วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท เปิดแผนปี 66 มุ่งตอบแทนคุณแผ่นดิน ยกระดับคุณภาพชีวิตคนทุกช่วงวัย สร้างคุณค่าสู่ทั่วสังคมไทยให้ยั่งยืน “จากภูผา ผืนนา สู่มหานที”


นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ ผู้ช่วยบริหาร สำนักประธานคณะกรรมการบริหาร  บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ในฐานะ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท เปิดเผยว่า ตลอด 35 ปี มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ได้น้อมนำพระราชดำริปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง  สานต่อปณิธานตอบแทนคุณแผ่นดิน ตามรอยใต้เบื้องพระยุคลบาท และยังคงขับเคลื่อนงานพัฒนาสังคมไทย ตามแนวคิด ”มุ่งสร้าง 4 ดี พัฒนา 4 ด้าน” ได้แก่ คนดี พลเมืองดี อาชีพดี และสิ่งแวดล้อมดี สอดคล้องไปกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ใน 3 มิติหลัก ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนตามเป้าหมายหลักการสากล “การพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ 17 ประการ (SDGs)” เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ของประเทศไทยทั้ง 77 จังหวัด ยกระดับเศรษฐกิจชุมชน สังคม และการอนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกันอย่างสมดุล






ในปี 2566 มูลนิธิฯ มีเป้าหมายขยายขอบเขตพื้นที่ในการยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย จาก “ภูผา ผืนนา สู่มหานที” ทั่วทุกภูมิภาคอย่างยั่งยืน  โดย “ภูผา” มูลนิธิฯ ยังคงเดินหน้าโครงการอมก๋อย โมเดล สร้างอมก๋อยน่าอยู่ คู่ป่าต้นน้ำ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟู อนุรักษ์ป่าต้นน้ำที่มีกว่า 1 ล้านไร่ ของประเทศไทยให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาอาชีพและส่งเสริมรายได้ให้เกษตรกรและชุมชนอย่างยั่งยืน โดยการดำเนินงานที่ผ่านมามีการปลูกต้นไม้ กว่า 70,000 ต้น มีเกษตรกรในโครงการจาก 3 ตำบล รวม 990 ครัวเรือน นอกจากนี้ ยังมีงานด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า (กวางผา) เพื่อรักษากวางผาสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ในพื้นที่เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อยให้อยู่ในภาวะสมดุลและยั่งยืนต่อไป 






“ผืนนา” มูลนิธิฯ ยังคงมุ่งเป้าหมายเพื่อพัฒนาให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้ มีรายได้มั่นคง ยกระดับคุณภาพชีวิต และเป็นต้นแบบที่สามารถขยายผลได้ โดยร่วมกับภาคีทุกภาคส่วน ในการส่งเสริมเรื่องต่างๆ อาทิ เพิ่มองค์ความรู้ เกษตรมูลค่าสูง การจัดการและเทคโนโลยีด้านการเกษตร การแปรรูปเพิ่มมูลค่า การจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชน สร้างผู้นำเกษตรรุ่นใหม่ การเชื่อมโยงตลาด การออมในรูปแบบธนาคารชุมชนและกลุ่มออมทรัพย์ชุมชน โดยมีเกษตรกรในโครงการแล้วกว่า 3,500 คน สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ 12.5 ล้านบาท ผ่านการดำเนินงาน 5 โครงการ ได้แก่ โครงการเกษตรผสมผสานตามแนวพระราชดำริ จ.บุรีรัมย์ โครงการตามพระราชประสงค์หมู่บ้านสหกรณ์ โครงการห้วยองคต อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.กาญจนบุรี โครงการชั่งหัวมันตามพระราชดำริ จ.เพชรบุรี และโครงการสนับสนุนการพัฒนาร่วมกับภาคีเครือข่าย 




โดยปีนี้มูลนิธิฯ ขยายขอบเขตงาน เพื่อมุ่งสู่ “มหานที” ผ่านโครงการพัฒนาอาชีพตำบลปากรอ ตามดำริ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ จ.สงขลา และขยายสู่โครงการทะเลสาบสงขลาโมเดล ด้วยเล็งเห็นความสำคัญของทรัพยากรทะเลสาบสงขลา ซึ่งเป็นแหล่งน้ำใหญ่ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศ ครบคลุมพื้นที่ 5 ล้านไร่ ใน 3 จังหวัด ที่กำลังประสบปัญหา ทั้งปัญหาด้านภัยธรรมชาติ และปัญหาจากการกระทำของมนุษย์ จึงเกิดเป็นแผน 3 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ การปกป้องฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสาบสงขลา การพัฒนาอาชีพ และยกระดับรายได้ชุมชน และการสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วน 


นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผ่านมิติงานต่าง ๆ สำหรับด้านพัฒนาเด็กและเยาวชน ได้แก่ โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ยังคงมุ่งมั่นส่งต่อโภชนาการที่ดีแก่นักเรียนในพื้นที่ห่างไกล โดยปัจจุบันมีโรงเรียนเข้าร่วมแล้วกว่า 935 โรงเรียน สามารถผลิตไข่ไก่เพื่อบริโภคและจำหน่ายได้ถึง 20 ล้านฟอง ที่นักเรียนได้รับโปรตีนจากไข่ไก่ที่สด สะอาด ปลอดภัยในทุกๆ วัน ซึ่งในปีนี้ยังมีการขยายพื้นที่สนับสนุนที่ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ อ.แม่ระมาด และ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก  ซึ่งมีประชากรกว่า 10,000 คน มีฐานะยากจนและอยู่ในพื้นที่สูงทุรกันดาร  โครงการสนับสนุนทุนการศึกษานักเรียนในพระราชานุเคราะห์ฯ  เพิ่มโอกาสทางการศึกษาแก่เด็กนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล โดยเฉพาะนักเรียนศิษย์เก่าโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน มาดูแลอยู่พักค้างหอพักในศูนย์ฝึกอาชีพเยาวชนเกษตร เพื่อบ่มเพาะให้เป็นคนดี คนเก่ง และมีคุณธรรม รวมถึงการเสริมสร้างทักษะชีวิตและทักษะอาชีพ โดยเฉพาะเรียนรู้ทักษะด้านธุรกิจเกษตร โดยในปีนี้ ยังคงดูแลเด็กนักเรียนทุนอย่างต่อเนื่องกว่า 100 คน ในปีการศึกษา 2565  โครงการศูนย์ฝึกอาชีพเยาวชนเกษตร เป็นพื้นที่ฝึกทักษะอาชีพให้นักเรียนทุนฯ นอกจากนี้ยังตั้งเป้าให้เด็กและเยาวชน เกษตรกร และผู้ที่สนใจเป็นสถานที่ศึกษา สถานที่ดูงาน ศูนย์สาธิตด้านการเกษตร และ โครงการครอบครัวอุปการะในชุมชนวัฒนธรรม (เด็กกำพร้า) มูลนิธิเห็นความสำคัญของเด็กกำพร้าให้ได้รับความรักความอบอุ่น และความมั่นคงทางจิตใจจากครอบครัวอุปการะ สามารถเติบโตมีพัฒนาการที่สมวัย และได้รับการศึกษา ช่วยหล่อหลอมให้เติบโตเป็นคนดี เป็นพลเมืองดีของสังคมทั้งทางกายและจิตใจ 


มูลนิธิฯ ยังรับนโยบายเรื่อง “ความกตัญญู” ผู้มีคุณต่อประเทศชาติ ของเครือซีพี ผ่านโครงการกตัญญูและศูนย์พัฒนาสุขภาพผู้สูงวัย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่ยากลำบาก และเสริมสร้างค่านิยมความกตัญญูแก่พนักงานและชุมชน ทั้งยังสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุร่วมกับภาคีชุมชน อาสาสมัคร รวมถึงพนักงานเครือซีพี และสุดท้าย โครงการพัฒนาอาชีพด้านการบริบาล เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษา สร้างอาชีพบริบาลแก่เยาวชนที่สนใจ รองรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงได้รับการดูแลอย่างดูแลอย่างถูกต้องและเหมาะสม โดยในปีนี้ จะดำเนินโครงการฯ ร่วมกับโรงเรียนการบริบาลจำนวน 6 แห่ง และสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) ในการจัดหลักสูตรฝึกอบรม มีนักเรียนที่สนใจเข้าร่วมมากกว่า 100 คน

ตลอดระยะเวลาของการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาของมูลนิธิฯ ส่งผลเชิงบวกทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ สังคมสิ่งแวดล้อม  พร้อมทั้งยังคงมุ่งมั่นสานต่อโครงการต่างๆ เพื่อร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงและสามารถส่งมอบคุณค่าสู่สังคมไทย ทั้งในด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็ก เยาวชน ชุมชนและเกษตรกร ตลอดจนสิ่งแวดล้อม ควบคู่กันอย่างยั่งยืน./

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

สหกรณ์ฯบางเหรียงพลิกวิกฤติเป็นโอกาสแก้หนี้ แก้จน



สหกรณ์ฯบางเหรียงพลิกวิกฤติเป็นโอกาสแก้หนี้ แก้จน ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่สมาชิกปลูกพืชระยะสั้น เน้นพืชผักปลอดภัยส่งขายตลาดนัด ม.อ. ร่วมเทศบาลบางเหรียงจัดงานวันกินผัก ชูผักเด่น “บร็อคคอรี่”ปลูกได้ที่นี่ที่เดียว



สหกรณ์การเกษตรบางเหรียง จำกัด ต.บางเหรียง อ.ควนเนียง จ.สงขลา เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมอาชีพแก้หนี้ แก้จนคนสหกรณ์ ตามนโยบาย นายวิศษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ที่ต้องการแก้ปัญหาหนี้สินสหกรณ์ด้วยการส่งเสริมสมาชิกปลูกพืชผักระยะสั้นสร้างรายได้เพื่อนำเงินมาจ่ายหนี้สหกรณ์ ส่งผลให้วันนี้สหกรณ์ฯ มีหนี้เสียน้อยมาก

 



นายอารี กุมบุรี ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรบางเหรียง จำกัด ต.บางเหรียง อ.ควนเนียง จ.สงขลา กล่าวถึง
การขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมอาชีพแก้หนี้ แก้จนของคนสหกรณ์ เป็นไปตามนโยบายของนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ที่ต้องการให้สหกรณ์ฯลดภาระหนี้สิน ด้วยการการส่งเสริมอาชีพปลูกพืชระยะสั้นแก่สมาชิก โดยมีเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการฯรายละไม่เกิน 10,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.50 ต่อปี ส่วนสมาชิกทั่วไปจะอยู่ที่ร้อยละ 8.50 บาท ซึ่งโครงการดังกล่าวได้รับความสนใจจากสมาชิกเป็นอย่างมาก โดยมีผู้สนใจขอกู้มากกว่า 300 ราย จากสมาชิกสหกรณ์ทั้งหมดกว่า 800 ราย ส่วนใหญ่นำเงินมาลงทุนปลูกพืชผักระยะสั้น  




“บางเหรียงเน้นผักเป็นส่วนใหญ่ ตอนนี้สมาชิกเริ่มเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นบ้างแล้ว เช่น สวนยางบ้าง
ปาล์มน้ำมันบ้าง มีผลไม้บ้างประปราย แต่อาชีพหลักยังคงเป็นเรื่องของพืชผัก สมาชิก 800 กว่าราย ประมาณ 300 รายกู้ไปเพื่อปลูกพืชผัก” ผู้จัดการสหกรณ์ฯบางเหรียงเผย

นายอารีกล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันมีพืชผักเกือบทุกชนิดที่สมาชิกปลูก อาทิ แตงกวา บวบ ถั่วฝักขาว ผักชีฝรั่ง ต้นหอม ผักกาดหอม แต่ผักที่เป็นไฮไลท์ของบางเหรียงก็คือบร็อคคอรี่ เป็นผักที่เติบโตได้ดีใน ต.บางเหรียง ส่วนพื้นที่อื่นปลูกไม่ได้ หรือปลูกได้แต่คุณภาพสู้บร็อคคอรี่บางเหรียงไม่ได้    



“บร๊อคคอรี่ ที่บางเหรียงปลูกเติบโตได้ดี มันอาจเกี่ยวกับดิน ทำให้สมาชิกปลูกกันเยอะ สหกรณ์ได้ร่วมกับเทศบาลจัดงานวันกินผักเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ บร๊อคคอรี่ เป็นผักพระเอกในงานเลย” ผู้จัดการสหกรณ์ฯบางเหรียงกล่าวถึงจุดเด่นการปลูกพืชผักด้วยว่าให้ผลผลิตได้เงินเร็ว ใช้เวลาปลูกแค่ 2-3 เดือน ก็สามารถเก็บผลผลิตจำหน่ายได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผักแต่ละชนิดด้วย ส่วนปัญหานอกจากโรคและแมลงรบกวนแล้ว สภาพภูมิอากาศ เช่น น้ำท่วมน้ำแล้งก็มีส่วนสำคัญทำให้พืชผักเหล่านี้ได้รับความเสียหาย ส่วนเรื่องการตลาด เขาระบุว่าสมาชิกจะเป็นคนดำเนินการเองทั้งหมด สหกรณ์ไม่มีส่วนดำเนินการใด ๆ เพียงแต่ช่วยในการวางแผนการปลูกและชี้ช่องทางการตลาดให้เท่านั้น 





“เดิมชื่อสหกรณ์ผู้ปลูกผักอนามัยบางเหรียง เมื่อก่อนสหกรณ์จะเป็นผู้ดูแลสนับสนุนให้กับสมาชิกทุกอย่าง ตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการตลาด แต่เกิดปัญหาหลายอย่าง เช่น ไม่มีอาคารรวบรวมผลผลิต ผักก็เก็บไว้ได้ไม่นานเกิดการเน่าเสียง่าย จึงทำหน้าที่แค่ส่งเสริมอย่างเดียวและปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับสมาชิกลงทุนปลูก ส่วนเรื่องตลาดเขาหาเอง   ซึ่งทุกวันนี้เรื่องตลาดมันเดินไปได้ ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด มีผลผลิตบางส่วนก็ส่งขายที่ตลาดนัดเกษตรอินทรีย์ ม.อ.ทุกสัปดาห์” ผู้จัดการสหกรณ์ฯบางเหรียงกล่าว

ขณะที่ นายสุทิน แก้วมณี หนึ่งในสมาชิกสหกรณ์การเกษตรบางเหรียง จำกัด ที่ยึดอาชีพปลูกพืชผักระยะสั้นมาอย่างยาวนาน โดยปลูกผักสลับกันไปบนเนื้อที่ 5 ไร่ ผักที่ปลูกมีหลายชนิด ได้แก่ ต้นหอม ผักชีฝรั่ง ผักกาดหอม แมงลัก มะเขือ พริกและอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาด

“แต่ก่อนปลูกต้นหอม พริกสู้ราคาไม่ไหว ค่าปุ๋ยค่ายาแพงขึ้นทุกวัน วันนี้หันมาปลูกผักชีฝรั่ง ผักกาดหอมและแมงลักราคาดีกว่า มีแม่ค้ามารับซื้อถึงที่ อย่างผักชีตอนนี้โลละ30 บาท แมงลัก 60 บาท ราคาไม่ถึงกับดี แต่ก็ยังดีกว่าต้นหอมและพริก” สมาชิกสหกรณ์ฯบางเหรียงคนเดิมกล่าวถึงการวางแผนการผลิตว่าจะปลูกพืชผักชนิดใดนั้นจะต้องศึกษาการตลาดล่วงหน้าก่อน เมื่อผลผลิตออกมาจะเป็นที่ต้องการของตลาดและปลูกสลับกันไปเรื่อย ๆ ทำให้มีผลผลิตออกมาสู่ตลาดเกือบทุกวัน

“คงไม่เปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น ไม่ถนัด เพราะเราปลูกพืชผักมานานจนรู้ว่าผักอะไรมีปัญหาโรคแมลงอะไรบ้าง
ควรปลูกตอนไหน ราคาช่วงไหนดีเป็นที่ต้องการของตลาดมาก บนเนื้อที่ 5 ไร่ มีผักปลูกตลอดทั้งปี เป็นผักปลอดภัยไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ” นายสุทินยอมรับว่าครอบครัวมีวันนี้ได้ก็เพราะสหกรณ์เข้ามาช่วยเหลือดูแลทุกอย่าง ตั้งแต่เงินทุน อัตราดอกเบี้ยถูกมาก ร้อยละ3.50 ต่อปี วงเงินไม่เกิน 10,000 บาท สำหรับคนมีอาชีพปลูกพืชผักระยะสั้นวงเงินแค่นี้สามารถทำอะไรได้มากมาย

“วงเงินกู้ 1 หมื่นเพียงพอสำหรับการลงทุนปลูกพืชระยะสั้น 30-45 วัน อย่างผมปลูกแมงลัก ผักกาดหอมใช้เวลา 45 วันก็เก็บขายได้เงินมาส่งคืนสหกรณ์ได้แล้ว ช่วงแรก ๆ จะเน้นหนักในเรื่องลงทุนวัสดุอุปกรณ์การปลูกมากกว่า” สมาชิกสหกรณ์ฯคนเดิมย้ำทิ้งท้าย

 

...........................................................................

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

“วิศิษฐ์” มอบนโยบาย สกจ. ติวเข้มอาชีพสมาชิก หวังสร้างรายได้เพิ่ม สู่การแก้หนี้สหกรณ์ทั้งระบบ


อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์รุกนโยบายปีกระต่ายเดินหน้าส่งเสริมอาชีพสมาชิกสหกรณ์ทั่วไทย หวังมีรายได้เพิ่ม    สู่การแก้ปัญหาหนี้สินสหกรณ์ทั้งระบบ พร้อมนำร่องสหกรณ์ในพื้นที่นิคมฯ เป็นต้นแบบ

นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวในที่ประชุมผู้บริหารกรมตอนหนึ่ง โดยหยิบยกประเด็นการแก้ไขปัญหาหนี้สินของสมาชิกสหกรณ์ด้วยการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพแก่สมาชิกให้มีรายได้เพิ่ม อันจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาหนี้สินของสหกรณ์ทั้งระบบ ซึ่งได้มอบแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้สำนักงานสหกรณ์แต่ละจังหวัดไปดำเนินการอย่างเร่งด่วนทั้งสหกรณ์ภาคการเกษตรและสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน  



“เราได้เห็นถึงภาวะหนี้สินครัวเรือนของสมาชิกสหกรณ์ทั้งสองกลุ่มที่จะมีปัญหาและจะมีผลกระทบต่อการชำระหนี้ของสหกรณ์โดยเฉพาะสหกรณ์ภาคการเกษตร ซึ่งเราจะไปทำเรื่องการเร่งรัดชำระหนี้เพียงอย่างเดียวไม่ได้ มีโอกาสที่จะประสบผลสำเร็จค่อนข้างน้อยมาก”

อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวต่อว่า สำหรับการขับเคลื่อนแนวทางดังกล่าวในเบื้องต้นจะมุ่งเน้นพื้นที่นิคมสหกรณ์แต่ละแห่งในการส่งเสริมอาชีพให้แก่สมาชิกสหกรณ์นิคมฯ โดยการฝึกอบรมในหลักสูตรต่าง ๆ เน้นไปที่เกษตรกรรุ่นใหม่ในโครงการนำลูกหลานกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร ซึ่งจะทำให้เกษตรกรกลุ่มนี้มีการต่อยอดอาชีพไปสู่การทำเกษตรสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี 




“เท่าที่ดูมีหลายหลักสูตรน่าสนใจ เช่น การปลูกข้าว การปรับปรุงดิน การเลี้ยงปลา การเลี้ยงโคนม การเลี้ยงแพะ   ที่ผ่านมาเราจัดแบบออนไลน์ใช้เงินแค่ 5 หมื่นกว่าบาท เกษตรกรกลุ่มนี้ อาจจะหัวก้าวหน้านิดนึงใช้เทคโนโลยีได้ แต่ถ้าทำกับเกษตรกรหรือสมาชิกสหกรณ์อาจต้องใช้การอบรมในชั้นเรียนมากกว่า”

นายวิศิษฐ์ เผยอีกว่า สำหรับในส่วนของงบประมาณที่ใช้ดำเนินการนั้น ระยะแรกใช้งบของทางราชการหรือเงินรายได้ของนิคมสหกรณ์ฯ ในการดำเนินการ แต่ในระยะต่อไปก็จะต้องให้สหกรณ์เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น โดยนำเงินงบประมาณในส่วนการศึกษาอบรมของสหกรณ์ฯ มาใช้ประโยชน์ในเรื่องเหล่านี้ให้มากขึ้น 

“ทุกปีสหกรณ์จะจัดงบการศึกษาดูงานก็เอาเฉพาะแต่กรรมการ ประธานกลุ่มไป ซึ่งผมว่าการแก้ไขปัญหาของสหกรณ์ตรงนี้มันไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่นัก เพราะไม่ได้ลงถึงตัวสมาชิก”


อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวถึงการแก้ปัญหาหนี้สินของสมาชิกสหกรณ์ว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานสหกรณ์จังหวัดแต่ละจังหวัดดูแลรับผิดชอบ รวมถึงการแก้ไขปัญหาหนี้สินของสหกรณ์ด้วย โดยมีมาตรการสำคัญ            2 มาตรการ ประกอบด้วย มาตรการแรกการช่วยเหลือสมาชิกเรื่องปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ การไกล่เกลี่ยหนี้ 

มาตรการที่สองมีการเติมสินเชื่อใหม่เข้าไปให้กับสมาชิกสหกรณ์ โดยมีกองทุนพัฒนาสหกรณ์เป็นตัวช่วยให้การสนับสนุน เพื่อให้สมาชิกนำเงินส่วนนี้ไปประกอบอาชีพสร้างรายได้ ในขณะที่กรมฯ ก็จะมีเจ้าหน้าที่ส่งเสริมฯ คอยเป็นพี่เลี้ยงด้านการประกอบอาชีพของสมาชิกให้ด้วย 



“สมาชิกส่วนใหญ่เขาจะทำการเกษตรเชิงเดี่ยวเป็นหลัก เช่น ทำนาก็ได้แค่ครั้งเดียว ในสินเชื่อใหม่ที่เราให้ไป       ก็จะเป็นในเรื่องของการขุดสระน้ำหรือการสร้างโรงเรือนอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อให้เขาเอานำไปประกอบอาชีพให้เขามีรายได้เป็นรายวัน รายเดือน รายปี ไม่ใช่ว่ารอเฉพาะฤดูกาลเดียว”


นายวิศิษฐ์ยังชี้ให้เห็นความสำคัญของโครงการสร้างสระน้ำในไร่นาให้กับเกษตรกร โดยใช้เงินกองทุนพัฒนาสหกรณ์ ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกสหกรณ์เข้ามาร่วมโครงการประมาณ 5,800 คน และมีสหกรณ์เข้าร่วมโครงการจำนวน 1,100 แห่ง จากนี้ไปพยายามจะขยายผลต่อไปให้ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อที่จะให้สามารถแก้ไขปัญหาหนี้ของสมาชิกได้อย่างยั่งยืน    

“ถ้าทำแล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ทั้งเรื่องของหนี้ลดลงหรือรายได้ของสมาชิกเพิ่มขึ้น ถ้าสองเรื่องนี้สามารถทำได้สำเร็จมันจะตอบโจทย์ในเรื่องของการแก้ไขปัญหาการดำเนินงานของสหกรณ์ทั้งระบบได้เป็นอย่างดี” อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ย้ำทิ้งท้าย  

……………………………………………….

“วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” เทศกาลสัตว์น้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

  เปิดประสบการณ์ความมหัศจรรย์ของโลกใต้น้ำกับ FISHTIVAL 2025   ที่ยกทัพพาเหรดสัตว์น้ำกว่า 3,000 ตู้ ในงาน “วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” ...