วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

ซีพีเอฟเพาะกล้า “ผักสวนครัว” จากใจ ...หนุนน้องๆ ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน วัดดาวดึงษาราม เข้าถึงผักปลอดภัย

 

 



ด้านหลังศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน วัดดาวดึงษาราม เขตบางพลัด บริเวณแปลงผักขนาด 5 ตารางเมตร ที่ถูกแบ่งเป็นมุมปลูกไว้อย่างเป็นระเบียบ ฟากหนึ่งเป็นแปลงผักพืชสมุนไพร ทั้งกะเพรา โหระพา พริกขี้หนู ข้างๆกันเป็นแปลงปลูกฟักทองที่กำลังติดออกดอกออกผล

 

อีกมุมเป็นกระบะเพาะพันธุ์ผัก มีคะน้าต้นอ่อนกำลังแข่งกันโต โดยมีน้องๆก่อนวัยเรียน ที่ต่างง่วนกับการเก็บต้นอ่อนคะน้าสำหรับเมนูกลางวัน ข้าวผัดไก่กับไข่ใส่ผักคะน้า ที่น้องๆเรียกว่า เบบี้คะน้า ทุกคนแย่งกันเล่าว่าชอบกินเบบี้คะน้ามากๆ เพราะไม่มีรสขมเลย บางวันครูปัทแม่ครัวคนเก่ง ก็ทำบะหมี่ผัดใส่ไส้กรอกกับคะน้าแสนอร่อยให้ทานด้วย

 



น้องมะนาว บอกว่า หนูได้ปลูกผักเองสนุกมาก ได้พาเพื่อนๆมาดูแลแปลงผักของพวกเรา และมีความสุขที่ได้กินผักที่ปลูกเอง หนูชอบกินข้าวผัดใส่ผักคะน้าอร่อยมาก กินด้วยความสุข เพราะเป็นผักปลอดสาร ปลอดภัย ขอบคุณครูเชาว์ที่หาผักปลูกให้เรา ทำให้เราได้กินผักสะอาด หนูจะรักษาแปลงผักนี้ไว้ และขอบคุณพี่ๆที่มาปลูกผักนี้ให้พวกหนู

 



ครูเชาว์-เชาวลิต สาดสมัยครูอาสาศูนย์สร้างโอกาสสะพานพระราม 8 และครูผู้ดูแลศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน วัดดาวดึงษาราม  บอกว่า ขอบคุณทางซีพีเอฟ โดยทีมจิตอาสาจากชมรมบำเพ็ญประโยชน์ มาช่วยกันปรับปรุงพื้นที่จากตรงนี้เป็นที่ดินว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย บริษัทก็มาช่วยทำแปลงผัก อย่างน้อยก็ทำให้เด็กได้ลงมือ การให้เขาได้รู้จักว่าผักมาจากไหน  ทำไมเราถึงปลูกผักเอง และเวลาได้เห็นพวกเขามาเก็บผักกันเองก็รู้สึกว่าพวกเขามีความสุข ที่ได้เก็บเกี่ยวในสิ่งที่เขาปลูกและดูแลเอง และสามารถนำไปทำให้เกิดประโยชน์ นำไปปรุงอาหารให้เด็กๆทั้ง 30 คน ได้รับประทาน

 





 สิ่งสำคัญคือ ผมอยากให้เด็กๆได้รู้ว่า ผักที่นำมาทำเป็นอาหาร ให้เขาได้ทานในทุกวันนั้น เมื่อก่อนเราเคยซื้อจากตลาด แต่เราไม่รู้ว่าผักนั้นปลอดภัยไหม เพราะไม่รู้แหล่งที่มา ซึ่งก่อนนี้เราไม่ได้สอนให้เด็กๆปลูกผักหรือได้ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ผมว่าทุกวันนี้สิ่งที่ขาดหายไปคือ การลงมือทำต่อเมื่อพอได้ทำแล้ว ผลสุดท้ายได้เกิดประโยชน์ นี่คือความภูมิใจของครูทุกคน วันนี้เมื่อมีแปลงผักที่ซีพีเอฟสนับสนุน เด็กๆก็ได้มีโอกาสปลูกผักเอง เมื่อเขาได้ทำเอง ได้ชวนเพื่อนจูงมือกันมาถอนหญ้า รดน้ำ และสามารถเก็บผักต้นไหนก็ได้ตามแต่ที่เขาต้องการ ให้เป็นธรรมชาติของเขา หลังเก็บผักเขาจะถามทันทีว่าเป็นผักอะไร ถือเป็นการเรียนรู้เรื่องชนิดเรื่องพันธุ์ผักอีกทางหนึ่งด้วยครูเชาว์บอก

 

ครูเชาว์เล่าที่มาของแปลงผักปลอดภัยนี้ว่า หลังจากพิจารณาดูว่า ที่ศูนย์ฯมีพื้นที่ว่าง น่าจะทำประโยชน์ได้ สุดท้ายจึงเสนอกับซีพีเอฟ ที่มีโครงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนฯ และสร้างห้องซักผ้าให้ศูนย์สร้างโอกาสพระราม 8 อยู่แล้ว เพื่อให้ทำแปลงผักเพิ่ม เพื่อให้เด็กๆได้ทำด้วยตัวเอง ให้พวกเขาได้รู้ว่า สิ่งที่ปลูกนั้นรับประทานได้ และมีความปลอดภัยด้วย สุดท้ายเด็กก็ได้เรียนรู้ ได้สัมผัสสิ่งที่ตัวเองปลูก ขณะเดียวกันครูเองก็ได้ลงมือพร้อมกันและได้สอนเด็กๆ ครูทั้งสามคนก็รู้สึกมีความสุขไปด้วย

 



ผักสวนครัวที่เติบโตจนสามารถเก็บผลผลิตได้นี้ เกิดจากพลังและความตั้งใจของผู้บริหารและทีมงานจิตอาสา ที่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด  (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ร่วมกันเพาะกล้าจากใจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมช่วยเหลือสังคม และการส่งมอบกำลังใจเพื่อสนับสนุนการทำงานและความตั้งใจของ ครูเชาว์-เชาวลิต สาดสมัย และทีมงานที่ดูแล เด็กและเยาวชน ผู้สูงอายุและคนพิการใน 12 ชุมชนบริเวณสะพานพระราม 8 ซึ่งบริษัทจะยังคงเดินหน้าสนับสนุนกิจกรรมดีๆเช่นนี้ต่อไป เพื่อให้น้องๆ ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน วัดดาวดึงษาราม ได้เข้าถึงผักปลอดภัยจากฝีมือของพวกเขาเอง./

วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

สหกรณ์นครพนมหนุนเลี้ยง”ปลาเผาะ”แก้หนี้ อาชีพเสริมรายได้เกษตรกรริมฝั่งโขง

 



ตามที่นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ มีนโยบายในการแก้ไขปัญหาหนี้ค้างของสมาชิกสหกรณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของสหกรณ์ ในส่วนสำนักงานสหกรณ์จังหวัดนครพนมได้ดำเนินขับเคลื่อนนโยบายอย่างต่อเนื่อง ผ่านเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้สหกรณ์ต่าง ๆ ส่งเสริมอาชีพแก่สมาชิกเพื่อสร้างความยั่งยืนและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

 

การลงพื้นที่ของอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์และคณะเพื่อตรวจเยี่ยมติดตามการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินสมาชิกสหกรณ์ในจังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา นอกจากมอบนโยบายการทำงานแก่ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สำนักงานสหกรณ์จังหวัดแล้วยังได้เยี่ยมชมความสำเร็จการเลี้ยงปลาเผาะแก้หนี้ของสมาชิกสหกรณ์ผู้เลี้ยงปลานครพนม จำกัด อีกด้วย  

 





จากการที่ได้ลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาหนี้สินของสมาชิกสหกรณ์ ซึ่งสหกรณ์ผู้เลี้ยงปลานครพนม จำกัดได้ส่งเสริมอาชีพให้กับสมาชิก ซึ่งจะเห็นว่าการดำเนินการสามารถทำได้เป็นอย่างดี ตัวสมาชิกสหกรณ์มีความขยัน มีองค์ความรู้ต่าง ๆ มีรายได้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ สามารถเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับสมาชิกสหกรณ์และเกษตรกรรายอื่น ๆ ด้วยนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์กล่าวระหว่างลงพื้นที่เยี่ยมชมกิจกรรมเกษตรกรสมาชิกและย้ำว่า

 


ในส่วนของกรมส่งเสริมสหกรณ์ จะสนับสนุนเงินทุนต่าง ๆ ให้กับสหกรณ์ในพื้นที่ ซึ่งกรมฯ มีกองทุนพัฒนาสหกรณ์ เป็นเงินทุนอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 เพื่อให้สหกรณ์นำมาช่วยเหลือสมาชิกที่ต้องการเงินทุนไปประกอบอาชีพทั้งเรื่องแหล่งน้ำ หรือซื้อปัจจัยการผลิตต่าง ๆ เพื่อสมาชิกมีอาชีพและมีรายได้เพิ่มขึ้นจะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับสมาชิกสหกรณ์และสหกรณ์ในพื้นที่อีกด้วยอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์กล่าว

 

สำหรับสหกรณ์ผู้เลี้ยงปลานครพนม จำกัด ปัจจุบันมีสมาชิก 349 ราย ดำเนินธุรกิจ 3 ด้าน ได้แก่ ธุรกิจสินเชื่อ ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย ธุรกิจเงินรับฝาก ทั้งนี้ ในปี 2565 กรมส่งเสริมสหกรณ์ สนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากกองทุนพัฒนาสหกรณ์ จำนวน 2.4 ล้านบาท และปี 2566 วงเงิน 2 ล้านบาท รวมทั้งได้สนับสนุนอุปกรณ์การตลาด ภายใต้โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการประมงการใช้เครื่องจักรกลการเกษตร ปีงบประมาณ 2561 เป็นเงินจำนวน 319,500 บาทด้วย

 

 ในปีบัญชี 30 เมษายน 2565 สหกรณ์มีกำไร 29,565 บาท  ดำเนินการส่งเสริมให้สมาชิกเลี้ยงปลาในกระชัง จำนวน 600 กระชัง ปริมาณปลา 510 ตัน/ปี โดยปลานิลจำหน่ายในราคา 70 - 75 บาท/กก. และหน้ากระชัง (รับเอง) ราคา 67 บาท/กก. ส่วนปลาเผาะจำหน่ายในตลาด ราคา 130 - 150 บาท/กก. และหน้ากระชัง (รับเอง) ราคา 120 - 130 บาท/กก. เฉลี่ยการลงทุนเลี้ยงปลา 25,000 บาท/กระชัง สมาชิกสามารถจำหน่ายปลาได้ประมาณ 57,000 บาท/กระชัง ซึ่งการเลี้ยงปลาในกระชังเป็นการสร้างรายได้ให้กับสมาชิกสหกรณ์ได้เป็นอย่างดี

 

นางอนงนุช สาโท สมาชิกสหกรณ์ผู้เลี้ยงปลานครพนม จำกัด มีอาชีพเลี้ยงปลาในกระชังริมฝั่งโขงในท้องที่บ้านห้อม ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนมเล่าว่าเดิมมีอาชีพทำนาจากนั้นหันมาเลี้ยงปลาในกระชังริมฝั่งแม่น้ำโขง ตั้งแต่ปี 2549 เนื่องจากเห็นว่าทำรายได้ดี โดยได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากสหกรณ์ฯ เริ่มจากการเลี้ยงปลาเผาะ ปลานิล  ปลาตะเพียนและปลาดุก แต่ที่ทำเงินมากที่สุดก็คือปลาเผาะ ซึ่งเป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันมากในจ.นครพนมและพื้นที่ใกล้เคียงที่ติดแม่น้ำโขง 

 

ปลาเผาะต้นทุนการเลี้ยงน้อยกว่าปลานิล ให้อาหารวันละมื้อ เสริมด้วยไส้ไก่ ไขมันวัวต้ม เริ่มเลี้ยงมาตั้งแต่ปี 49 แต่ก่อนทำนา  ข้อดีเลี้ยงปลาคือมีรายได้ทุกวันทุกเดือนหรือแล้วแต่เราจะกำหนด ตอนนี้มีเลี้ยงอยู่ 14 กระชัง เป็นปลาเผาะ 9 กระชังที่เหลือเป็นปลานิล ปลาตะเพียนและปลาดุกนางอนงนุชเผย

 

แม้ปลาเผาะจะระยะเวลาการเลี้ยงนานประมาณ 1 ปีกว่าจะได้น้ำหนัก 1.8-2.0 กิโลกรัม แต่เธอยอมรับว่าคุ้มค่ากว่าปลาชนิดอื่น  เหตุต้นทุนต่ำ ขายราคาดี เป็นที่ต้องการของตลาด  ทั้งยังได้รับความนิยมของผู้บริโภคอีกด้วย

 

ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหาร ร้านจิ้มจุ่มในจ.นครพนมมาจองมาซื้อยกกระชัง อย่าง 9 กระชังที่เลี้ยงก็มีจองเกือบหมดแล้วเกษตรกรเลี้ยงปลาคนเดิมเผย 

 

ด้านนางสมบัติ อุผา ประธานคณะกรรมการสหกรณ์ผู้เลี้ยงปลานครพนม จำกัดยอมรับว่าทุกวันนี้สหกรณ์เกือบจะไม่มีหนี้ค้างจ่าย(ผิดนัดชำระ)จากสมาชิก แต่จะเป็นหนี้ค้างชำระตามรอบปกติ แม้ว่าบางรายจะได้รับความเสียหายจากการเลี้ยงปลาจนขาดทุน เหตุปลาเป็นโรคหรือเกิดจากภัยธรรมชาติ แต่สมาชิกก็จะพยายามหาเงินมาคืนจนได้

 

สหกรณ์ก็จะให้บริการอาหารปลา  หรือถ้ารายใดต้องการกู้เงินสหกรณ์เพื่อซ่อมกระชังปลา ก็สามารถกู้ได้รายละ 30,000-50,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของสมาชิก    ส่วนเรื่องการตลาดไม่มีปัญหา  เพราะมีคนมาซื้อถึงฟาร์มเลี้ยง จนทุกวันนี้ก็ยังไม่พอขาย  ขณะที่สำนักงานสหกรณ์จังหวัดนครพนมก็จะสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำร้อยละ1 ปีละ 2 ล้านให้สหกรณ์เพื่อนำไปปล่อยกู้แก่สมาชิก แล้วพาสมาชิกไปอบรมดูงานประธานฯสหกรณ์คนเดิมกล่าวย้ำ

 

……………………………

ซีพีเอฟ สานพลังพนักงานร่วมสร้างคุณค่าทางสังคม ขับเคลื่อน CPF 2030 Sustainability in Action



บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ปลูกฝังพนักงาน ร่วมสร้างคุณค่าสู่สังคมและชุมชน  เดินหน้าสร้างสรรค์โครงการเพื่อชุมชนและสังคมต่อเนื่อง มอบรางวัล Sustainability in Action 2022 รวม 69 โครงการ  แก่บุคลากรที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสู่เป้าหมาย CPF 2030 Sustainability in Action สะท้อนความมุ่งมั่นของบริษัทที่คำนึงถึงการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม 



นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพบนมาตรฐานการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และกระบวนการทำงานที่รับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม มุ่งมั่นปลูกฝังพนักงานร่วมสร้างคุณค่าทางสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยจัดการประกวดรางวัล CPF ยั่งยืนได้ด้วยมือเรา หรือ CPF Sustainability in Action Awards ขึ้นตั้งแต่ปี 2559 ภายใต้กลยุทธ์ 3 เสาหลักสู่ความยั่งยืน “อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน และตินน้ำป่าคงอยู่” เพื่อส่งเสริม สนับสนุน คัดเลือกโครงการที่สร้างผลกระทบเชิงบวกด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงพัฒนาคุณภาพชีวิตพนักงานของทุกสายธุรกิจ   


“พนักงานทุกคน ถือเป็นตัวแทนของบริษัทในการนำวิสัยทัศน์และความตั้งใจของซีพีเอฟไปสู่สังคม ด้วยการร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับชุมชน ซึ่งการทำธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนนั้น จะต้องคำนึงถึง ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจทั้งหมด เพื่อให้ธุรกิจและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน ตามปรัชญา 3 ประโยชน์ ประเทศได้ประโยชน์ ประชาชนได้ประโยชน์ และบริษัทจึงจะได้ประโยชน์ โดยมุ่งพัฒนาบริษัทให้เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม นอกจากจะทำให้ธุรกิจพัฒนาและประสบความสำเร็จ ซึ่งเท่ากับผู้บริโภคจะได้รับสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่ดีจากบริษัทแล้ว ทุกคนต้องช่วยกันดูแลคนในสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆกันด้วย” นายประสิทธิ์ กล่าว   






นอกจากนี้ ธุรกิจไม่เพียงต้องคำนึงถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์เท่านั้น ธุรกิจจะยั่งยืนได้ต้องมีความสมดุลระหว่าง 3องค์ประกอบหลักของความยั่งยืน ตาม BCG Model ทั้งเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ตลอดจนความสำคัญของลูกค้า ผู้บริโภค และธรรมาภิบาล สิ่งเหล่านี้นับเป็นองค์ประกอบที่เป็นรากฐานที่สำคัญของการสร้างความรัก ความผูกพัน  ความเชื่อมั่นให้กับชุมชน  สังคม ผู้บริโภค  ตลอดจนคู่ค้า และผู้ถือหุ้น ดังนั้น ใน ควบคู่กับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม


สำหรับ การประกวดฯในปี 2566   มีการยกระดับกระบวนการประกวดให้เข้มข้นขึ้น ทั้งการฝึกอบรมด้านการเขียนโครงการ และการนำเสนอแบบ Pitching ตลอดจนการพิจารณารางวัลจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานคิดสร้างสรรค์โครงการที่ดีอย่างต่อเนื่อง สอดรับตาม BCG Model นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับชุมชน รวมถึงการพัฒนาโครงการให้เกิดนวัตกรรมทางสังคม (Social Innovation) และดำเนินโครงการให้มีความต่อเนื่องสร้างคุณค่าทางสังคม เกิดเป็นผลกระทบทางสังคม (Social Impact) ในเชิงบวก ตามเป้าหมาย CPF 2030 Sustainability in Action และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs)




โดยมุ่งเน้นประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน 7 ด้าน ได้แก่ หลักการกำกับดูแลกิจการ การบริหารความเสี่ยง และการกำกับการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ความมั่นคงทางอาหาร สิทธิมนุษยชนและการปฏิบัติด้านแรงงาน พนักงานและชุมชน การดูแลทรัพยากรน้ำ การรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ./

“วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” เทศกาลสัตว์น้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

  เปิดประสบการณ์ความมหัศจรรย์ของโลกใต้น้ำกับ FISHTIVAL 2025   ที่ยกทัพพาเหรดสัตว์น้ำกว่า 3,000 ตู้ ในงาน “วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” ...