วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2566

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ร่วมสร้าง “พลเมืองดีคุณภาพของสังคม” ผ่านโครงการสนับสนุนทุนการศึกษานักเรียนในพระราชานุเคราะห์ฯ


   "โครงการสนับสนุนทุนการศึกษานักเรียนในพระราชานุเคราะห์ฯ ที่มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 20 เป็นโครงการที่สร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับนักเรียนศิษย์เก่าโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาเท่าเทียมกับเยาวชนในเมือง พร้อมกับการเสริมสร้างทักษะชีวิต ทักษะอาชีพ เพื่อให้เยาวชนเติบโตเป็นคนดี คนเก่ง และมีศักยภาพในการนำองค์ความรู้กลับไปพัฒนาชุมชนตนเองให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” 




อาภาพร เจ๊กกลัด หรือน้ำ เจ้าหน้าที่ฝึกอาชีพและส่งเสริมอาชีพ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท บอกถึงความมุ่งมั่นของโครงการฯ ที่ตัวเธอเองก็ได้รับโอกาสเช่นเดียวกันนี้ ทำให้นักเรียนทุนเครือเจริญโภคภัณฑ์อย่างเธอ ได้ศึกษาในสาขาส่งเสริมการเกษตร มหาวิทยาแม่โจ้ และได้กลายเป็นหนึ่งในทีมงานผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ “โครงการสนับสนุนทุนการศึกษานักเรียนในพระราชานุเคราะห์ฯ” หลังจากที่ได้เข้าฝึกงานกับโครงการทุนเครือฯ และได้ช่วยงานที่มูลนิธิฯ ในโครงการศูนย์ฝึกอาชีพเยาวชนเกษตร จนเมื่อจบการฝึกงานกับทุนเครือฯ เธอได้ฝึกงานสหกิจของมหาวิทยาลัยต่อที่นี่อีก 4 เดือน ตลอดเวลากว่าครึ่งปีกับการฝึกงานกับมูลนิธิฯ น้ำได้เปิดโลกทัศน์และมุมมองใหม่ๆ ในการทำงานช่วยเหลือสังคม จนกลายเป็นแรงบันดาลใจที่อยากส่งต่อโอกาสดีๆ ที่เคยได้รับให้คนอื่น และมีส่วนร่วมสร้างพลเมืองดีคุณภาพของสังคม







“ตลอด 6 เดือนของการฝึกงาน ทำให้มีความตั้งใจที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ สู่บทบาทใหม่ที่ท้าทาย ในการเข้ามาดูแล น้องๆเยาวชนในโครงการฯ ในฐานะพี่สาวคนโตของบ้าน ที่คอยดูแลความเป็นอยู่ของน้องทุกคน ตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอน ทั้งงานภาคสนาม งานเอกสาร และการเป็นติวเตอร์ กลายเป็นหน้าที่ที่ทำด้วยความเต็มใจ เพราะอยากส่งต่อองค์ความรู้และประสบการณ์ที่มีให้กับน้องๆ  เพื่อให้เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี มีโอกาสในการเจริญเติบโตต่อไป และใช้โอกาสที่ได้รับให้คุ้มค่าและสร้างคุณค่าให้มากที่สุดเหมือนที่เราทำอยู่” น้ำ กล่าวพร้อมยกตัวอย่างความสำเร็จของน้องๆในโครงการฯด้วยความภูมิใจ




นิติธร วรศิลป์ธนโชติ หรือน้องซองอุ๊ ที่จบการศึกษาเกียรตินิยมอันดับ 1 ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.69 จากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาวิชาศิลปะและการออกแบบ มหาลัยราชภัฏเพชรบุรี เล่าถึงจุดเริ่มต้นว่า หลังจากได้รับการคัดเลือกให้รับทุนการศึกษาในโครงการฯ ตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษา จึงได้เข้ามาอยู่ในศูนย์ฝึกอาชีพเยาวชนเกษตร อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ที่นี่นักเรียนทุกคน จะได้รับการฝึกทักษะ 4 ด้าน ทั้งการเรียน ทักษะชีวิต ทักษะอาชีพ รวมถึงทักษะความเป็นผู้นำและคุณธรรม นอกจากได้รับโอกาสในการเรียนต่อแล้ว ยังได้ฝึกฝนทักษะอาชีพหลากหลาย ทั้งปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ที่สำคัญคือได้รู้จักระเบียบวินัย ซึ่งเป็นโอกาสที่หาที่ไหนไม่ได้แล้ว ขอฝากน้องๆเมื่อได้รับโอกาส อย่าทิ้งไป ขอให้ตั้งใจเรียน ให้คิดถึงคนทางบ้านและตัวเราเอง เมื่อมีโอกาสก็อยากให้กลับไปช่วยเหลือหมู่บ้าน หรือนำความรู้ที่มีไปสู่สังคม


“เมื่อก่อนไม่เคยคิดว่าจะได้เรียนต่อ พอเรียนจบชั้นประถมเคยคิดจะบวช แต่การได้รับทุนกลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิต ทำให้ได้เรียนหนังสือจนจบปริญญาตรี ได้มีโอกาสในการทำงานที่มั่นคง ขอบคุณพี่ๆมูลนิธิฯ ที่ช่วยเหลือตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีสัญชาติไทย คอยอบรมสั่งสอน ให้คำปรึกษา เปรียบเหมือนแม่คนหนึ่ง ที่คอยดูแลเด็กๆทุกคนดีมาก ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด เป็นเหมือนลมใต้ปีกที่ทำให้ผมและพี่ๆน้องๆในโครงการฯ ก้าวสู่ความสำเร็จ และผมยังส่งต่อสู่สังคมด้วยการรวมกลุ่มกับเพื่อนทำจิตอาสา ‘โครงการ ศิลป์สู่น้อง’ วาดภาพตามโรงเรียนต่างๆ เพื่อสร้างแรงบรรดาลใจในด้านศิลปะ” น้องซองอุ๊ กล่าว




ส่วน วรวุธ ขันอาสา หรือน้องท็อป บัณฑิตป้ายแดงจากสาขาเทคโนโลยีไฟฟ้า คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี อีกหนึ่งความภูมิใจของมูลนิธิฯ บอกว่า ดีใจมากกับความสำเร็จในครั้งนี้ ที่ทำให้พ่อแม่ภูมิใจ เพราะเป็นคนแรกในครอบครัวที่เรียนจบมหาวิทยาลัย และจะมีวันนี้ไม่ได้ หากไม่ได้รับโอกาสให้เป็นนักเรียนทุนในโครงการฯ ทำให้ได้มาศึกษาต่อในโรงเรียนวังไกลกังวลในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่คอยช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายทั้งค่าเทอม และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของครอบครัวซึ่งมีฐานะค่อนข้างยากจน นอกจากนี้การได้มาอยู่ในศูนย์ฝึกฯ ทำให้ได้ฝึกทักษะหลายอย่าง ตั้งแต่การทำเกษตร จนถึงการทำอาหาร ที่กลายเป็นทักษะติดตัวจนถึงทุกวันนี้ 


“ขอขอบคุณโอกาสดีๆที่มูลนิธิฯ มอบให้ ทำให้ได้เข้าถึงการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้ได้พัฒนาศักยภาพของตนเอง  โดยมีพี่ๆมูลนิธิฯ ที่เป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลช่วยเหลือทุกอย่างเสมือนคนในครอบครัว ขอฝากถึงน้องๆรุ่นหลังให้ตั้งใจเรียน มีความรับผิดชอบ เมื่อได้รับทุนฯ อยากให้ไปเรียนที่โรงเรียนวังไกลกังวลฯ และไปอยู่ที่ศูนย์ฝึกฯ เพื่อเติมเต็มความรู้และทักษะที่หาไม่ได้ในห้องเรียน ทุกคนจะได้รับการดูแลที่ดีทั้งความเป็นอยู่ ความรู้ ได้เรียนรู้วิธีจัดการชีวิต การจัดการอาชีพเกษตรขั้นพื้นฐาน ที่สามารถนำไปใช้ประกอบอาชีพได้ในอนาคต” น้องท็อป บอกอย่างภูมิใจ 


"โครงการสนับสนุนทุนการศึกษานักเรียนในพระราชานุเคราะห์" เป็นหนึ่งในโครงการสนองแนวพระราชดําริ สมเด็จพระ กนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชหฤทัยมุ่งมั่นช่วยเหลือเด็กเยาวชนที่ขาดโอกาสในถิ่นทุรกันดารให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยมูลนิธิฯ ร่วมกับสำนักงานโครงการส่วนพระองค์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน โรงเรียนวังไกลกังวล ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกันสนับสนุนการศึกษาแก่นักเรียนที่จบการศึกษาภาคบังคับ หรือเท่าที่มีการเปิดการเรียนการสอนในโรงเรียนสังกัดตำรวจตระเวนชายแดน (ร.ร.ตชด.) ด้วยการให้ทุนการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 เข้าศึกษาในโรงเรียนวังไกลกังวลฯ โดยมูลนิธิฯ สนับสนุนที่พักค้างประจำ ณ ศูนย์ฝึกอาชีพเยาวชนเกษตร ภายในศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี และมีพี่เลี้ยงจากมูลนิธิฯ ดูแล


นับตั้งแต่ปี 2546 จนถึงปัจจุบัน มีเยาวชนเข้าร่วมโครงการฯ มากกว่า 200 คน ช่วยสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับนักเรียนศิษย์เก่า ร.ร.ตชด. ได้รับการศึกษาทัดเทียมกับเยาวชนในเมือง และสามารถนำความรู้ไปประกอบสัมมาชีพ เป็นคนดีพลเมืองดีชายแดน กลับไปพัฒนาชุมชน จนถึงวันนี้โครงการฯ ได้สนับสนุนให้เด็กและเยาวชนทั้งรุ่นที่จบการศึกษาไปแล้วและกำลังศึกษาอยู่ ได้ร่วมเป็นกลไกขับเคลื่อนชุมชนที่เข้มแข็ง เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ยังคงเดินหน้า “สร้างคนดี พลเมืองดี อาชีพดี ชุมชนสิ่งแวดล้อมดี” ตามปรัชญา 3 ประโยชน์ของเครือซีพี ที่มุ่งสร้างสรรค์ประโยชน์แก่ประเทศชาติและสังคมต่อไป ดังเช่นที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลากว่า 34 ปีที่ผ่านมา./

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2566

ซีพีเอฟ ปั้น Smart-IA พัฒนาศักยภาพผู้ตรวจประเมินภายใน หนุนความเชื่อมั่นอาหารปลอดภัย



    

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดตัวโครงการ “Smart IA-Internal Audit ทีมเก่ง งานแกร่ง” มุ่งมั่นยกระดับกระบวนการตรวจประเมินภายใน (Internal Audit) ครอบคลุมธุรกิจไก่เนื้อ-เป็ดเนื้อครบวงจร พัฒนาทีมตรวจประเมินภายในและกระบวนการตรวจประเมินภายในของระบบมาตรฐานอาหารของซีพีเอฟ (PS7818) ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารยั่งยืนสู่ผู้บริโภค เพิ่มความเชื่อมั่นจากลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย        



นายสิริพงศ์ อรุณรัตนา  ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการธุรกิจสัตว์บก เปิดเผยว่า บริษัทฯ ให้การสนับสนุนกิจกรรมตรวจประเมินภายใน ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาและปรับปรุงองค์กร ด้วยผู้ตรวจประเมินภายในที่สามารถช่วยปรับปรุงองค์กรในเชิงลึก โดยให้มุ่งเน้นการปรับปรุงแก้ไขอย่างมีประสิทธิผล เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาซ้ำ และส่งเสริมธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน   

   

ซีพีเอฟ  ได้เปิดตัวโครงการ “Smart IA-Internal Audit ทีมเก่ง งานแกร่ง”  ที่จัดทำเพื่อพัฒนาผู้ตรวจประเมินระบบมาตรฐานภายในบริษัท ให้มีความรู้ ความสามารถ ทักษะ ความชำนาญด้วยเทคนิคการตรวจประเมินตามมาตรฐานสากล ISO 19011:2018 และพัฒนากระบวนการตรวจประเมินภายในให้มีประสิทธิภาพ นำไปสู่การพัฒนากระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่คุณค่าซีพีเอฟ ตั้งแต่การผลิตอาหารสัตว์ ฟาร์มพ่อแม่พันธุ์ โรงฟัก ฟาร์มไก่เนื้อและเป็ดเนื้อ โรงงานแปรรูปและโรงงานอาหารแปรรูป    

   



โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการมาตรฐานอาหารของซีพีเอฟ (PS7818:2018) ซึ่งเป็นมาตรฐานควบคุมกระบวนการผลิตของบริษัทด้านคุณภาพ ความปลอดภัยอาหาร และความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ตลอดห่วงโซ่คุณค่า ของซีพีเอฟ โครงการ SMART IA  นำร่องในธุรกิจไก่เนื้อโคราชแล้วในปี 2565 และมีแผนขยายไปยังธุรกิจเป็ดเนื้อครบวงจรทั้งหมด       

   






ทั้งนี้ สำนักระบบมาตรฐานสากล ตั้งเป้าหมายของโครงการฯ สร้างผู้ตรวจประเมินภายในที่มีศักยภาพจากโครงการ SMART-IA  ของธุรกิจไก่เนื้อและเป็ดเนื้อครบวงจร ในปี พ.ศ. 2566 และดำเนินการพัฒนาศักยภาพของผู้ตรวจประเมินภายในต่อเนื่อง 3 ปี เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่ดียิ่งขึ้นและเป็นมาตรฐานเดียวกัน สอดคล้องตามวิสัยทัศน์ “ครัวของโลก” ที่จะส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืน สร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าและผู้มีส่วนได้เสียด้วยเครื่องมือตรวจประเมินภายในที่มีประสิทธิภาพ และส่งเสริมการเติบโตธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ./

วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2566




 CPF ชู "โครงการปุ๋ยเปลือกไข่สู่ชุมชนและเกษตรกร" โมเดลความสำเร็จลดขยะ-ลดก๊าซเรือนกระจก   

  บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ  ขับเคลื่อนโครงการความยั่งยืนสู่ชุมชน สร้างผลกระทบเชิงบวกทางสังคม ชูโมเดลความสำเร็จโครงการ “ปุ๋ยเปลือกไข่สู่ชุมชนและเกษตรกร จังหวัดชัยภูมิ”  เป็นต้นแบบของโครงการที่เกิดประโยชน์ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์เป้าหมายความยั่งยืน CPF 2030 Sustainability in Action และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (SDGs) ลดขยะสู่การฝังกลบ และลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก

     

นายจำรัส เพ็ชรตะคุ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจไก่ปู่-ย่าพันธุ์เนื้อ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ มุ่งมั่นขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจสู่ความยั่งยืน เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร พร้อมส่งเสริมให้พนักงานคิดสร้างสรรค์โครงการที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนอย่างยั่งยืน และเป็นโครงการที่สามารถประเมินผลตอบแทนทางสังคม (Social Impact Assessment - SIA) อาทิ โครงการปุ๋ยเปลือกไข่สู่ชุมชนและเกษตรกร จ.ชัยภูมิ ที่เกิดขึ้นจากแนวคิด "เปลี่ยนเศษเหลือในกระบวนการผลิต เป็นปุ๋ย ด้วยวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เพื่อเพิ่มผลผลิตเกษตรกรรมให้เกษตรกร" สอดรับกับเป้าหมาย CPF 2030 Sustainability in Action ของซีพีเอฟ ที่มีเป้าหมายลดปริมาณของเสียสู่การฝังกลบและเผา (Zero Waste to Landfill) ให้เป็นศูนย์ และเป็นไปตามเป้าหมาย SDGs   






โครงการปุ๋ยเปลือกไข่สู่ชุมชนและเกษตรกร จ.ชัยภูมิ ได้รับการประเมินผลกระทบทางสังคม (SIA) ปี 2565 รับรองข้อมูลโดย LRQA ซึ่งเป็นผู้ให้บริการชั้นนำด้านการตรวจรับรองที่ได้รับความเชื่อถือ รับรองผลของโครงการฯ มีการนำเปลือกไข่และมูลไก่ไปทำปุ๋ยหมัก สามารถลดขยะสู่บ่อฝังกลบ 370 ตันต่อปี ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 75 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี  และมีเกษตรกรรอบสถานประกอบการที่ได้ประโยชน์ 60 ราย ตลอดจนสร้างมูลค่าต่อบริษัทและสังคมกว่า 325,000 บาท

   




โครงการ "ปุ๋ยเปลือกไข่สู่ชุมชนและเกษตรกร จ.ชัยภูมิ" เป็นการศึกษาจนเกิดองค์ความรู้ของบุคลากร ทำให้ได้ปุ๋ยน้ำชีวภาพ เพื่อนำไปผสมกับมูลไก่จากฟาร์มต่างๆ ในธุรกิจไก่ปู่-ย่าพันธุ์ และเปลือกไข่จากโรงฟักภายในธุรกิจไก่ไข่ มาทำเป็นปุ๋ยหมัก  โดยใช้พื้นที่โรงผลิตปุ๋ยอินทรีย์ของศูนย์เรียนรู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง บ้านซับรวงไทร จังหวัดชัยภูมิ เพื่อแจกจ่ายให้กับชุมชน เกษตรกร และหน่วยงานราชการ  อาทิ  สถานีพัฒนาที่ดินจังหวัดชัยภูมิ นำไปใช้ประโยชน์มากกว่า 150 ตันต่อปี มีการนำปุ๋ยไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่กว่า 400 ไร่ และจากการวิเคราะห์ทางเคมีโดยคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พบว่า ปุ๋ยมีธาตุไนโตรเจนและฟอสฟอรัสสูง เป็นธาตุอาหารที่ทำให้พืชผักโตเร็ว ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางการเกษตร ทำให้ผลผลิตของเกษตรกรเพิ่มมากขึ้น ประมาณ 20% ในส่วนของซีพีเอฟ สามารถลดของเสียที่ต้องฝังกลบเปลือกไข่ โดยนำเปลือกไข่ที่เหลือจากกระบวนการผลิต ที่ต้องทำลายด้วยวิธีฝังกลบหรือเผา กลับมาทำให้เกิดประโยชน์ ซึ่งเป็นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคม 


ทั้งนี้ ในปี 2566 มีแผนขยายโครงการสู่ชุมชนรอบข้าง คือ กลุ่มผู้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์บ้านไทรงาม ต.นาเสียว อ.เมือง จ.ชัยภูมิ ทั้งเรื่องการได้รับปุ๋ยสำหรับพืชผักต่างๆ และการบูรณาการเรียนรู้ร่วมกัน คาดว่าจะมีเกษตรกรที่ได้ประโยชน์จากโครงการประมาณ 30 ราย ตลอดจนเปิดให้หน่วยงานราชการและผู้สนใจเข้าศึกษาดูงานเพื่อนำไปปรับใช้ในหน่วยงานและชุมชนของตนเองต่อไป ขณะเดียวกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ดังกล่าว ยังเป็นการขับเคลื่อนตามยุทธศาสตร์ BCG model ของจังหวัดชัยภูมิด้วย./

สัตวแพทย์ ยืนยัน กินหมูปรุงสุก “ป้องกันไข้หูดับ” แนะซื้อจากผู้ผลิตมาตรฐาน ปลอดภัย-ปลอดโรค



สัตวแพทย์ จุฬาฯ เตือนผู้บริโภค ฉลองเทศกาลปีใหม่ด้วยเมนูหมู ต้องปรุงสุกเท่านั้น ช่วยลดเสี่ยงโรคไข้หูดับ ย้ำ! ควรเลือกซื้อเนื้อสัตว์จากผู้ผลิตและแหล่งจำหน่ายที่เชื่อถือได้ สังเกตสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK”




ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ ฝ่ายประชาสัมพันธ์และภาพลักษณ์องค์กร คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า จากกรณีที่ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์โรคไข้หูดับในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 23 พฤศจิกายน 2565 พบผู้ป่วยโรคหูดับ จำนวน 349 ราย และมีผู้เสียชีวิต 6 ราย จึงมีคำแนะนำแก่ผู้บริโภคในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ที่ต้องใส่ใจกับการบริโภคอาหารที่สะอาด ปลอดภัย เลือกเนื้อหมูบริโภคจากผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือ ย้ำว่าต้องปรุงสุกทุกครั้งเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากไข้หูดับ


“ไข้หูดับ เป็นโรคที่ไม่ได้น่ากลัวจนถึงกับต้องตระหนก แต่พึงตระหนักรู้ถึงการป้องกันตนเองจากเชื้อโรคนี้เท่านั้น โดยอุบัติการณ์การเกิดโรคที่พบตามสื่อนั้น ส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อที่เกิดจาก “การบริโภค” เนื้อหมูดิบหรือเลือดหมูที่ไม่ผ่านความร้อนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งผู้บริโภคสามารถป้องกันการติดเชื้อโรคไข้หูดับได้ง่ายที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อหมูหรือเลือดหมูแบบดิบๆ รวมถึงแบบกึ่งดิบกึ่งสุก ทั้งลาบหมูดิบ ก้อยหมูดิบ ซอยจุ๊หมูดิบ รวมถึงซูชิหมูดิบ เนื่องจากเชื้อโรคไข้หูดับ “ไม่ทนต่อความร้อน” ดังนั้น “การปรุงให้สุก” ด้วยอุณหภูมิ 70-80 องศาเซลเซียส จะช่วยทำลายเชื้อไข้หูดับได้” ผศ.น.สพ.ดร.ทิลดิสร์ กล่าว





นอกจากนี้ต้องระมัดระวังการปนเปื้อนระหว่างเนื้อหมูดิบและสุก โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบอาหารสำหรับวัตถุดิบและอาหารที่ผ่านความร้อนแล้ว เช่น มีด เขียง จาน ช้อน ฯลฯ ส่วนการรับประทานหมูกระทะ หรือการปิ้งย่าง ควรแยกอุปกรณ์ในการคีบ โดยให้มีตะเกียบที่ใช้คีบเนื้อหมูดิบ 1 ชุด และตะเกียบที่ใช้ในการรับประทานเนื้อหมูที่สุกแล้วอีก 1 ชุด ในส่วนของผู้ปรุงอาหาร ควรสวมถุงมือขณะเตรียมเนื้อหมูสด ยิ่งในกรณีผู้ที่มีบาดแผลที่มือ และต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสเนื้อหมูดิบ ที่สำคัญต้องเลือกซื้อเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์เนื้อหมูจากฟาร์มหรือแหล่งที่ได้มาตรฐานและมีสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” ขอย้ำให้ประชาชนปรุงเนื้อหมูให้สุก เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับประทานอาหารที่ปลอดภัยและปลอดโรค




ทั้งนี้ โรคไข้หูดับ คือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อว่า Streptococcus suis โดยสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรคในมนุษย์ นั่นคือ ซีโรไทป์ 2 ซึ่งจัดเป็น “โรคสัตว์สู่คน” (zoonosis) เกิดจาก “การสัมผัส” กับหมูที่มีเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้อยู่ ซึ่งเชื้อสามารถผ่านเข้าสู่ร่างกายได้ทางบาดแผลที่ผิวหนัง และเยื่อบุต่างๆ ดังนั้น ไม่เพียงแต่ผู้ปรุงอาหารจากเนื้อหมูและพ่อค้าแม่ค้าเขียงหมูเท่านั้น ยังรวมไปถึงผู้ที่ต้องทำงานคลุกคลี หรือสัมผัสกับตัวหมูโดยตรงในฟาร์มและโรงเชือด อาทิ สัตวแพทย์ สัตวบาล ผู้เลี้ยงหมู ผู้ที่ทำงานในโรงเชือด โดยบุคลากรเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะรับเชื้อชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายได้ ซึ่งอาการของโรคจะเริ่มจากระดับไม่รุนแรง ตั้งแต่มีไข้และปวดเมื่อยร่างกายร่วมด้วย ไปจนถึงมีอาการของสมองอักเสบ คอแข็ง เลือดออกใต้ผิวหนัง หูหนวก จนเกิดภาวะหูดับถาวร ซึ่งหากมีภาวการณ์ติดเชื้อในกระแสเลือดรุนแรงด้วยอาจทำให้ชักและเสียชีวิตได้./

“วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” เทศกาลสัตว์น้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

  เปิดประสบการณ์ความมหัศจรรย์ของโลกใต้น้ำกับ FISHTIVAL 2025   ที่ยกทัพพาเหรดสัตว์น้ำกว่า 3,000 ตู้ ในงาน “วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” ...