แจงต้นทุนการเลี้ยงสัตว์พุ่งรับสงครามยูเครน แต่ราคาขายไก่-ไข่ถูกตรึง
นับตั้งแต่ปี 2564 ที่ผ่านมา เกษตรกรต้องเผชิญกับปัญหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ปรับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซี่งถือเป็นภาระหนักของผู้เลี้ยงเพราะเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงถึง 60 – 80% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด และวัตถุดิบอาหารสัตว์ยังมีแนวโน้มราคาสูงขึ้นไปอีก
จากผลพวงของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่มีผลต่อราคาธัญพืชสำคัญทั้งข้าวสาลี
ที่ทั้งสองประเทศถือเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีรายสำคัญคิดเป็นหนึ่งในสี่ของปริมาณผลผลิตทั้งโลก
และเป็นผู้ส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หนึ่งในห้าของปริมาณผลผลิตทั้งโลก
ดังที่ ดร.สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์
ให้ความคิดเห็นว่า สงครามนี้เสี่ยงต่อการซ้ำเติมปัญหาการชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานให้หนักขึ้น
ที่สำคัญการสู้รบระหว่างสองประเทศ เสี่ยงกระทบราคาสินค้าหลายชนิด
จากการที่รัสเซียเป็นผู้ผลิตสำคัญในสินค้าโภคภัณฑ์หลายประเภท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าต้นน้ำในการนำไปใช้เป็นวัตถุดิบผลิตสินค้าอื่น
อาทิ น้ำมัน ข้าวสาลี นอกจากนี้
ผลจากการที่รัสเซียถูกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากนานาประเทศ
มีแนวโน้มทำให้ในอนาคตอันใกล้ ถ้าสงครามยืดเยื้อ
ราคาสินค้าดังกล่าวเสี่ยงเพิ่มขึ้นอีก ขณะที่รัสเซียก็เสี่ยงที่จะจำกัดการส่งออกสินค้าเหล่านี้
เพื่อตอบโต้หรือใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยน
การคาดการณ์ผลกระทบของสงครามของผู้เชี่ยวชาญดังกล่าว
เห็นผลที่เกิดขึ้นแล้ว จากราคาพืชอาหารสัตว์สำคัญปรับขึ้นทันที โดยข้าวสาลีราคาปรับขึ้นมาแล้ว
43% กากถั่วเหลืองราคาเพิ่มขึ้น 15% ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปรับขึ้น 14% กลายเป็นความกังวลในกลุ่มผู้นำเข้า
ว่าซัพพลายธัญพืชจะเกิดภาวะชะงักงัน เพราะต่อให้สงครามยุติลงในวันนี้
แต่การส่งออกก็ต้องใช้เวลาเดือนครึ่งถึงสองเดือน กว่าจะกลับมาดำเนินการได้
เท่ากับเกษตรกรไทยต้องเสี่ยงกับปัญหานี้อย่างแน่นอน
นับตั้งแต่ภาคผู้ผลิตอาหารสัตว์ต้นน้ำ
ที่มีต้นทุนการผลิตสูงเป็นประวัติการณ์ จากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นทุกประเภท
ซ้ำยังขาดแคลนวัตถุดิบสำคัญอย่างข้างโพดเลี้ยงสัตว์ ที่ความต้องการใช้ต่อปีมีเกือบ
8 ล้านตัน
แต่ตอนนี้ไทยไม่มีผลผลิตข้าวโพดเข้าสู่ตลาดแล้ว ผลผลิตยังขาดไปถึงกว่า 3 ล้านตัน แล้วยังติดปัญหามาตรการ 3:1 ของรัฐ ที่จะต้องซื้อผลผลิตข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วนก่อน
จึงจะนำเข้าข้าวสาลีได้ 1 ส่วน แต่เมื่อไทยไม่มีข้าวโพดแล้ว
เท่ากับไม่สามารถนำเข้าข้าวสาลีมาทดแทนได้ เมื่อจะหันมาพึ่งพากากถั่วเหลืองแทน
ก็มีภาระภาษีนำเข้า 2% อีก เมื่อไม่เห็นทางออก
ก็ไม่แปลกที่ผู้ผลิตอาหารจะทยอยลดการผลิต หรือปิดสายการผลิตไปก่อน
ผลที่ตามมาคือเกษตรกรผู้เลี้ยงกลางน้ำ
ต้องขาดแคลนปัจจัยการผลิตสำคัญอย่างอาหารสัตว์ทันที การเลี้ยงสัตว์ต้องหยุดชะงักเพราะไม่มีอาหารสัตว์ป้อนในกระบวนการ
ปริมาณเนื้อสัตว์และสินค้าโปรตีนย่อมหายไป และยังมีภาระต้นทุนอื่นๆให้แบกรับ
โดยเฉพาะต้นทุนการป้องกันโรคในฟาร์มปศุสัตว์ ที่ต้องยกระดับอย่างเข้มงวด
ไม่ให้โรคระบาดในสัตว์และโรคโควิดในคน เข้าไปกระทบกับฝูงสัตว์ ต้นทุนส่วนนี้นับวันยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
อีกส่วนสำคัญคือราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นแทบทุกวัน
โดยเฉพาะสถานการณ์สงครามยูเครนทำให้ระดับราคาปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง กลายเป็นต้นทุนค่าพลังงานที่หนักอึ้งสำหรับเกษตรกร
โดยเฉพาะในฟาร์มที่ใช้ระบบการเลี้ยงแบบปิดที่มีพัดลมขับเคลื่อนด้วยน้ำมันทำให้มีต้นทุนสูง
ยังไม่รวมต้นทุนค่าน้ำกินน้ำใช้สำหรับสัตว์
ที่คนเลี้ยงเตรียมต้องควักเงินจ่ายในฤดูร้อนนี้
ที่คาดว่าจะรุนแรงไม่แพ้ปีที่ผ่านมา ค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 10%
ปัญหาต้นทุนที่รุมเร้าและความกังวลต่อความเสี่ยงในอาชีพ
ทำให้เกษตรกรหลายรายตัดสินใจหยุดเลี้ยงสัตว์ทั้งเกษตรกรฟาร์มไก่ ฟาร์มไก่ไข่
และฟาร์มหมู ส่งผลต่อปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดลดลง ขณะที่การบริโภคยังมีต่อเนื่อง
หากแต่การจำหน่ายสินค้าปศุสัตว์ทั้งไก่เนื้อ ไข่ไก่ กลับถูกตรึงราคาไว้
เพื่อหวังดูแลปากท้องประชาชน จนอาจลืมไปว่าเกษตรกรก็คือประชาชนคนหนึ่ง
ที่ทำอาชีพเพื่อหวังเลี้ยงตัวเอง เมื่อไม่มีทางออก ไปต่อไม่ไหวก็จำต้องเลิกอาชีพ
ท้ายที่สุดคนรับผลของเรื่องนี้คือประชาชนที่ต้องขาดแคลนอาหารโปรตีน
ถึงวันนั้นกว่าจะมาพลิกฟื้นอาชีพกันใหม่ก็ใช้เวลาไม่น้อย
สิ่งที่ภาครัฐรวมถึงภาคส่วนต่างๆ ต้องเร่งดำเนินการคือ
การหามาตรการรับมือกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นเป็นลูกโซ่ต่อจากนี้ ถึงเวลาที่ต้องยื่นมือช่วยเหลือคนเลี้ยงสัตว์
จากที่ผ่านมาภาคผู้เลี้ยงให้ความร่วมมือกับภาครัฐตรึงราคาสินค้าเอาไว้เพื่อช่วยทั้งผู้บริโภค
และยังช่วยพี่น้องเกษตรกรด้วยการซื้อวัตถุดิบข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และกากถั่วเหลืองในราคาแพง
แต่เกษตรกรต้องขายไก่ ขายไข่ในราคาถูก ทั้งที่จริงๆควรเป็นภาระหน้าที่ของภาครัฐ
ไม่ใช่ผู้เลี้ยงสัตว์
นาทีนี้เกษตรกรขอเพียง “หยุดตรึงราคาสินค้า”
ทั้งไก่ ไข่ไก่ รวมถึงสินค้าเกษตรทุกชนิด “ปล่อยให้กลไกตลาดได้ทำงาน” อย่างที่ควรจะเป็น
เหมือนในหมูที่สำเร็จมาแล้วจากการที่รัฐไม่ตรึงราคาสินค้า
ให้ตลาดเป็นไปตามกลไกอุปสงค์อุปทาน ต้นทุนเกษตรกรยังพอรับได้
เพราะราคาสะท้อนต้นทุน แม้ตอนนี้ราคาขายมีแนวโน้มต่ำลงก็ตาม
แต่เกษตรกรยังมีกำลังใจสู้ต่อ หากภาครัฐทำได้เช่นเดียวกันนี้ ก็ถือเป็นทางออกที่ดีสำหรับเกษตรกร
ให้ได้มีแรงผลิตอาหารป้อนคนไทยต่อไป …
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น