภคไข่ไก่สดคุณภาพดีที่นักเรียนช่วยกันดูแล เพื่อเสริมสร้างโภชนาการที่ดี เติบโตสมวัยทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา เป็นแหล่งเรียนรู้การจัดการอาชีพเกษตรเชิงธุรกิจให้กับครู นักเรียนได้เรียนรู้การบริหารจัดการธุรกิจเกษตร ที่ประยุกต์ใช้กับอาชีพในอนาคต ขณะเดียวกัน สามารถบริหารจัดการผลผลิตไข่ไก่จำหน่ายให้แก่ชุมชนให้มีรายได้หมุนเวียน ต่อยอดขยายผลเกิดเป็นกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise)” พึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน โดยได้รับการสนับสนุนหลักจาก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในโครงการที่ซีพีเอฟดำเนินการภายใต้ 3 เสาหลัก คือ อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน และดินน้ำป่าคงอยู่ โดยซีพีเอฟใช้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านการเลี้ยงไก่ไข่ ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่คุณครูและนักเรียน พร้อมส่งผู้เชี่ยวชาญให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีการเลี้ยงไก่ไข่ การดูแลสุขภาพสัตว์และการป้องกันโรค การจัดการโรงเรือนตามหลักวิชาการและสุขาภิบาล   ทำให้มีประสิทธิภาพการเลี้ยงที่ดี รวมถึงการพัฒนาระบบเพื่อติดตามประสิทธิภาพการเลี้ยงไก่ไข่ของโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง  โดยการเลี้ยงไก่ตั้งแต่รุ่นที่ 2 เป็นต้นไป โรงเรียนจะได้รับพิจารณาให้สามารถซื้อพันธุ์ไก่ไข่ และอาหารไก่ไข่ในราคาพิเศษ โดยส่วนต่างราคาที่เกิดขึ้นมีบริษัทเป็นผู้สนับสนุน   






ปัจจุบันมีโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวัน 930 โรงเรียน มีนักเรียนกว่า 180,000 คน และชุมชน 1,900 ชุมชนได้รับประโยชน์ คุณครูและบุคลากรทางการศึกษาได้เรียนรู้จากโครงการฯ กว่า 1,000 คน ดำเนินงานใน 75 จังหวัดทั่วประเทศไทย และนอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนจากเจซีซี  มาตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมาด้วย ในปี 2565 นี้ได้รับสนับสนุน 5 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนบ้านนางแลใน ต.นางแล อ.เมือง จ.เชียงราย โรงเรียนเวียงห้าววิทยา ต.เวียงห้าว อ.พาน จ.เชียงราย โรงเรียนชุมชนบ้านศรีดอนชัย ต.ศรีดอนชัย อ.เชียงของ จ.เชียงราย โรงเรียนประชารัฐวิทยาคาร ต.ทุ่งแล้ง อ.ลอง จ.แพร่ และโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านโป่งตะแบก ต.พุทธบาท อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ 




ด้าน นายโนริอากิ ยามาชิตะ รองประธานหอการค้าญี่ปุ่นฯ กล่าวว่า เจซีซีตระหนักถึงความสำคัญของโภชนาการในเด็กวัยเรียน และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุนโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน มาอย่างต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 23 เพื่อส่งผ่านความช่วยเหลือแก่เด็กและเยาวชนไทยในพื้นที่ห่างไกล ในด้านอาหารและโภชนาการโปรตีน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักเรียนในการเติบโตที่ดี มีสุขภาพที่ดี และยังเป็นโอกาสดีที่จะได้เรียนรู้ธุรกิจจากการทำงานจริง โดยในปีนี้สนับสนุนอีก 5 แห่ง รวมทั้งสิ้นเป็น 142 โรงเรียน มีนักเรียนกว่า 38,000 คน ครอบคลุม 41 จังหวัด คิดเป็นมูลค่ากว่า 33 ล้านบาท โดยในอนาคตก็ยังคงมีแผนสนับสนุนโครงการดังกล่าวฯ อย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านงบประมาณสำหรับก่อสร้างโรงเรือน การติดตั้งอุปกรณ์การเลี้ยง พันธุ์ไก่ไข่ อาหารสัตว์ และเวชภัณฑ์ในการเลี้ยงไก่ไข่รุ่นแรก ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อนักเรียน ครู ชุมชน และประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง สามารถเข้าถึงแหล่งอาหารโปรตีน มีไข่ไก่สดบริโภคในชุมชน และเกิดการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน  



ส่วน นายศราวุธ ธนาคำ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านนางแลใน กล่าวว่า โรงเรียนฯ มีนักเรียน 151 คน ครูและบุคลากรรวม 17 คน  การเข้าร่วมโครงการเลี้ยงไข่ไก่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียนในครั้งนี้ ในนามตัวแทนโรงเรียน รู้สึกดีใจและยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่เด็กนักเรียนจะได้รับผลประโยชน์ในด้านต่างๆ ทั้งด้านอาหาร การฝึกวิชาชีพเลี้ยงไก่ไข่ ฝึกความรับผิดชอบ ตลอดจนโรงเรียนมีรายได้จากการจำหน่ายไข่ไก่ในชุมชนเพื่อนำมาบริหารจัดการโครงการในรุ่นต่อไป โดยที่ผ่านมาโรงเรียนดำเนินโครงการเกษตรพอเพียง มีการเลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ปลูกผักสวนครัว ปลูกข้าว โครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ จึงเข้ามาเติมเต็มด้านโภชนาการอาหารมื้อกลางวันให้นักเรียนมากยิ่งขึ้น เพื่อเสริมสร้างการเติบโตทั้งทางร่างกายและสติปัญญา เพิ่มประสิทธิภาพในการเรียน มีทักษะอาชีพด้านการเกษตร และเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไป./






ซีพีเอฟ ส่งเสริมสังคมแห่งความกตัญญู เดินหน้า “คืนสุขผู้สูงวัย” เติมกำลังใจผู้สูงอายุในชุมชน



บ้านพักหลังน้อยของ ลุงบุญชม แกมรัมย์ วัย 64 ปี ชาวตำบลบ้านกลับ อ.หนองโดน จ.สระบุรี วันนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่นจากน้ำใจของลูกหลาน ที่เป็นตัวแทนจากหน่วยงานราชการ และภาคเอกชน เข้ามาเยี่ยมเยียน



ลุงชม เล่าว่า ก่อนที่จะมาอยู่ที่นี่ รอนแรมจากจังหวัดบุรีรัมย์บ้านเกิด เข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ จนได้พบกับ ป้าสุนีย์ อยู่สบาย ที่กลายเป็นคู่ทุกข์คู่ยากกันจนถึงปัจจุบัน สองคนช่วยกันทำมาหากิน หนักเอาเบาสู้ทั้งรับจ้างทั่วไป หักข้าวโพด เกี่ยวข้าวฟ่าง กระทั่งงานสุดท้ายคืองานก่อสร้าง ก่อนที่ลุงชมจะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่ก็ไม่ได้ไปหาหมอเพื่อรักษาในทันที เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ลุงชมต้องกลายเป็นอัมพฤกษ์ แม้จะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง แต่ไม่สามารถประกอบอาชีพใดๆ จึงขาดรายได้ มีเพียงเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยยังชีพสำหรับผู้พิการ บัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อยรวม 1,700 บาท และมีสิทธิบัตรทอง แม้จะมีป้าสุนีย์คอยดูแล แต่ป้าเองก็เจ็บป่วยไม่ต่างกัน ทั้งโรคเบาหวาน ต้อกระจก และการเคลื่อนไหวไม่สะดวก จึงทำอาชีพรับจ้างอย่างแต่ก่อนไม่ได้ ทุกวันนี้ได้รับความช่วยเหลือจาก คำนึง หลักเมือง เพื่อนบ้าน ที่ให้พื้นที่ในการปลูกบ้านแบบไม่คิดค่าเช่า






“ความยากลำบากของลุง ทำให้บริษัทซีพีเอฟยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เลือกให้เข้าร่วมโครงการ “ซีพีเอฟ คืนสุขผู้สูงวัย”  โดยมอบเงินช่วยเหลือให้ทุกเดือน ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น ได้กินอิ่ม นอนหลับ ทีมงานจากฟาร์มซีพีเอฟพระพุทธบาท กับ ทีม อสม. เข้ามาดูแลสุขภาพ ตรวจวัดความดัน มาให้กำลังใจ ทำให้มีความสุข ขอขอบคุณทีมงานทุกๆคนที่คอยห่วงใยไปมาหาสู่ถามข่าวคราว และจัดโครงการดีๆแบบนี้ให้กับผู้สูงอายุ” ลุงชม กล่าวด้วยความรู้สึกปลาบปลื้มใจ




มนัสพันธ์ ดอนก้อนไพร นายอำเภอหนองโดน จ.สระบุรี กล่าวว่า ในช่วงที่ร่างกายยังปกติ ลุงชมเป็นผู้มีจิตอาสา สมัครเป็นตำรวจบ้านออกตรวจความเรียบร้อยร่วมกับเจ้าหน้าที่ โดยไม่มีสิ่งตอบแทน จึงกลายเป็นที่รักของคนในชุมชน เมื่อเจ็บป่วยก็ได้รับการดูแลอย่างดี การที่ซีพีเอฟคัดเลือกลุงชมเข้าร่วมโครงการฯนี้ เพื่อเป็นตัวแทน "ความกตัญญู" ตอบแทนความดีที่เคยสร้างมา ถือเป็นแบบอย่างด้านการส่งเสริมการทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทน ซึ่งที่ผ่านมาทีมงานจิตอาสาจากธุรกิจสุกรของซีพีเอฟ ได้ร่วมกับภาครัฐ หน่วยงานบริหารส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และเจ้าหน้าที่อาสาสมัคร เข้ามาดูแลผู้สูงวัยไม่ทิ้งคนดีของสังคมให้โดดเดี่ยวและจะช่วยจนถึงที่สุดต่อไป




ส่วนที่บ้าน ยายสำลี โอภาพ วัย 74 ปี ชาวตำบลท่าคล้อ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี ที่อาศัยอยู่เพียงลำพังบนพื้นที่สาธารณะของหมู่บ้าน ปลูกกระท่อมเพิงพักเล็กๆกันแดดฝน หลังจากที่ย้ายมาอยู่กับสามีที่ท่าคล้อเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา จนกระทั่งสามีเสียชีวิต ยายสำลีต้องกลายเป็นผู้สูงอายุไร้ที่พึ่ง เพราะพื้นเพไม่ใช่คนที่นี่ เมื่อไม่มีทรัพย์สมบัติติดตัว ขาดคนดูแล ก็ต้องอาศัยชาวชุมชนช่วยเหลือ ได้พื้นที่ปลูกสร้างที่พักพอให้ปลูกผักกินอยู่ในแต่ละวัน มีเพียงเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 700 บาทต่อเดือน และสิทธิบัตรทองเท่านั้น เมื่อซีพีเอฟรู้ถึงความเดือดร้อน ได้เร่งเข้ามาดูแลให้ร่วมโครงการ “ซีพีเอฟ คืนสุขผู้สูงวัย”  โดยมีทีมงานจิตอาสาจากฟาร์มท่าคล้อ ของธุรกิจไก่เนื้อ สระบุรี มาดูแล


“ดีใจมากที่บริษัทเข้ามาให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง มามอบเงิน 2,000 บาททุกเดือน เพื่อช่วยด้านสุขภาพ เครื่องอุปโภคบริโภค เพราะยายอายุมากแล้ว ถึงจะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง แต่ก็ทำอาชีพไม่ได้เหมือนแต่ก่อน ทำให้ไม่มีรายได้ ทุกวันนี้ใช้ชีวิตอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่เหงาเพราะมีทีมงานซีพีเอฟ กับ อบต. และอสม. มาเยี่ยมและตรวจสุขภาพเป็นประจำ ทุกคนเหมือนลูกหลานที่คอยห่วงใยใส่ใจ ทำให้คนแก่ที่ไม่มีที่พึ่งพิงได้กลับมามีกำลังใจต่อสู้ชีวิต” ยายสำลีกล่าว


จิราภรณ์ กิ่งสีดา ปลัดอำเภอแก่งคอย จ.สระบุรี บอกว่า ยายสำลี คือภาพสะท้อนของผู้สูงอายุที่เป็นคนดี มีจิตอาสา ในช่วงที่ร่างกายสมบูรณ์ก็มีส่วนร่วมในงานชุมชนไม่เคยขาด จึงเป็นที่รักของคนในชุมชน แม้ปัจจุบันจะต้องอาศัยเพียงลำพังไร้ญาติ แต่ยังคงเข้าวัดฟังธรรม ทำบุญอยู่ตลอด เมื่อถูกทอดทิ้งชุมชนก็ช่วยกันดูแลเป็นอย่างดี เช่นเมื่อต้นปี 2565 ชาวชุมชนได้ช่วยกันปรับปรุงที่พักอาศัยให้คุณยาย และการที่ซีพีเอฟเข้ามาร่วมดูแลยายสำลี ในฐานะตัวแทน "ความกตัญญู" ที่มอบให้เพื่อตอบแทนความดี โดยไม่หวังผลตอบแทนที่ยายสำลีเคยสร้างไว้ ถือเป็นตัวอย่างของการส่งเสริมการทำความดีอีกรูปแบบหนึ่ง ขอขอบคุณโครงการดีๆ ที่มอบโอกาสให้ประชาชน และขอให้ดำเนินการเช่นนี้ตลอดไป






“ซีพีเอฟ ขอขอบคุณผู้สูงอายุทุกคนในโครงการฯ ที่เป็นเหมือนผู้เปิดโอกาสให้เราชาวฟาร์มและโรงงานที่กระจายอยู่ในชุมชนทั่วประเทศ ได้ทำความดีด้วยการเข้ามาดูแลผู้สูงวัยที่ไม่มีอาชีพ ขาดรายได้ บางรายมีความพิการของร่างกาย ถูกทอดทิ้งขาดคนเหลียวแล หรือบางรายก็ไม่ต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เราอาสามาช่วยส่งเสริมให้ความเป็นอยู่และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ให้คลายความทุกข์ยากในเบื้องต้นไปได้” สมบูรณ์ สุชาติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กิจการไก่เนื้อ 3 บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ กล่าว


ด้าน นิรัตน์ ฮ่อยี่ซี่ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ด้านระบบมาตรฐานและบริหารงานคุณภาพ ธุรกิจสุกร ซีพีเอฟ เล่าว่า โครงการ “ซีพีเอฟ คืนสุขผู้สูงวัย” เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2554 ภายใต้กลยุทธ์ด้าน"สังคมพึ่งตน" ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ 3 เสาหลักสู่ความยั่งยืนของซีพีเอฟ คือ อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน และดินน้ำป่าคงอยู่ เพื่อช่วยเหลือผู้สูงวัยรอบสถานประกอบการของบริษัทที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างจากโรงงาน ฟาร์ม หรือสาขาของบริษัท ไม่เกิน 5 กิโลเมตร ซึ่งมีฐานะยากจน ไม่มีรายได้ ถูกทอดทิ้ง ไม่มีผู้ดูแล หรือไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เป็นการให้ความช่วยเหลือตลอดชีวิต โดยร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นเครือข่าย อาทิ อบต. เทศบาล และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ดูแลทั้งความเป็นอยู่ สุขภาพร่างกาย และจิตใจ สร้างสังคมแห่งความกตัญญู และลดความเหลื่อมล้ำ


ซีพีเอฟ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจโดยยึดค่านิยม 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน คือ ประโยชน์ต่อประเทศ ประชาชน และองค์กร รวมทั้งปลูกฝังพนักงานรู้จักการกตัญญู เกื้อกูล ร่วมกันดูแลผู้สูงอายุในชุมชน โดยตลอด 12 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2554 - 2565 ที่บริษัทฯดำเนินโครงการ “ซีพีเอฟ คืนสุขผู้สูงวัย” ได้ร่วมสร้างรอยยิ้ม เติมกำลังใจให้แก่ผู้สูงอายุ รวมทั้งสิ้น 874 ราย ในภูมิภาค 52 จังหวัดทั่วประเทศ โดยมีจิตอาสาของซีพีเอฟหลากหลายกลุ่มธุรกิจ อาทิ โรงงานผลิตอาหารสัตว์ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์แก่เกษตรกร โรงฟักไข่และศูนย์คัดไข่ โรงเพาะฟักลูกกุ้ง โรงงานแปรรูปอาหาร กิจการสาขาและเครือข่ายการขาย ศูนย์ผลิตและปรับปรุงพันธุ์ปลาน้ำจืด เข้าดูแลผู้สูงวัย เสมือนเป็นคนในครอบครัว ตอกย้ำสังคมแห่งความกตัญญู และสร้างแรงบันดาลใจในการกระตุ้นให้คนในสังคมตระหนักถึงความสำคัญของผู้สูงวัยให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ./

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

พิพิธภัณฑ์การเกษตรฯเชิญเที่ยวงานมหกรรมยิ่งใหญ่แห่งปี สดุดีพระเกียรตินักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม 3-6 ธ.ค.นี้




พลอากาศเอก เสนาะ พรรณพิกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เปิดเผยว่า “การจัดงานมหกรรมในหลวงรักเรา ภูมิพลังแผ่นดิน ถือเป็นงานใหญ่ประจำปีที่พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ จัดขึ้นเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเผยแพร่พระราชกรณียกิจ ด้านการพัฒนาทรัพยากรดินเพื่อการเกษตร และในปีนี้องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO ได้กำหนดการจัดงานวันดินโลกภายใต้หัวข้อ “Soils, where food begins : อาหารก่อกำเนิด เกิดจากดิน” เพื่อสร้างการรับรู้และให้ความตระหนักถึงทรัพยากรดินที่เป็นแหล่งกำเนิดของปัจจัยต่างๆ ทั้งอาหาร ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และพลังงาน ภายในงานจัดแสดงนิทรรศการเทิดพระเกียรติฯ ภูมิพล ดลดิน จัดแสดงพระเกียรติคุณและพระอัจฉริยภาพด้านการจัดการดินเพื่อการเกษตร โดยเฉพาะพระราชดำริในการแก้ปัญหาดินในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทย พร้อมด้วยนิทรรศการจากพี่น้องเครือข่ายพิพิธภัณฑ์เกษตรฯ นิทรรศการของขวัญจากดิน เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ พระปรีชาสามารถด้านการพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรดิน




"ภายในงานมีการเปิดให้เข้าชมนิทรรศการใหม่ “วิถีเกษตรกรไทย”ตามรอยศาสตร์พระราชา พิพิธภัณฑ์อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ 8 ภายใต้แนวคิด เกษตรกรไทยเท่ มีกิน มีใช้ มีเก็บ มีเกียรติ และเปิดให้ชมนิทรรศการในพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งสนองพระราชปณิธาน พื้นที่แห่งการเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจตามศาสตร์พระราชา “สืบสาน รักษา ต่อยอด” พระราชปณิธาน และเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้านการเกษตร สนุกทะลุจอ สัมผัสความแปลกใหม่ในโรงภาพยนตร์แอนิเมชัน 7 มิติ ที่จะเปิดให้เข้าชมครั้งแรกในงานนี้ จึงขอเชิญพี่น้องประชาชนชาวไทยร่วมเป็นส่วนสำคัญในการสืบสาน รักษา ต่อยอด สืบทอดพลังแห่งความดี ธ ผู้ทรงเป็นดั่งกำลังของแผ่นดิน ภายในงานมหกรรมในหลวงรักเรา ภูมิพลังแผ่นดิน ระหว่างวันที่ 3-6 ธันวาคม 2565 ณ พิพิธภัณฑ์การเกษตรฯ จ.ปทุมธานี”  พลอากาศเอก เสนาะกล่าว






สำหรับกิจกรรมพิเศษในวันที่ 5 ธันวาคม เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และวันพ่อแห่งชาติ เวลา 08.00 น. ขอเชิญประชาชนชาวไทย ร่วมทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง พระภิกษุสงฆ์ 59 รูป เพื่อน้อมถวาย เป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และในเวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ร่วมรับชมการแสดง และจุดเทียนมหามงคลสดุดีเฉลิมพระเกียรติ และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ รับฟังบทเพลงบรรเลงเพื่อพ่อ และเปิดให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ในหลวงรักเรา พิพิธภัณฑ์ดินดล ตลอดทั้งวัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอีกด้วยพร้อมด้วยกิจกรรมอื่นๆอีกมากมาย”





ด้านนายอร่าม แก้วนิล ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเกษตรเศรษฐกิจพอเพียง กล่าวถึงนิทรรศการภายในงานว่า “ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนเข้ามาร่วมเรียนรู้นิทรรศการผู้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ภายใต้ชื่อนิทรรศการของขวัญจากดิน เรียนรู้ความอุดมสมบูรณ์ด้านข้าว ปลา อาหาร จากเกษตรกรผู้ปฏิบัติจริง สะท้อนเรื่องราววิถีเกษตรยุคใหม่ ที่ยังคงอนุรักษ์ภูมิปัญญาดั้งเดิม พร้อมพัฒนาและยกระดับ ให้เข้ากับยุคสมัยด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ นำเสนอเรื่องราว 4 วิถี แห่งการพึ่งพาตนเองสู่การสร้างอาชีพ สร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับตนเองและชุมชน อาทิ ของขวัญจากดิน “ข้าวใหม่ปลามัน สรรพสิ่งหลังนา”การสร้างคนรุ่นใหม่ 7 โมเดล การท่องเที่ยวชุมชน การพัฒนาและสร้างผู้ประกอบการ พร้อมด้วยกิจกรรม Work shop จับเข่า ล้อมวงเล่าเรื่องเกษตร พร้อมด้วยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านการอบรมวิชาของแผ่นดิน และอบรมเชิงปฏิบัติการตลอดวัน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย”



ส่วนนางขวัญใจ เนตรหาญ เครือข่ายพิพิธภัณฑ์เกษตรฯ จ.สระบุรี กล่าวถึงกิจกรรมเพิ่มเติมว่า “ช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ ถือเป็นช่วงเดือนข้าวใหม่ ปลามัน เดือนแห่งการเฉลิมฉลองในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยว พี่น้องเครือข่ายจากทั่วประเทศ ร่วมใจกันรวบรวมผลผลิต ได้แก่ ข้าวไร่ ทั้ง 4 ภาค พืชหัว ผักพื้นบ้าน องค์ความรู้เรื่องจุลินทรีย์สรรพสิ่งฯ ตลอดช่วงฤดูกาลทำนา มาจัดแสดงให้เห็นถึงห่วงโซ่อาหาร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ แสดงถึงสายใยที่สร้างความมั่นคงทางอาหารตามวิถีเกษตรให้ผู้ที่สนใจได้เข้ามาเรียนรู้ภาย ในงาน”



ส่วนทางด้านนางสาวจุฑามาศ ทองชมพูนุช ผู้อำนวยการสำนักสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรมยอดฮิตว่า “ทางด้านตลาดเศรษฐกิจพอเพียง ตลาดองค์ความรู้ ตลาดแห่งมิตรภาพ และการแบ่งปัน ศูนย์กลางการรวบรวมองค์ความรู้ ด้านการเกษตร พื้นที่จุดประกายความคิดและน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สังคมให้เห็นในเชิงประจักษ์ พร้อมชม ช้อป แบบจุใจกว่า 200 ร้านค้ากับสินค้าเกษตรปลอดภัย ผลิตผลเกษตรอินทรีย์มีคุณภาพ อาหารพื้นบ้านคาวหวานทั้ง 4 ภาค และตลาดต้นไม้นานาพันธุ์ โดยเกษตรกรผู้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต จำหน่ายในราคามิตรภาพ และเปิดให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ในหลวงรักเรา พิพิธภัณฑ์ดินดล ตลอดงาน”



สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 02-529-2212-13, 087-359-7171 คลิกดูรายละเอียดได้ที่ www.wisdomking.or.th หรือ facebook / Instagram /Line ID : @wisdomkingmuseum และ Youtube พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ

ขอขอบคุณที่เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์

  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักสารสนเทศและการสื่อสาร ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โทร 087-359-7171 และ 094-649-2333

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

กรมปศุสัตว์ เตือนลักลอบนำเข้าเนื้อและซากสุกร ผิดกฎหมาย พร้อมสร้างความเป็นธรรมให้ผู้เลี้ยง ตามเป้าหมาย Zero ASF


 

กรมปศุสัตว์ เดินหน้าเป้าหมาย Zero ASF เตือนหมูเถื่อนลักลอบนำเข้าผิดกฎหมายเป็นพาหะนำโรคระบาด เร่งปราบปรามเข้มงวด พร้อมปกป้องเกษตรกร สร้างความเป็นธรรมและความมั่นใจ ส่งเสริมผู้เลี้ยงกลับเข้าเลี้ยงใหม่โดยเร็ว

 

น.สพ.สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า การลักลอบนำเข้าสัตว์หรือชิ้นส่วนเนื้อสัตว์ เป็นเรื่องผิดกฎหมาย เนื่องจากไทยมีพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 การนำเข้าสัตว์ ชิ้นส่วนหรือซากสัตว์ ต้องได้รับอุนญาต และต้องมีการตรวจโรคจากประเทศต้นทางและประเทศต้นทางต้องไม่มีโรคระบาด หากมีการลักลอบนำเข้าสัตว์หรือตัวสัตว์จะไม่มีการตรวจสอบความปลอดภัยหรือตรวจสอบโรคระบาดว่าปะปนมาด้วยหรือไม่

 



ก่อนหน้านี้ ไทยมีโรคระบาด ASF  ซึ่งขณะนี้ไทยดำเนินงานจนดีขึ้นเรื่อยๆ สถานการณ์ของโรคเบาบางลง และกำลังดำเนินการต่อเนื่องทำให้เป็น Zero ASF หรือ ASF เป็นศูนย์ ภายใต้มาตรการการป้องกันการลักลอบนำเข้าซึ่งเป็นพาหะของโรคทั้งเนื้อสัตว์และตัวสัตว์

 

“เราเคยมีประสบการณ์มาแล้ว กล่าวคือ ในระหว่างประเทศอื่นๆ มีโรคระบาดสัตว์ปริมาณของสัตว์ชนิดนั้นจะลดลง การที่จะฟื้นกลับคืนมาใหม่ต้องใช้เวลา และต้องฟื้นฟูให้เกษตรกรกลับมามีอาชีพเลี้ยงสัตว์นั้นได้และอยู่ได้” น.สพ.สมชวน กล่าว

 

น.สพ.สมชวน กล่าวว่า การทำให้เกษตรกรกลับมาเลี้ยงสัตว์ต่อเนื่อง ต้องประคับประคองดูแลไม่ให้โรคระบาดกลับมาซ้ำได้ หากยังมีชื้นส่วนสุกรหรือตัวสัตว์ที่มีโรคเข้ามา เป้าหมายที่ ASF จะเป็นศูนย์เป็นไปได้ยาก รวมถึงเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรยังบอบช้ำ อยู่ระหว่างฟื้นฟู หากมีการลักลอบนำเข้ามาโดยไม่ได้เปิดตลาด ไม่ได้รับอนุญาต จะยิ่งมาทำร้ายเกษตรกร เกษตรกรที่จะนำหมูเข้าเลี้ยงใหม่ต้องลงทุนสูง มีความเสี่ยงและท้อแท้จนไม่อยากกลับเข้ามาเลี้ยง เพราะมีการลักลอบนำเข้าชิ้นส่วนสุกรราคาถูกมาแย่งตลาดจะทำให้เกษตรกรล้มเลิกอาชีพหายไป และการกลับมาเลี้ยงใหม่ทำได้ยาก ซึ่งมีตัวอย่างในต่างประเทศมาแล้ว

 

นอกจากนี้ กรมปศุสัตว์ ได้ร่วมมือกับสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติและเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรกลุ่มต่างๆ ในการหาแนวทางส่งเสริมให้เกษตรกรกลับมาเลี้ยงใหม่โดยเร็ว ควบคู่กับมาตรการปราบปรามและมาตรการป้องกันโรคดูแลความปลอดภัยที่เข้มงวดและเป็นธรรม จะทำให้อีกไม่นานเกษตรกรก็จะกลับมาลงทุน

 

“ถือเป็นเรื่องสำคัญที่กรมปศุสัตว์ จะต้องปกป้องเกษตรกรไม่ให้มีการฉวยโอกาสในช่วงที่เกษตรกรกำลังอ่อนแอ และต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎหมาย ตามนโยบายของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหรกรณ์” น.สพ.สมชวน กล่าวย้ำ./


https://vt.tiktok.com/ZSRTheCjT/

วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาหัวนา จัดกิจกรรมจิตอาสาช่วยเหลือ ฟื้นฟู ผู้ประสบอุทกภัย

 



โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาหัวนา จัดกิจกรรมจิตอาสาช่วยเหลือ ฟื้นฟู ผู้ประสบอุทกภัย โรงเรียนบ้านหนองบัวไชยวาน ตำบลโนนสัง อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ




นายเกรียงไกร  ภาคพิเศษ  ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 8 มอบหมายให้ นายณัทเศษฐ์  ถิรวัฒน์ธนกร ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาหัวนาพร้อมด้วย หัวหน้าฝ่าย ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ พนักงานราชการ และเจ้าหน้าที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาหัวนา ร่วมกันดำเนินกิจกรรมจิตอาสา ช่วยเหลือ ฟื้นฟู ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ ณ โรงเรียนบ้านหนองบัวไชยวาน ตำบลโนนสัง อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยได้ระดมสรรพกำลังเจ้าหน้าที่ เครื่องมือ เครื่องจักร ยานพาหนะ และอุปกรณ์ต่างๆ ร่วมกันทำความสะอาด ฟื้นฟู และปรับภูมิทัศน์โดยรอบบริเวณ โรงเรียนบ้านหนองบัวไชยวาน ซึ่งได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ให้สามารถใช้พื้นที่ดังกล่าวได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด






_____

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

ซีพีเอฟ หนุน “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ก้าวสู่ปีที่ 35 มุ่งถ่ายทอดเทคโนโลยี สร้างความมั่นคงทางอาหารให้เยาวชน


ซีพีเอฟ หนุน “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ก้าวสู่ปีที่ 35 มุ่งถ่ายทอดเทคโนโลยี สร้างความมั่นคงทางอาหารให้เยาวชน


ตลอดระยะเวลากว่า 3 ทศวรรษ ที่ผ่านมา “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ร่วมกันดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนและเกษตรกรในชนบทห่างไกลทั่วประเทศ กลายเป็นหนึ่งในโครงการที่ร่วมบรรเทาปัญหาขาดแคลนโปรตีน สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโต ทั้งร่างกายและสมองของเยาวชนในชนบทได้อย่างเป็นรูปธรรม ช่วยสนับสนุนความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการที่ดีแก่เด็กนักเรียน และเดินหน้าสู่เป้าหมายโรงเรือน 1,000 แห่งในโรงเรียนในพื้นที่ชนบทห่างไกลทั่วประเทศ เพื่อผลักดันสู่ห้องเรียนอาชีพจากการเรียนรู้การเลี้ยงไก่ไข่ ขยายผลสู่ชุมชนเป็นคลังเสบียงในวิกฤตโควิด-19 

 



นายสมคิด วรรณลุกขี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจไก่ไข่ ซีพีเอฟ เล่าว่า เครือซีพี ซีพีเอฟ ร่วมกับมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท น้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตาม "โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน" สานต่อเป็น "โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน" มาตั้งแต่ปี 2532 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกลในถิ่นทุรกันดาร ได้บริโภคไข่ไก่โปรตีนคุณภาพดี ช่วยแก้ปัญหาทุพโภชนาการในเด็กนักเรียน ช่วยเสริมสร้างโภชนาการที่ดี และการเติบโตสมวัยทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา จนถึงปัจจุบันมีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ 930 โรงเรียน มีนักเรียนมากกว่า 180,000 คน และยังพัฒนาสู่แหล่งเรียนรู้การจัดการอาชีพเกษตรเชิงธุรกิจให้กับครู 12,000 คน และมีชุมชน 1,900 แห่ง ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ จากการได้บริโภคไข่ไก่สดใหม่ในราคาย่อมเยา ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิกฤตโควิด 3 ปีที่ผ่านมา โครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ กลายเป็นคลังเสบียงอาหารของชุมชน ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้เป็นอย่างดี  






อีกเป้าหมายสำคัญของโครงการฯ คือการมุ่งสนับสนุนให้โรงเรียนสามารถสร้างแหล่งอาหารโปรตีนคุณภาพดีโดยฝีมือของนักเรียน เกิดการพัฒนาระบบการบริหารจัดการผลผลิต นำไปสู่ความยั่งยืนของโครงการฯ โดยมีเป้าหมายขยายโรงเรียนเพิ่มขึ้นปีละ 25 แห่ง คาดว่าภายในปี 2568 จะมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการฯ 1,000 โรงเรียน ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟมุ่งถ่ายทอดเทคโนโลยีตอบรับยุคดิจิทัล ทั้งในระบบการเลี้ยง องค์ความรู้การจัดการมาตรฐาน รวมถึงการสื่อสารและการจัดการข้อมูล อย่างเช่นการใช้แอปพลิเคชันไลน์ (LINE) ในการสื่อสารกับโรงเรียนต่างๆเพื่อความสะดวกรวดเร็วและลดการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการใช้กูเกิลฟอร์ม (Google Form) รวบรวมข้อมูลทางออนไลน์ ทำให้ทราบข้อมูลที่รวดเร็วสามารถการวางแผนการผลิตได้อย่างเหมาะสม ถือเป็นการผลักดันเกษตรแผนใหม่และติดตามผลแบบออนไลน์อย่างเป็นรูปธรรม 




ความมุ่งมั่นเพื่อเยาวชนไทยดังกล่าวทำให้หน่วยงานและองค์กรอื่นๆ เห็นความสำคัญของโครงการและเข้าร่วมเป็นภาคีเครือข่าย อาทิ หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (Japanese Chamber of Commerce, Bangkok) หรือ JCC ที่สนับสนุนโครงการฯอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2543 รวมถึง บมจ.สยามแม็คโคร ที่ร่วมสนับสนุนโครงการฯ เดินหน้าสู่เป้าหมายการผลักดันให้โครงการฯนี้ กลายเป็นศูนย์เรียนรู้และคลังความรู้ในโรงเรียน ที่พร้อมเปิดรับชุมชนและโรงเรียนที่มีความสนใจ เข้ามาเรียนรู้อาชีพเกษตร เทคโนโลยีการจัดการฟาร์ม และการตลาด เพื่อนำโมเดลธุรกิจเกษตรฉบับย่อไปประยุกต์ใช้ในอาชีพต่อไป


“โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ซีพีเอฟดำเนินการภายใต้ 3 เสาหลัก คือ อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน และดินน้ำป่าคงอยู่ ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) ในข้อ 2 การขจัดความหิวโหย บรรลุความมั่นคงทางอาหาร และข้อ 3 การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน ทุกช่วงอายุ โดยซีพีเอฟสนับสนุนโรงเรือน อุปกรณ์การเลี้ยง พันธุ์สัตว์ และอาหารสัตว์สำหรับการเลี้ยงรุ่นแรก (ระยะเลี้ยงประมาณ 60 สัปดาห์) โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย มีผู้เชี่ยวชาญของบริษัทให้ความรู้ ด้านเทคโนโลยีการเลี้ยงไก่ไข่ การติดตามผล การดูแลสุขภาพสัตว์ การจัดการโรงเรือน ตามหลักวิชาการและสุขาภิบาล เพื่อให้โครงการฯมีผลประกอบการที่ดี พร้อมให้คำแนะนำการบริหารจัดการผลผลิตและบัญชี พร้อมช่วยบริหารจัดการฟาร์มให้มีกำไรต่อเนื่อง มีเงินเข้ากองทุนสำหรับการเลี้ยงเองในรุ่นถัดไป ส่วนการเลี้ยงไก่ตั้งแต่รุ่นที่ 2 เป็นต้นไป โรงเรียนสามารถซื้อพันธุ์ไก่ไข่และอาหารในราคาพิเศษ โดยส่วนต่างราคาที่เกิดขึ้นมีซีพีเอฟเป็นผู้ให้การสนับสนุน


สำหรับโรงเรียนที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ สามารถติดต่อขอข้อมูลได้ที่ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท โทรศัพท์ 02-766-7340/4310 โทรสาร 0-2638-2716 ./

“วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” เทศกาลสัตว์น้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

  เปิดประสบการณ์ความมหัศจรรย์ของโลกใต้น้ำกับ FISHTIVAL 2025   ที่ยกทัพพาเหรดสัตว์น้ำกว่า 3,000 ตู้ ในงาน “วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” ...