วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

'ชินกร ขจรแสง' ต้นกล้าพลเมืองดี "โครงการสนับสนุนทุนการศึกษานักเรียนในพระราชานุเคราะห์ฯ" ส่งต่อความสำเร็จสู่ชุมชน

 'ชินกร ขจรแสง' ต้นกล้าพลเมืองดี "โครงการสนับสนุนทุนการศึกษานักเรียนในพระราชานุเคราะห์ฯ" ส่งต่อความสำเร็จสู่ชุมชน

 



เป้าหมาย “การสร้างพลเมืองดีชายแดน" ที่มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท มุ่งสนับสนุนให้เยาวชนในถิ่นทุรกันดารที่ขาดโอกาสทางการศึกษา ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ด้วยการติดอาวุธทางปัญญา ผ่านการส่งเสริมด้านการศึกษาให้กับพวกเขา เพื่อเสริมสร้างพื้นฐานการศึกษาให้เข้มแข็ง สามารถนำไปพัฒนาศักยภาพของตนเอง สู่การสร้างอาชีพที่ยั่งยืนในอนาคต

 



ชินกร ขจรแสง นักเรียนทุนรุ่นที่ 2 “โครงการสนับสนุนทุนการศึกษานักเรียนในพระราชานุเคราะห์ฯ” คือหนึ่งในภาพสะท้อนความสำเร็จ สู่การเป็นพลเมืองดีชายแดนที่สามารถต่อยอดความรู้ที่ได้รับจากการเรียนในระบบการศึกษา ผสานเข้ากับการเรียนรู้วิธีจัดการชีวิต และการจัดการอาชีพเกษตรขั้นพื้นฐานที่ได้สั่งสมตลอด 6 ปี จากการร่วมเป็นครอบครัวนักเรียนทุนฯ ที่สามารถประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพ และส่งต่อความสำเร็จสู่ชุมชนบ้านเกิดไปพร้อมๆกัน

 

ที่มาของการเป็นนักเรียนทุนฯ ชินกร เล่าว่า ตอนที่เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนวังศรี ทอง ต.วังสมบูรณ์ อ.วังสมบูรณ์ จ.สระแก้ว มีโอกาสได้สอบคัดเลือกที่กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 และได้เป็นนักเรียนทุนในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โรงเรียนวังไกลกังวล ในพระบรมราชูปถัมภ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และได้เป็นนักเรียนทุนในโครงการสนับสนุนทุนการศึกษาฯ ของมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ทำให้ตลอด 6 ปีการศึกษา นับตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จนกระทั่งจบวิทยาลัยเกษตรเพชรบุรี เขาได้เรียนฟรีโดยไม่ต้องรบกวนทางบ้าน ช่วยแบ่งเบาพ่อแม่ได้เป็นอย่างดี

 





ชินกร เล่าย้อนไปในวันแรกที่ได้เข้าไปเป็นเด็กพักค้าง ที่ศูนย์ฝึกอาชีพเยาวชนเกษตร จ.เพชรบุรี ว่าช่วงแรกคิดถึงบ้านมาก เพราะไม่เคยห่างบ้านไปไกล แต่เพราะมีทั้งพี่ๆนักเรียนทุนรุ่นแรก ครูฝึกตชด. และพี่จากมูลนิธิฯ ช่วยแนะนำในทุกเรื่อง ทำให้สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญนอกจากได้ศึกษาในรั้วโรงเรียนแล้ว การอยู่ในศูนย์ฝึกฯ ทำให้ได้เรียนรู้การใช้ชีวิต และได้ฝึกอาชีพการทำเกษตร ทั้งเลี้ยงแพะนม เลี้ยงไก่ไข่ เลี้ยงปลา ปลูกพืชผักสวนครัว เพื่อเป็นวัตถุดิบประกอบอาหารสำหรับทุกคน ซึ่งกลายเป็นพื้นฐานความรู้ที่นำมาถ่ายทอดให้กับครอบครัวและใช้ประกอบอาชีพในปัจจุบัน

 



การได้เป็นนักเรียนโรงเรียนวังไกลกังวล ในพระบรมราชูปถัมภ์ และวิทยาลัยเกษตรเพชรบุรี รวมทั้งเป็นครอบครัวของนักเรียนทุนมูลนิธิฯ ทำให้ได้พัฒนาตัวเอง เกิดการเรียนรู้ไม่สิ้นสุด ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และนำความรู้จากการเรียนทั้งหมด ไปต่อยอดในอาชีพการเกษตรของครอบครัว จากที่พ่อแม่เลี้ยงวัวนมอย่างเดียว ผมนำสิ่งที่ได้เรียนมาถ่ายทอดให้ที่บ้าน และหันมาทำไร่ข้าวโพด-มันสำปะหลัง ทำสวนยาง สวนลำไย มะพร้าวน้ำหอม ปลูกผัก และเลี้ยงไก่พื้นเมือง ทำให้มีรายได้ตลอดทั้งปี และผมยังริเริ่มปลูกกล้วยไข่เป็นคนแรกของหมู่บ้านจนประสบความสำเร็จ จากนั้นชาวชุมชนได้เข้ามาเรียนรู้ ทำให้ตอนนี้ทุกบ้านปลูกกล้วยไข่เป็นอาชีพหลักและอาชีพเสริม ผมภูมิใจที่ได้มีส่วนช่วยให้พี่น้องในชุมชนที่เราอยู่มีอาชีพและมีรายได้ที่ดี ทั้งหมดนี้ต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่หล่อหลอมให้ผมกลายเป็นพลเมืองดีชายแดน ที่สามารถส่งต่อความสำเร็จแก่ดินแดนบ้านเกิดได้ในวันนี้” ชินกร พูดพร้อมรอยยิ้ม

 



ตลอดระยะเวลา 33 ปีของมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานเพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน โดยน้อมนำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง มาประยุกต์ใช้เพื่อขับเคลื่อนงาน 4 ด้านหลัก ทั้งด้านพัฒนาเด็กและเยาวชน ด้านชุมชนและขจัดความยากจน ด้านพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงวัย ด้านปกป้องและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่เป้าหมาย “สร้างคนดี พลเมืองดี อาชีพดี ชุมชนสิ่งแวดล้อมดี”

 

"โครงการสนับสนุนทุนการศึกษานักเรียนในพระราชานุเคราะห์ฯ" เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชน ที่มูลนิธิฯ ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 19 เพื่อสนับสนุนให้นักเรียนในโรงเรียนสังกัดตำรวจตระเวนชายแดน ที่จบการศึกษาภาคบังคับ หรือเท่าที่มีการเปิดการเรียนการสอน ได้มีโอกาสศึกษาต่อ ได้พัฒนาตนเองให้เป็นคนดี พึ่งพาตนเองได้ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และกลับไปช่วยเหลือพัฒนาชุมชน ให้พวกเขาร่วมกันขับเคลื่อนชุมชนที่เข้มแข็ง และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป./

วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

กระทบเกษตรกรแล้ว!! เหตุการณ์รัสเซีย-ยูเครนทำวัตถุดิบอาหารสัตว์พุ่งสูง วอนรัฐเร่งจัดการ

 

กระทบเกษตรกรแล้ว!! เหตุการณ์รัสเซีย-ยูเครนทำวัตถุดิบอาหารสัตว์พุ่งสูง วอนรัฐเร่งจัดการ

 



นางฉวีวรรณ คำพา นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวถึงสถานการณ์ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนที่ได้พัฒนาความตึงเครียดไปจนถึงขีดสุดว่ากำลังมีผลอย่างยิ่งต่อราคาธัญพืช ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญของการผลิตอาหารสัตว์ เนื่องจากรัสเซียและยูเครนเป็นแหล่งเพาะปลูกสำคัญ ทั้งข้าวสาลี ข้าวโพด ซึ่งอาจไม่สามารถเก็บเกี่ยวหรือทำการส่งออกได้ตามปกติ รวมถึงภัยแล้งในบราซิลที่กระทบปริมาณผลผลิตถั่วเหลืองด้วย

 

โดยราคาข้าวสาลีนำเข้าซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการเลี้ยงไก่ ราคาปรับสูงขึ้นจาก 8-9 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อปี 2564 เพิ่มเป็น 12 บาทต่อกิโลกรัมในปัจจุบัน ขณะที่ข้าวโพดในประเทศไทยมีราคาปรับไปถึง 11.10 บาทต่อกิโลกรัม และกำลังส่งผลกระทบทางอ้อมต่อวัตถุดิบชนิดอื่นที่มีแนวโน้มราคาสูงตามไปด้วย ปัจจุบันวัตถุดิบอาหารสัตว์ส่วนใหญ่ราคาขึ้นมาสูงกว่า 50-60% แล้ว ยังไม่นับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่จะสูงขึ้นทำให้ต้นทุนค่าขนส่งปรับเพิ่มด้วย

 


“ต้นทุนการผลิตเนื้อไก่สูงขึ้นต่อเนื่อง แต่ราคาเนื้อไก่และไข่ไก่กลับถูกตรึงอยู่ ไม่สะท้อนต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น หากวัตถุดิบทุกชนิดมีราคาสูงเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เกษตรกรคนเลี้ยงสัตว์ไม่มีทางอยู่รอดได้ ทางที่ดี ถ้ารัฐไม่สามารถควบคุมราคาวัตถุดิบจากผลกระทบของสถานการณ์ยูเครน ก็ควรปล่อยให้ราคาไก่และไก่ไข่เป็นไปตามกลไกที่ควรจะเป็น เช่นเดียวกับราคาหมูที่ลดลงเพราะกลไกตลาดทำงานอย่างเสรี" นางฉวีวรรณกล่าว และว่าการยุติการตรึงราคาไก่และไข่ จะช่วยสนับสนุนให้เกษตรกรมีกำลังใจในการเลี้ยงสัตว์ต่อไป

 

อนึ่ง รัสเซียและยูเครนมีปริมาณการส่งออกข้าวสาลีรวมกันประมาณ 29% ของปริมาณการส่งออกทั่วโลก ส่วนข้าวโพด 19% ของตลาดโลก โดยราคาต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์สำคัญมีราคาเพิ่มขึ้นไปแล้ว 40% จากปี 2564./

วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

สสท.เตรียมจัดกิจกรรม​ "วันสหกรณ์แห่งชาติ" 25-27 ก.พ.นี้

 

สสท.เตรียมจัดกิจกรรม​ "วันสหกรณ์แห่งชาติ" 25-27 ก.พ.นี้

 




      นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม ประธานฯ สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย​ เปิดเผยว่า​ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็น "วันสหกรณ์แห่งชาติ" ปีนี้​(2565) ครบรอบการก่อตั้ง 106 ปี สันนิบาตสหกรณ์ฯ ในฐานะหัวขบวนของสหกรณ์ไทย และเป็นองค์กรนำจึงได้จัดกิจกรรมขึ้นทุกๆ ปี และเป็นที่ทราบกันว่า ณ สันนิบาตสหกรณ์ฯ แห่งนี้ เป็นที่ประดิษฐานของอนุสาวรีย์พระบิดาสหกรณ์ จนเป็นที่มาว่าในทุกปีสหกรณ์ต่างๆ จะพร้อมใจเดินทางมาแสดงมุทิตาจิต วางพุ่มสักการะ​ "พระราชวรวงศ์เธอกรมหมี่นพิทยาลงกรณ์" พระบิดาแห่งการสหกรณ์ และน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณ ของพระองค์ท่านที่มีต่อสหกรณ์ไทย






          ซึ่งปีนี้สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทยได้กำหนดจัดงาน​"วันสหกรณ์แห่งชาติ" ระหว่างวันที่ 25-27​ กุมภาพันธ์ พ.ศ.2565​ โดยนางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดินทางมาเป็นประธานพิธีเปิดวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2565 และร่วมวางพุ่มสักการะพระบิดาสหกรณ์​ ณ ศูนย์การประชุมรัชนีแจ่มจรัส สันนิบาตสหกรณ์​ ถ.พิชัย​ กรุงเทพฯ​ ภายในงานจะมีพิธีเปิดศูนย์แสดงสินค้าสหกรณ์อาเซียนซึ่งจะเป็นศูนย์แสดงสินค้าออนไลน์เพื่อให้ผู้สนใจเข้ามาคลิ๊กเลือกซื้อสินค้าสหกรณ์ทุกภูมิภาค​ได้อย่างหลากหลายและจุใจ และยังเป็นการช่วยให้พี่น้องเกษตรกรและสหกรณ์สามารถจัดจำหน่ายสินค้าและเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการประสานสู่โลกเศรษฐกิจของอาเซียน​ , การเสวนา หัวข้อ "เศรษฐกิจจะฟื้นหรือทรุด สหกรณ์จะหยุดวิกฤตเศรษฐกิจไทยได้อย่างไร" โดยจะพูดถึงเรื่องของปากท้องชาวบ้าน​ การแก้ไขปัญหาโดยใช้ระบบสหกรณ์เข้าไปพยุงเศรษฐกิจได้อย่างไร​  ทำไมต้องเป็นระบบสหกรณ์เท่านั้นที่จะแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชน การจำหน่ายสินค้าของสหกรณ์ภาคการเกษตรและการใช้ระบบสหกรณ์ในการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันสูง ปัญหาหนี้สหกรณ์ ซึ่งทุกปัญหาจะมีคำตอบ​   นอกจากนี้​ ภายในงานยังมีบูธจำหน่ายสินค้าสหกรณ์ในราคาถูกกว่าท้องตลาด​  การจำหน่ายข้าวแกงสหกรณ์เมนูใหม่ราคา 10 บาท   ข้าวสารของดีของสหกรณ์   กิจกรรมช่วงนาทีทอง​จำหน่ายไข่ไก่ที่ราคาถูกกว่าท้องตลาด​  และยังมีสินค้าสหกรณ์อีกหลากหลายเข้าร่วม อาทิ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนหนองขานาง จำกัด   สหกรณ์การเกษตรบางคนที จำกัด ฯลฯ  โดยกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อถ่ายทอดให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของสหกรณ์  ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานและเดินเลือกชมสินค้าสหกรณ์ได้ภายใต้มาตรการป้องกันความปลอดภัยจากโรคโควิด-19​ หรือรับชมงานผ่าน​ YouTube ของสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย





     "เป็นการรวมพลคนสหกรณ์ทั่วประเทศ เพื่อแสดงถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและร่วมกันจัดงานในแต่ละพื้นที่ของทุกภูมิภาคในการวางพุ่มสักการะพระบิดาสหกรณ์ในทุกพื้นที่ของประเทศ โดยสันนิบาตสหกรณ์ฯ สนับสนุนทุกสหกรณ์ให้จัดกิจกรรมดังกล่าวในทุกๆปีเพื่อให้ระลึกถึงหลักการและวิธีการสหกรณ์และระลึกถึงพระดำรัส พระบิดาสหกรณ์ไทย​ "งานสหกรณ์เป็นเช่นนี้ เวลาเป็นเป็นช้า แต่เวลาตายตายเร็วที่สุด เมื่อตายแล้วศพเป็นศพช้าง ไมใช่ศพหนู" การสหกรณ์จึงเกิดขึ้น เพื่อตอบโจทย์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น โดยวิธีการช่วยตนเองและช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามวิถีทางสหกรณ์ต่อไป" ประธานฯ สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย​ กล่าว





"โครงการสนับสนุนทุนการศึกษานักเรียนในพระราชานุเคราะห์ฯ" มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท หนุนเด็กดี สร้างพลเมืองดี ลดความเหลื่อมล้ำ

 

"โครงการสนับสนุนทุนการศึกษานักเรียนในพระราชานุเคราะห์ฯ"  มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท หนุนเด็กดี สร้างพลเมืองดี ลดความเหลื่อมล้ำ 

 


ตลอดระยะเวลา 33  ปีของมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท  ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานเพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน โดยน้อมนำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง มาประยุกต์ใช้เพื่อขับเคลื่อนงาน 4 ด้านหลัก  คือ พัฒนาเด็กและเยาวชน  ชุมชนและขจัดความยากจน พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงวัย ปกป้องและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม สู่เป้าหมาย “สร้างคนดี พลเมืองดี อาชีพดี ชุมชนสิ่งแวดล้อมดี  

 


"โครงการสนับสนุนทุนการศึกษานักเรียนในพระราชานุเคราะห์ฯ" เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชน สนองแนวพระราชดําริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชหฤทัยมุ่งมั่นช่วยเหลือเด็กเยาวชนที่ขาดโอกาสในถิ่นทุรกันดารให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยสนับสนุนการศึกษาแก่นักเรียนที่จบการศึกษาภาคบังคับหรือเท่าที่มีการเปิดการเรียนการสอน ในโรงเรียนสังกัดตำรวจตระเวนชายแดน (โรงเรียนตชด.) ให้เยาวชนมีโอกาสศึกษาต่อ พัฒนาตนเองให้เป็นคนดี พึ่งตนเองและกลับไปช่วยเหลือพัฒนาชุมชน ให้ทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 

 




ในปี 2546 ซึ่งเป็นปีเริ่มต้นของโครงการ มูลนิธิฯ ได้ดำเนินโครงการฯ ร่วมกับ สำนักงานโครงการส่วนพระองค์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน โรงเรียนวังไกลกังวล ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาแก่นักเรียนศิษย์เก่าโรงเรียนตชด.  นำความรู้ไปประกอบสัมมาชีพ เป็นคนดี พลเมืองดีชายแดน ซึ่งปัจจุบันการดำเนินโครงการฯเข้าสู่ปีที่19 แล้ว   

 


นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ ผู้ช่วยบริหาร สำนักประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ในฐานะกรรมการมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท  กล่าวว่า  เป้าหมายของมูลนิธิฯ คือ สร้างคนดี พลเมืองดี อาชีพดี  และชุมชนสิ่งแวดล้อมดี ซึ่งที่ผ่านมา  มูลนิธิฯร่วมกับหน่วยงานและสถาบันการศึกษา ดำเนินโครงการสนับสนุนทุนการศึกษานักเรียนในพระราชานุเคราะห์ฯ สร้างโอกาสทางการศึกษาแก่นักเรียนศิษย์เก่าโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาทัดเทียมเยาวชนในเมือง เพื่อกลับไปพัฒนาชุมชนในฐานะเป็นพลเมืองดีชายแดน นักเรียนทุนสามารถกลับไปสร้างงานสร้างอาชีพในครัวเรือน ที่ต่อยอดเป็นระบบเศรษฐกิจในชุมชน สร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ตนเอง  เกิดการรวมกลุ่มเกิดเป็นวิสาหกิจชุมชน เช่น วิสาหกิจชุมชนโรบัสต้าป่าช้างขาว บ้านป่าหมาก ตำบลศาลาลัย อำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์  เป็นต้น  

  


นับจากปี 2546 การจัดรับนักเรียนที่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เข้าโครงการ จะมี 2 ลักษณะ คือ เยาวชนศิษย์เก่าโรงเรียนตชด. (ภาคกลาง) และเป็นนักเรียนในพระราชานุเคราะห์ฯ กับเยาวชนศิษย์เก่าโรงเรียนตชด. (ภาคกลาง) ที่จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 6  เป็นเยาวชนที่มีความประพฤติดี ผลการเรียนดี มีความเป็นผู้นำ ที่ต้องการศึกษาต่อ แต่ขาดทุนทรัพย์ ให้มีโอกาสเข้าศึกษาต่อระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 6 หรือศึกษาต่อสายอาชีพในสถาบันการอาชีวศึกษา  จนถึงปัจจุบัน มีเด็กเข้าร่วมโครงการรวม 203 คน สำเร็จการศึกษาแล้ว 97 คน อยู่ระหว่างการศึกษา 81 คน และกลับไปศึกษาหรือประกอบอาชีพภูมิลำเนา 25 คน และพบว่าร้อยละ 24 ของนักเรียนทุนได้กลับไปสร้างงาน สร้างอาชีพในครัวเรือน ขณะที่ร้อยละ 54 สามารถสร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัว ขยายผลในการสร้างงานร่วมกับวิสาหกิจชุมชน  

 


นอกจากนี้ เด็กๆในโครงการที่ต้องเข้าพักค้างประจำ ได้เรียนรู้การใช้ชีวิต ที่ศูนย์ฝึกอาชีพเยาวชนเกษตร จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งมูลนิธิฯได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่ของศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย  อันเนื่องมาจากพระราชดำริ  อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี โดยก่อสร้างอาคารพักค้างให้กับเยาวชนและเจ้าหน้าที่ มีตำรวจตชด. จากกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เป็นผู้ฝึกด้านระเบียบวินัยให้กับเยาวชน มีเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ทำหน้าที่เป็นเสมือนพ่อแม่ ฝีกอบรมสั่งสอน พร้อมทั้งดูแลความเป็นอยู่ของเยาวชน เป็นการช่วยสร้างทักษะชีวิต ควบคู่กับการฝึกทักษะอาชีพด้านธุรกิจเกษตร อาทิ การเลี้ยงแพะ เลี้ยงสุกร เลี้ยงไก่พื้นเมือง ปลูกไม้ผลผสมผสานและพืชผักสวนครัว ที่ไม่เพียงใช้ประกอบอาหารสำหรับทุกๆ คนเท่านั้น ยังเรียนรู้วิธีการจัดการรายรับ-รายจ่าย   การพัฒนาตนเองจากสิ่งใกล้ตัวเป็นกระบวนการเรียนรู้นำไปต่อยอดได้ในอนาคต        

 


ตลอดระยะเวลาที่เยาวชนอยู่ในโครงการฯ  มูลนิธิ ฯ จะสนับสนุนทุนการศึกษาและค่าใช้จ่ายทั้งหมด  โดยเด็กเยาวชนจะได้ศึกษาสายสามัญ ณ โรงเรียนวังไกลกังวล ในพระบรมราชูปถัมภ์  ซึ่งโรงเรียนมีโควต้าให้กับมูลนิธิฯ ปีละ 10 คน ส่วนเยาวชนที่เลือกศึกษาสายอาชีพ ก็สามารถเลือกเรียนตามความสนใจและความถนัด ทั้งที่วิทยาลัยการอาชีพวังไกลกังวล วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี จังหวัดเพชรบุรี หรือโรงเรียนปัญญาภิวัฒน์เทคโนธุรกิจ และหากเยาวชนมีศักยภาพ ผลการเรียนดี  และมีความสามารถต้องการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา   มูลนิธิฯ ยังสนับสนุนให้การศึกษาต่อไป      

 

ปัจจุบัน โครงการดังกล่าวฯ ยังได้ต่อยอดความสำเร็จสู่เยาวชนในพื้นที่อื่นๆ  ด้วยการสนับสนุนทุนให้กับนักเรียนประจำ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 52 จังหวัดเลย และเยาวชนจากโรงเรียน ตชด.ภาค 1  รวมทั้งได้ขยายพื้นที่ดำเนินโครงการฯ ร่วมกับโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 53 และกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 23 จังหวัดสกลนคร  ผนึกพลังสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับน้องๆ นักเรียนจากโรงเรียนตชด. ภายใต้การดูแลของกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 23 ทั้ง 11 แห่ง โดยมีมูลนิธิฯ ส่งเสริมด้านการศึกษาตามกำลังสติปัญญา และความสามารถของน้องๆ     

  

นอกจากนี้ โครงการดังกล่าว มาสามารถช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาสร้างโอกาสที่ทัดเทียมของเด็กในเมืองและเยาวชนในพื้นที่ชายแดนแล้ว ยังเป็นโครงการที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs)  เป้าหมายที่  4 สร้างหลักประกันว่าทุกคนมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม และสนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต

   

ก้าวเข้าสู่ปีที่ 19 ปีของ "โครงการสนับสนุนทุนการศึกษานักเรียนในพระราชานุเคราะห์ฯ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบทและหน่วยงานภาคีเครือข่าย เดินหน้าสร้างเยาวชนในพื้นที่ชายแดนได้เข้าถึงการศึกษาที่ดี  ลดความเหลื่อมล้ำ ส่งเสริมให้เด็กเยาวชนเสริมสร้างสติปัญญาพัฒนาศักยภาพของตนเอง  เรียนรู้วิธีจัดการชีวิต  การจัดการอาชีพเกษตรขั้นพื้นฐานที่สามารถนำไปใช้ประกอบอาชีพได้ในอนาคต  สนับสนุนให้เด็กและเยาวชนทั้งรุ่นที่จบการศึกษาไปแล้วและกำลังศึกษาอยู่  เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนชุมชนที่เข้มแข็ง และสามารถเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป./

วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

ผู้เลี้ยงหมูย้ำยังไม่ควรนำเข้าเนื้อหมู สนับสนุนนโยบายรัฐถูกต้อง เข้าใจเกษตรกร - ราคาหน้าฟาร์มอ่อนตัวแล้ว

 

ผู้เลี้ยงหมูย้ำยังไม่ควรนำเข้าเนื้อหมู  สนับสนุนนโยบายรัฐถูกต้อง เข้าใจเกษตรกร - ราคาหน้าฟาร์มอ่อนตัวแล้ว

 

 


นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผยว่า จากกรณีที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ยืนยันว่า ยังไม่มีนโยบายนำเข้าสุกรจากต่างประเทศ ถือเป็นนโยบายที่ถูกต้อง เนื่องจากปริมาณเนื้อหมูในประเทศมีเพียงพอกับความต้องการ ประกอบกับราคาสุกรลดลงแล้วทั้งหน้าฟาร์ม และหน้าเขียง จากการปฏิบัติการของภาครัฐที่เข้าแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ถูกจุด คาดว่าสถานการณ์ราคาจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติเร็วๆนี้   การไม่ให้มีการนำเข้าเป็นแรงจูงใจสำคัญให้เกษตรกรหันกลับมาเลี้ยงสุกร เพื่อเพิ่มปริมาณสุกรเข้าสู่ระบบ

 

“สถานการณ์ราคาสุกรในขณะนี้อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง  เป็นไปตามกลไกตลาด ปริมาณผลผลิตสุกรกลับมาสมดุลกับการบริโภค โดยก่อนหน้านี้ผู้เลี้ยงได้มีมติร่วมกันดูแลระดับราคาสุกรหน้าฟาร์มตั้งแต่ต้นปี 2565 ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 6 แล้ว  เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้บริโภค    ล่าสุดราคาสุกรขุนมีชีวิตหน้าฟาร์มเกษตรกรโดยรวมปรับมาอยู่ที่  94-97 บาทต่อกิโลกรัม  ขณะที่ต้นทุนการเลี้ยงอยู่ที่  94.69 บาทต่อกิโลกรัม” นายสิทธิพันธ์ กล่าว

 


นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวด้วยว่า ต้องการให้ภาครัฐเร่งพิจารณามาตรการช่วยเหลือภาคผู้เลี้ยง โดยเฉพาะในส่วนของต้นทุนการเลี้ยง  อย่างวัตถุดิบอาหารสัตว์ หนึ่งในต้นทุนสำคัญของการเลี้ยงสุกร คิดเป็นสัดส่วนที่ 60-70 % ของต้นทุนรวม  โดยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ล่าสุดเคลื่อนไหวในช่วง  10.50 – 11.00 บาทต่อกิโลกรัม  ด้านกากถั่วเหลือง ที่ไทยต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ก็มีราคาเพิ่มขึ้นเช่นกัน ล่าสุดมีราคาที่ 20.85 บาทต่อกิโลกรัม หากภาครัฐพิจารณาช่วยลดภาษีนำเข้ากากถั่วเหลืองจาก 2 % ให้เป็น 0 % รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาวัคซีนเพื่อลดความเสียหายจากโรคในสุกร และสนับสนุนให้ผู้เลี้ยงสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ดอกเบี้ยต่ำ  จะช่วยลดต้นทุนการเลี้ยงสุกรได้ และเป็นอีกแรงผลักดันให้เกษตรกรทั้งรายย่อย-รายเล็กกลับเข้าในระบบได้เร็วขึ้น

 

ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้เลี้ยงได้ร่วมมือกับผู้ประกอบการรายใหญ่ รวมถึงนักวิชาการได้ช่วยกันจัดอบรมถ่ายทอดความรู้การบริหารจัดการฟาร์มและการป้องกันโรค โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้จัดอบรมมาแล้ว 2 ครั้งในเดือนมกราคม  ล่าสุดกำหนดจะจัดอบรมในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่จ.ศรีสะเกษ  และในวันที่ 26 มีนาคม จะจัดที่ขอนแก่น  เพื่อสนับสนุนเกษตรกรสามารถยกระดับความปลอดภัยทางชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ช่วยให้ฝูงสัตว์ปลอดภัยจากโรคระบาด มีสุกรป้อนเข้าสู่ตลาดได้อย่างต่อเนื่อง ร่วมสร้างความมั่นคงทางอาหาร./

นายก ส.กุ้งไทย เผยเจ้ากระทรวงเกษตรตอบรับ ผลิตกุ้งให้ได้ปีละ 400,000 ตัน ภายใน 2 ปี พร้อมทวงคืน 500,000 ล้านบาท

 

นายก ส.กุ้งไทย เผยเจ้ากระทรวงเกษตรตอบรับ ผลิตกุ้งให้ได้ปีละ 400,000 ตัน ภายใน 2 ปี พร้อมทวงคืน 500,000 ล้านบาท ที่เสียหาย/เสียโอกาสไป พลิกฟื้นอุตฯกุ้ง กลับมาเป็นสินค้าสำคัญ-พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

 


นายเอกพจน์ ยอดพินิจ นายกสมาคมกุ้งไทย พร้อมด้วยผู้แทนอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องตลอดสายห่วงโซ่การผลิต เข้าพบ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมหารือแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อความยั่งยืนของประเทศ ร่วมด้วย นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ , นายสมชวน รัตนมังคลานนท์ รักษาราชการอธิบดีกรมประมง และ นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ รองอธิบดีกรมประมง ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรฯ

 


นายเอกพจน์ ยอดพินิจ เปิดเผยว่า นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งของอุตสาหกรรมกุ้งไทย ที่ ฯ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรฯ เล็งเห็นความสำคัญของสินค้ากุ้ง รับปาก ยืนยันช่วยผลักดันเต็มที่เพื่อให้ประเทศไทยสามารถผลิตกุ้งให้ได้ปีละ 400,000 ตันภายใน 2 ปี สอดคล้องกับนโยบายกระทรวงเกษตรฯ ที่สำคัญพร้อมทวงคืน 500,000 ล้านบาท ที่เสียหาย/เสียโอกาสไปอันเนื่องจากการระบาดของโรค พลิกฟื้นอุตกุ้งฯ ให้กลับมาเป็นสินค้าสำคัญของประเทศ  เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย  ด้วยที่ผ่านมา ปี 2553 เคยผลิตได้สูงสุดถึง 640,000 ตัน เป็นผู้นำการผลิตและส่งออกกุ้งของโลก ทำรายได้เข้าประเทศจากส่งออกเป็นมูลค่ากว่า 100,000 ล้านบาท  แต่ปัจจุบันผลิตได้เพียง 280,000 ตัน มูลค่าส่งออก-(ตัวเลข ม.ค.-พ.ย. 2564) อยู่ที่ 43,000 ล้านบาท

 

ขณะที่ ดร.ผณิศวร ชำนาญเวช นายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย ยืนยันว่ากำลังการผลิตของโรงงานห้องเย็นแปรรูปกุ้ง ปัจจุบันที่เหลือดำเนินการอยู่ประมาณ 20 แห่ง รวมกับโรงงานฯ ที่อยู่ในสภาพพร้อมที่จะผลิตกุ้งได้อีก 15-30 แห่ง (ที่ตอนนี้หยุดไป) พร้อมรับกุ้งเพื่อแปรรูปส่งออก ได้ถึง 400,000 ตัน คุณภาพกุ้งไทย ยังคงเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่ผู้แปรรูปส่งออกไม่สามารถรับออเดอร์ได้เพราะไม่มั่นใจว่าจะมีกุ้ง ทำให้เสียโอกาสไปเพราะมีผลผลิตไม่เพียงพอ จึงควรเร่งผลักดันให้กลับมาผลิตให้ได้

 

 




“การเข้าพบพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ และคณะผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง ของตัวแทนห่วงโซ่อุปทาน ตลอดสายการผลิตสัตว์น้ำอย่างพร้อมเพรียง นับเป็นนิมิตหมายที่ดีของอุตฯ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศ    ท่านรัฐมนตรีว่าการฯ เปิดโอกาสรับฟังข้อเสนอต่างๆ จากตัวแทนทุกภาคส่วนอย่างเต็มที่ และยืนยันว่าจะดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ตามข้อเสนอ และมอบหมายให้กรมประมงเร่งดำเนินการ รวมถึงประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  โดยเฉพาะกุ้ง การที่ท่านได้รับปากเข้มแข็ง พร้อมปฏิบัติการเชิงรุก และสนับสนุนความพร้อมแก่เกษตรกร และรูปแบบการเลี้ยงกำจัดโรคกุ้งให้หมดไปอย่างชัดเจน ฯลฯ เพื่อให้ไทยกลับมาเป็นผู้นำการผลิตและส่งออกกุ้งอีกครั้ง ทำให้ชาวกุ้งยิ้มได้ เห็นความหวัง เชื่อมั่นว่าทำได้อย่างแน่นอน”  นายกสมาคมกุ้งไทย กล่าว

 

ทั้งนี้ ผู้ร่วมหารือ ประกอบด้วย นายบรรจง นิสภวาณิชย์ ประธานสมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย นายสมชาย ฤกษ์โภคี นายกสมาคมผู้เลี้ยงกุ้งทะเลไทย นางสาวพัชรินทร์ จินดาพรรณ นายกสมาคมกุ้งตะวันออกไทย นายสมาน พิชิตบัญชรชัย นายกสมาคมผู้เพาะเลี้ยงปลาไทย นายสุทธิ มะหะเลา นายกสมาคมผู้เพาะเลี้ยงปลาทะเลไทย ดร.ผณิศวร ชำนาญเวช นายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย ตัวแทนสมาคมสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย นายมานิตย์ จิตรชุ่ม นายกสมาคมการค้าปัจจัยการผลิตสัตว์น้ำ นายชัยภัทร ประเสริฐมรรค ประธานชมรมผู้เลี้ยงกุ้งสุราษฎร์ธานี นายพรชัย บัวประดิษฐ์ ตัวแทนกลุ่มแปลงใหญ่ปลานิลชลบุรี และคณะ ./

 

 

นายเอกพจน์  ยอดพินิจ  -  นายกสมาคมกุ้งไทย  081-9566611

 

 

 

เกษตรกรทั่วประเทศ จับมือลดราคาหมูหน้าฟาร์ม ช่วยค่าครองชีพประชาชน ต่อเนื่องสัปดาห์ที่ 6

 

เกษตรกรทั่วประเทศ จับมือลดราคาหมูหน้าฟาร์ม ช่วยค่าครองชีพประชาชน ต่อเนื่องสัปดาห์ที่ 6

 


นายสุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ เปิดเผยว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรร่วมกันลดราคาสุกรมีชีวิตลงทั่วประเทศ โดยประกาศราคาแนะนำสุกรขุนมีชีวิตหน้าฟาร์ม วันพระที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 ปรับราคาดังนี้  ภาคตะวันตก 94 บาทต่อกิโลกรัม ภาคตะวันออก 94 บาทต่อกิโลกรัม ภาคอีสาน 94-96 บาทต่อกิโลกรัม ภาคเหนือ 96 บาทต่อกิโลกรัม  และภาคใต้ 97 บาทต่อกิโลกรัม หวังช่วยผลักดันเนื้อสุกรจำหน่ายปลีกราคาลดลง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดครองชีพแก่ผู้บริโภค โดยขณะนี้ห้างค้าปลีกได้ร่วมจำหน่ายเนื้อหมูราคาประหยัด อาทิ ห้างแม็คโคร จำหน่ายหมูเนื้อแดง “ราคาพิเศษ สะโพกหมู กิโลกรัมละ 150 บาท”

 



"
เกษตรกรทุกคนเล็งเห็นถึงความเดือดร้อนด้านค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน จึงจับมือกันลดราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 บาทต่อกิโลกรัม ปัจจุบันราคาเฉลี่ยลงมาอยู่ที่ 94-97 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อให้ราคาหมูขายปลีกหน้าเขียงปรับตัวลงมาในระดับที่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ซึ่งเป็นไปตามกลไกตลาดที่แท้จริง ที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถซื้อหาเนื้อหมูมาบริโภคได้อย่างทั่วถึง เป็นการกระตุ้นการบริโภคเนื้อสุกร และประคับประคองทุกคนให้ก้าวผ่านปัญหาต่างๆไปด้วยกัน สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐที่ต้องการช่วยเหลือประชาชนลดภาระค่าใช้จ่าย" นายสุนทราภรณ์ กล่าว

 

นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ กล่าวอีกว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงต่างร่วมกันรักษาระดับราคาหมูหน้าฟาร์มและมีมติร่วมกันในการปรับลดราคามาอย่างต่อเนื่อง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าต้นทุนการเลี้ยงสุกรในไตรมาสที่ 1/2565 จะปรับขึ้นมาสูงถึง 94.69 บาทต่อกิโลกรัม จากการที่เกษตรกรต้องยกระดับเพิ่มระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) และต้องลงทุนกับสารเสริมต้านไวรัสเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันแก่ตัวสุกร ถึงแม้ระดับราคาจำหน่ายจะต่ำกว่าต้นทุนการเลี้ยงแล้วก็ตาม แต่เกษตรกรก็ยินดีที่จะร่วมฝ่าวิกฤติต่างๆไปกับประชาชน./

 

 

 

“วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” เทศกาลสัตว์น้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

  เปิดประสบการณ์ความมหัศจรรย์ของโลกใต้น้ำกับ FISHTIVAL 2025   ที่ยกทัพพาเหรดสัตว์น้ำกว่า 3,000 ตู้ ในงาน “วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” ...