เกษตรกร กระทุ้งรัฐแก้ปัญหาข้าวโพดด่วน เร่งตรวจสต๊อกป้องกักตุน หลังราคาปรับเพิ่มต่อเนื่อง
แต่ประโยชน์ไม่ตกถึงเกษตรกร
โดย
กันย์สินี ศตคุณ นักวิชาการอิสระด้านการเกษตร
การประชุมแก้ปัญหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
เพื่อหารือแนวทางการผ่อนปรนมาตรการ 3 : 1 (ต้องรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ 3 ส่วน
จึงจะนำเข้าข้าวสาลีจากเดิมหากนำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วนได้)
เมื่อวันที่ 15 มี.ค.2565
ที่มีกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นโต้โผนัดหารือผู้แทนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ข้าว มันสำปะหลัง เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ ไก่เนื้อ สุกร สมาคมโรงงานอาหารสัตว์
และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง มีมติเห็นควรให้ผ่อนคลายมาตรการ 3 ต่อ 1
เป็นไม่มีการกำหนดสัดส่วนเป็นการชั่วคราวถึงวันที่ 31
กรกฎาคม 2565
เพื่อให้มีวัตถุดิบเพียงพอต่อการผลิตและสามารถช่วยลดภาระราคาอาหารสัตว์ได้
กระทั่งการประชุมล่าสุด
ระหว่างเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด ข้าว มันสำปะหลัง ผู้เลี้ยงสัตว์
และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง โดยมีอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นประธานการประชุม
แม้ว่ายังไร้ข้อสรุปเกี่ยวกับรายละเอียดการผ่อนคลายเงื่อนไข
แต่ทุกฝ่ายก็เข้าใจถึงสถานการณ์ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น
และส่งผลกระทบต่อผู้เลี้ยงรายย่อย
และยินดีที่จะหารือถึงแนวทางการผ่อนปรนมาตรการดังกล่าว
บนพื้นฐานข้อมูลที่ยอมรับร่วมกัน เพื่อให้มีวัตถุดิบเพียงพอต่อการผลิตและสามารถช่วยลดภาระราคาอาหารสัตว์ได้
รายงานข่าวจากเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์
ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการใช้วัตถุดิบข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
เพื่อผสมในสูตรอาหารสัตว์ กล่าวว่า
การจำกัดช่วงเวลาในการนำเข้าจะกลายเป็นปัจจัยที่จะทำให้ราคาสินค้าธัญพืชปรับตัวสูงขึ้นไปอีกเมื่อถึงเวลาที่กำหนด
เนื่องจากพพ่อค้าคนกลางจะใช้เหตุผลนี้กดดันราคากับภาคผู้ผลิตและเกษตรกรผู้เพาะปลูก
ซึ่งภาครัฐควรมองให้ถึงแก่นของปัญหา
เพราะขณะนี้สินค้าไม่ได้อยู่ในมือเกษตรกรอีกต่อไป แต่ถูกเก็บไว้โดยพ่อค้าคนกลาง
ทำให้ปัจจุบัน (24 มีนาคม)
ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปรับไปอยู่ที่ 13.00 บาท
ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาตลาดโลก
และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ใช้ในสูตรอาหารสัตว์มากกว่า 50%
ในขณะที่ภาคผู้เลี้ยงมีภาระต้นทุนการเลี้ยงที่ต้องแบกรับมาตลอดอยู่แล้ว
เมื่อราคาธัญพืชที่เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์สำคัญ ทั้งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง
รวมทั้งข้าวสาลี ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากวิกฤตยูเครนและรัสเซีย
ที่ผลักดันให้ราคาวัตถุดิบทั่วโลกแพงขึ้น กลายเป็นภาระหนักต่อเกษตรกรปลายทาง
ที่สำคัญพ่อค้าวัตถุดิบเห็นช่องทางการทำกำไรในช่วงนี้
จึงอาจมีการกักตุนสินค้าโดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ออกสู่ตลาดมากในช่วงก่อนหน้าที่จะเกิดสงครามขึ้น
การเก็บสินค้าตุ้นไว้เพื่อเก็งกำไร
“ถือเป็นการซ้ำเติมภาคผู้ผลิตและภาคผู้เลี้ยงสัตว์อย่างมาก”
พ่อค้าคนกลางเพียงแค่ซื้อมาและขายออกไป แทบไม่มีความเสี่ยงใดๆ
ในขณะที่ผู้เลี้ยงสัตว์มีต้นทุนให้ต้องแบกรับเป็นจำนวนมาก ทั้งต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่คิดเป็น
70-80% ของต้นทุนการเลี้ยงทั้งหมด ค่าน้ำ ค่าไฟ
ค่าการจัดการ ค่าแรงงาน
และการป้องกันโรคที่ต้องยกระดับขึ้นซึ่งต้องใช้เงินทุนค่อนข้างสูง
การกักตุนผลผลิตข้าวโพด นำไปสู่ราคาสินค้าที่สูงขึ้นมาก และไม่มีเพดานราคาสูงสุด
การเพิ่มขึ้นของราคาเป็นไปอย่างอิสระ
ขณะที่ภาคผู้ผลิตและผู้เลี้ยงกลับต้องซื้อสินค้าในราคาที่ภาครัฐประกันรายได้ไว้กับผู้เพาะปลูก
แต่กลับขอให้เกษตรกรกรตรึงราคาสินค้าปศุสัตว์เอาไว้ ทั้งไก่เนื้อ ไข่ไก่
เพื่อหวังช่วยเหลือผู้บริโภค โดยลืมคิดไปว่าคนเลี้ยงสัตว์ก็คือประชาชนและผู้บริโภคคนหนึ่งเช่นกัน
“หากยังปล่อยให้พ่อค้ากักตุนข้าวโพดไว้เช่นนี้
นอกจากประโยชน์จะไม่ตกถึงเกษตรกรผู้เพาะปลูกพืชไร่ดังที่รัฐบาลมุ่งช่วยเหลือมาตลอดแล้ว
ทุกข์หนักจะตกกับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ที่อาจต้องหยุดเลี้ยง
หากภาคการผลิตอาหารสัตว์ไม่สามารถทนรับต้นทุนการผลิตที่สูงได้อีกต่อไป
ย่อมตัดสินใจเลิกการผลิตอย่างแน่นอน
ขอให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบสต๊อกข้าวโพด
เพื่อให้เกิดผลเชิงจิตวิทยา
ให้พ่อค้าปล่อยสต๊อกออกมาทำให้ราคาสินค้าปรับลดลง"
สอดคล้องกับ
นายกสมาคมผู้เลี้ยงไข่ไก่ มาโนช ชูทับทิม ที่กล่าวถึงราคาไข่ไก่ที่มีการปรับตัวต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ปัจจัยสำคัญมาจากวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะข้าวโพด และข้าวสาลี
ที่ขาดแคลนจากสงครามยูเครน ซึ่งทั้งรัสเซียและยูเครน
เป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวสาลีรายใหญ่ ปริมาณมากกว่า 30% ของผลผลิตทั้งโลก และต้นทุนในการขนส่งไข่ไก่ยังปรับสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน
ส่งผลให้ขณะนี้ต้นทุนการผลิตไข่ไก่ พุ่งสูงถึง 3.10 - 3.24
บาทต่อฟอง เกษตรกรจึงจำเป็นต้องขยับราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มขึ้นเป็น 3.40 บาท คาดว่ายิ่งสถานการณ์สงครามยืดเยื้อ ก็ยิ่งจะทำให้ราคาไข่ไก่สูงขึ้นไปอีก
ปัญหาราคาข้าวโพดที่สูงขึ้นแบบฉุดไม่อยู่
คงมีแต่ภาครัฐเท่านั้นที่พอจะช่วยเกษตรกรได้
อย่าให้คนเพียงกลุ่มเดียวได้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้
การปกป้องและดูแลผู้ผลิตและเกษตรกรตลอดห่วงโซ่อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม
คือทางออกของปัญหานี้ และควรปล่อยราคาสินค้าเป็นไปตามกลไกตลาด
เพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้ในสถานการณ์ที่ต้นทุนการผลิตทั้งหมดต่างปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง./
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น