วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2565

สถานการณ์สุกร : ผลผลิตลด บริโภคเพิ่ม ต้นทุนพุ่ง ขบวนการลักลอบนำเข้าสุกรซ้ำเติม ขอกลไกตลาดทำงาน

 

สถานการณ์สุกร : ผลผลิตลด บริโภคเพิ่ม ต้นทุนพุ่ง ขบวนการลักลอบนำเข้าสุกรซ้ำเติม ขอกลไกตลาดทำงาน         

 



ปัจจุบันอุตสาหกรรมสุกรทั้งประเทศมีผลผลิตสุกรลดลง 40-50 % นับแต่ได้รับผลกระทบจากโรค ASFในสุกรช่วงก่อนหน้านี้  เป็นผลให้มีปริมาณไม่สอดคล้องกับความต้องการบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่มีวันหยุดยาว   สำหรับสถานการณ์การเลี้ยงสุกรขณะนี้ เกษตรกรยังไม่มั่นใจกับภาวะโรคที่เกิดขึ้น  ผู้เลี้ยงส่วนหนึ่งจึงลดความเสี่ยงในการนำสุกรเข้าเลี้ยง ขณะที่บางรายก็ยังงดการนำสุกรเข้าเลี้ยง  ในรายที่ยังเลี้ยงอยู่ก็ลดปริมาณการเลี้ยงไม่เต็มประสิทธิภาพ  กลายเป็นปัจจัยที่ซ้ำเติมให้สถานการณ์ผลผลิตลดลงไปอีก 

 

คณะอนุกรรมการต้นทุนการผลิตสุกรได้ประเมินต้นทุนการเลี้ยงสุกรไตรมาส 2/2565 ที่กิโลกรัมละ 98.81 บาท กลายเป็นวิกฤตของเกษตรกร  จากต้นทุนที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์  โดยมีหลายปัจจัย ได้แก่

 


ประการแรก ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์

 

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2563 เป็นต้นมา ยิ่งเมื่อมีสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ต่างก็เป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกธัญพืชรายใหญ่ของโลก กลายเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ราคาธัญพืชทั่วโลกยิ่งปรับสูงขึ้นไปอีก  ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบเพื่อผลิตเป็นอาหารสำหรับสุกรสูงขึ้นเฉลี่ย 25-30%   ขณะที่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นธัญพืชที่ไทยสามารถผลิตได้เองปีละประมาณ 5 ล้านตัน  น้อยกว่าความต้องการใช้ที่มีอยู่จริงปีละ 8 ล้านตัน  เท่ากับยังขาดแคลนอีก 3 ล้านตัน  

 

ประการที่สอง ต้นทุนป้องกันโรค

 

นายสิทธิพันธ์  ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า จากการระบาด ASF ในสุกร เกษตรกรผู้เลี้ยงจึงลงทุนในการทำระบบป้องกันโรคระบาดในฟาร์มอย่างเข้มงวด  พร้อมกับยกระดับความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity)  มีการพักคอก ปรับปรุงโรงเรือน และใช้ยาฆ่าเชื้อเพื่อเตรียมระบบการเลี้ยงก่อนการนำสุกรเข้ามาเลี้ยงใหม่  ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงมาก เพื่อให้สามารถเลี้ยงสุกรได้อย่างปลอดภัย

 



ประการที่สาม  ต้นทุนค่าน้ำ-ไฟ-น้ำมัน    

 

นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บอกว่า ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ช่วงฤดูร้อน เกษตรกรต้องดูแลสภาพอากาศในโรงเรือนเพื่อคงประสิทธิภาพในการทำให้โรงเรือนมีความเย็นในระดับคงที่ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ โดยต้องเปิดระบบทำความเย็นแทบทั้งวัน  จึงจำเป็นต้องใช้น้ำและไฟฟ้าเพื่อเดินระบบมากขึ้น บางฟาร์มมีระบบปั่นมอเตอร์พัดลมโดยใช้น้ำมัน ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเพิ่ม ยิ่งรัฐบาลจะเลิกพยุงราคาน้ำมันดีเซลในวันที่ 1 พ.ค.2565 นี้ ภาระหนักก็จะตกที่เกษตรกร เพราะต้องใช้น้ำมันทั้งในการเลี้ยงและขนส่งสุกร

 

นอกจากนี้ สภาพอากาศที่ค่อนข้างแปรปรวน ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา  ทำให้สุกรที่ปรับตัวไม่ได้ เกิดความเครียดสะสม ทำให้มีอัตราเสียหายมากขึ้น  ผลผลิตที่ได้ลดลง  ต้นทุนการเลี้ยงก็ยิ่งสูงขึ้น เกือบ 99 บาทต่อกิโลกรัมดังกล่าวข้างต้น ขณะที่ประกาศราคาแนะนำสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มเกษตรกรในปัจจุบันอยู่ที่ 96-98 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าต้นทุน  ซึ่งที่ผ่านมาภาคผู้เลี้ยงทั่วประเทศต่างให้ความร่วมมือกับภาครัฐ  ในการพยุงราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มไม่ให้เกิน 100 บาทต่อกิโลกรัม  เพื่อดูแลค่าครองชีพผู้บริโภค ทั้งที่เกษตรกรต้องแบกรับภาระขาดทุนก็ตาม

 

ประการที่สี่ แบงก์ไม่ปล่อยสินเชื่อ

 

นายปรีชา  กิจถาวร นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภายใต้ ให้ข้อมูลเรื่องนี้ว่า วันนี้เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากที่สุดในอาชีพ  หลังจากพบโรค ASF ในสุกร  ทำให้การเลี้ยงสุกรต้องหยุดชะงัก เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงจากภาวะโรคระบาด  และขณะนี้เกษตรกรยังไม่สามารถขอกู้เงินในระบบได้ เนื่องจากสถาบันการเงินไม่อนุมัติสินเชื่อเพื่อการประกอบอาชีพ เพราะผู้เลี้ยงไม่มีรายได้และยังไม่มีหลักประกันในอาชีพ   เรียกง่ายๆว่า “เกษตรกรขาดที่พึ่ง” แม้จะอยากทำอาชีพเลี้ยงสุกรต่อ แต่ก็มีอุปสรรคเพราะไม่มีทุน การจะเริ่มเลี้ยงสุกรรอบใหม่ที่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก จากการต้องปรับปรุงระบบการเลี้ยงและการป้องกันโรคให้ได้มาตรฐาน จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย เรื่องนี้ภาครัฐต้องเร่งพิจารณาช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

 

ประการที่ห้า ขบวนการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรซ้ำเติม

 

เรื่องนี้ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกร ยังคงมีกลุ่มผู้เลี้ยงที่หลากหลาย ทั้งรายเล็ก รายกลาง และรายใหญ่ ที่ปรับตัวกับสถานการณ์ ด้วยการเลี้ยงหมูขุนใหญ่ขึ้น จับออกขายที่น้ำหนัก 110-120 กิโลกรัม ทำให้ใช้ระยะเวลาเลี้ยงนานขึ้น ซึ่งเมื่อถึงเวลาก็ต้องจับออก ไม่มีการกักหมูไว้เพื่อเก็งกำไร หากแต่ยังพบว่ามีการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรผิดกฎหมายจากหลายประเทศมาสวมเป็นเนื้อสุกรไทย  เพื่อฉวยโอกาสทำกำไร ซึ่งเป็นภัยร้ายกับผู้บริโภคโดยตรงเพราะหลายประเทศในตะวันตกยังอนุญาตให้ใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเลี้ยงสัตว์ได้ ขณะเดียวกันผู้เลี้ยงยังเสี่ยงต่อโรคต่างถิ่นที่อาจติดมากับสินค้าเหล่านี้  ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมศุลกากร และกรมปศุสัตว์ ต้องเร่งปราบปราม ”ขบวนการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกร”  เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค และอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรไทยในระยะยาว และปกป้องเศรษฐกิจชาติที่ต้องเสียหายจากขบวนการลักลอบ

 

บทสรุป

 

ปัญหารอบด้านที่เกิดขึ้น ทั้งผลผลิตลด ต้นทุนเพิ่ม และขบวนการลักลอบนำเข้าสุกรที่ซ้ำเติม ทั้งสองสมาคมผู้เลี้ยงสุกรย้ำว่า เกษตรกรขอเพียงความเข้าใจจากผู้บริโภคและภาครัฐ  ปล่อยให้กลไกตลาดทำงานอย่างเสรี โดยไม่มีการควบคุม  ให้เกษตรกรสามารถขายสุกรในราคาที่สะท้อนต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น   ซึ่งเป็นทางออกของปัญหา และทางรอดของเกษตรกร./

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2565

นักวิชาการชี้ "ปล่อยกลไกตลาด" ทำงานเสรี ทางออกสินค้าปศุสัตว์ แนะ ‘ไก่ ไข่ ปลา’ เป็นทางเลือกผู้บริโภค

 

นักวิชาการชี้ "ปล่อยกลไกตลาด" ทำงานเสรี ทางออกสินค้าปศุสัตว์ แนะ ‘ไก่ ไข่ ปลา’ เป็นทางเลือกผู้บริโภค

 



โดย : กันยาพร สดสาย นักวิชาการด้านปศุสัตว์

 

ภาวะราคาเนื้อหมูที่ปรับขึ้นในช่วงนี้ ทำให้เกษตรกรต้องตกเป็นจำเลยสังคมอีกครั้งว่าเป็นต้นเหตุ ทั้งที่จริงๆแล้วคนเลี้ยงหมูต้องแบกภาระขาดทุน จากต้นทุนการผลิตที่สูงเป็นประวัติการณ์ที่เกือบ 99 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่ราคาขายหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มอยู่ที่ 96-98 บาทต่อกิโลกรัม แต่เหตุไฉนเมื่อราคาหมูหน้าฟาร์มไปถึงผู้บริโภค กลับต้องซื้อเนื้อหมูราคาแพง

 



เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ในห่วงโซ่การผลิตจนถึงการขายเนื้อหมูไปยังผู้บริโภค ทุกขั้นตอนมีต้นทุนทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่นหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มราคา 96-98 บาทต่อกิโลกรัม เกษตรกรจะขายขาดที่หน้าฟาร์มได้กำไรหรือขาดทุนตามแต่จะตกลงกับพ่อคาจับหมูที่มารับซื้อ โดยส่วนนี้พ่อค้าจะทำการขนหมูเข้าโรงเชือดซึ่งมีค่าขนส่งและมีค่าน้ำหนักหมูที่หายไประหว่างขนส่ง (จากส่วนของมูล และปัสสาวะ) ต้นทุนส่วนนี้ประมาณ 2 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อถึงโรงเชือด จะมีค่าจ้างเชือดและมีน้ำหนักสูญเสีย (เลือดและขน) กลายเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 13 บาทต่อกิโลกรัม จากนั้นหมูซีกจะถูกขนส่งต่อไปที่แม่ค้ามีค่าขนส่งอีก 1 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อรวมต้นทุนแม่ค้าและค่าบริหารจัดการ-วัสดุ-อุปกรณ์ในการขาย เช่น ค่าเช่าแผง ค่าลูกจ้าง ค่าน้ำแข็ง ประมาณ 1 บาทต่อกิโลกรัม เท่ากับต้นทุนที่เขียงรวม 111-113 บาทต่อกิโลกรัม

 



ทั้งนี้การคำนวณราคาเนื้อหมูโดยปกติจะใช้สูตร ราคาหมูมีชีวิตหน้าฟาร์ม คูณด้วย 2 เท่ากับราคาหมูเนื้อแดงหน้าเขียงควรจะอยู่ที่ 192-196 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งราคาแต่ละพื้นที่อาจจะสูงหรือต่ำกว่านี้ ก็ขึ้นอยู่กับภาวะตลาด จากอัตราการบริโภคในพื้นที่นั้นๆ กับปริมาณผลผลิตหมูที่ออกสู่ตลาดว่าสอดคล้องกันหรือไม่ โดยการขึ้นหรือลงของราคา เป็นไปตามกลไกตลาดนั่นเอง

 

มาถึงตรงนี้เราๆท่านๆคงเข้าใจที่มาที่ไปของราคาหมูหน้าเขียงแล้ว และต้องทำความเข้าใจว่าเหตุที่เกษตรกรจำเป็นต้องขายหมูราคานี้ก็เพราะต้นทุนการเลี้ยงที่พุ่งสูงขึ้นไปอย่างไม่เคยเจอมาก่อน ซึ่งสาเหตุหลักๆเกิดจาก ปัญหาโรค ASF ที่พบเมื่อปลายปี 2564 ที่ผ่านมา และความวิตกของเกษตรกรที่มีต่อภาวะโรค จึงมีเกษตรกรเลิกเลี้ยงหมูไปมากกว่าครึ่ง ทำให้ปริมาณหมูหายไปจากระบบ จนถึงวันนี้การเลี้ยงหมูก็ยังไม่ได้กลับมาเต็มกำลังการผลิตของทั้งประเทศ ปัจจุบันปริมาณหมูลดลงไปมากกว่า 40-50% จากภาวะปกติ

 

ขณะเดียวกัน ต้นทุนการผลิตทั้งวัตถุดิบสำรหับผลิตเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ต่างปรับราคาขึ้น สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เมื่อเทียบราคาเมื่อปี 2563 กับปัจจุบัน พบว่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศราคาปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันนี้ราคาสูงขึ้นถึง 41% ขณะที่ข้าวสาลีนำเข้าราคาปรับไปถึง 76% กากถั่วเหลืองนำเข้าราคาสูงขึ้น 67% และปลาป่น ราคาเพิ่มขึ้นถึง 30% คิดเป็นต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นแล้ว 25-30% และยังมีต้นทุนค่าพลังงาน ทั้งไฟฟ้าและน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นอีก ยังไม่นับผลกระทบภัยแล้งที่ทำให้เกษตรกรต้องซื้อน้ำมาใช้ในฟาร์ม รวมถึงอัตราเสียหายในฟาร์มที่สูงขึ้นในช่วงฤดูร้อนและหมูโตช้าต้องเลี้ยงนานขึ้น กลายเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

เกษตรกรขอให้ผู้บริโภคเข้าใจในภาระที่ผู้เลี้ยงต้องแบกรับ และขอให้ปล่อยกลไกตลาดทำงานต่อไป เพื่อให้ราคาหมูสะท้อนต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นอย่างที่แท้จริง หากราคาปรับขึ้น ตลาดจะปรับตัว การบริโภคจะลดลงจนกลับสู่สมดุลเอง วนเวียนเป็นวัฏจักรเช่นนี้ ที่สำคัญ กลไกตลาดทำงานที่ทำงานอย่างเสรี โดยไม่มีใครมาควบคุม คือ “สูตรสำเร็จ" ในการแก้ปัญหาราคาสินค้าทุกประเภท

 

สำคัญที่สุด ผู้บริโภคคือหัวใจหลักของเรื่องนี้ เพราะวันนี้ราคาสินค้าทุกประเภทต่างปรับตัวขึ้นทั่วทั้งโลก จากภาวะเศรษฐกิจในประเทศและผลกระทบสงคราม ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย และต้องไม่ลืมว่าผู้บริโภคยังมีทางเลือกอีกมากมายในการบริโภคเนื้อสัตว์ หรืออาหารโปรตีนต่างๆ ทั้งเนื้อไก่ ซึ่งถือเป็นอาหารในหมวดหมู่โปรตีน ที่นำมาใช้ทดแทนเนื้อหมูอยู่แล้ว รวมถึงไข่ไก่ ไข่เป็ด ปลาหลากหลายชนิด หรือแม้แต่กุ้งและสัตว์น้ำต่างๆ ให้สามารถเลือกซื้อหามาบริโภคได้ ซึ่งถือเป็นการช่วยเกษตรกรทั้งผู้เลี้ยงหมูและเกษตรกรเลี้ยงสัตว์อื่นๆด้วย

 

ในทางกลับกันเกษตรกรไม่มีทางเลือก เพราะเขายึดการเลี้ยงหมูเป็นอาชีพเดียวในการเลี้ยงตัวเอง ความเห็นใจ ความเข้าใจ และความช่วยเหลือ จึงเป็นสิ่งที่เกษตรกรกำลังเรียกร้องจากทั้งผู้บริโภคและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และคำแนะนำที่ให้ผู้บริโภคเลือกโปรตีนหลากหลายทดแทนกันนี้ ก็เป็นคำแนะนำที่ถูกต้องและให้ผลลัพธ์ที่ดีมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน ถ้าเห็นว่าหมูแพงก็แค่เปลี่ยนไปบริโภคอย่างอื่นแทน เท่านี้ปริมาณหมูก็กลับสู่สมดุลการบริโภค ราคาก็จะปรับสู่ปกติได้อย่างแน่นอน./

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2565

CPF ร่วมกับ Uoriki ส่งมอบ ปลาทะเลพรีเมี่ยม สด ปลอดภัย ตรงจากญี่ปุ่นถึงมือคนไทย

 

CPF ร่วมกับ Uoriki ส่งมอบ ปลาทะเลพรีเมี่ยม สด ปลอดภัย ตรงจากญี่ปุ่นถึงมือคนไทย 

 



ซีพีเอฟ ร่วมมือ อูโอริกิ ผู้นำอันดับ 1 ในการจัดจำหน่ายปลาสดจากประเทศญี่ปุ่น ตอบโจทย์ความต้องการบริโภคอาหารทะเลสด สะอาด ปลอดภัย ระดับพรีเมียมสไตล์ญี่ปุ่นที่หลากหลายชนิดส่งตรงถึงมือคนไทยในราคาที่เข้าถึงได้ ผ่านเครือข่ายช่องทางการจำหน่ายต่างๆ ทั่วประเทศภายในปีนี้ 

 



บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ลงนามความร่วมมือทางการค้า (MoU) กับ บริษัท อูโอริกิ จำกัด (Uoriki Co.,Ltd.) บริษัทจัดจำหน่ายปลาสดชั้นนำอับดับ 1 ของญี่ปุ่น และเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น เพื่อนำเข้าปลาทะเลสดคุณภาพพรีเมี่ยมให้กับคนไทยได้บริโภคอาหารชั้นเลิศส่งตรงจากญี่ปุ่นได้สะดวกใกล้บ้าน โดยมี นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ ซีพีเอฟ และ นายมาซายูกิ มายาดะ (Mr.Masayuki Yamada)  กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อูโอริกิ เป็นประธานในพิธีลงนาม พร้อมกับผู้บริหารของซีพีเอฟและอูโอริกิ ได้แก่ นายมาซาฮิโร่ นากามิเนะ กรรมการบริหาร บ.อูโอริกิ นายเอกปิยะ เอื้อวุฒิเกริก  รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจการค้าในประทศ ซีพีเอฟ นายกฤษณ มรกต รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านการตลาดกลาง นางสาวเขมิกา สีประจิม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ซีพีเอฟ และนายฮิโรยะ ฟูจิ ผู้จัดการฝ่ายบริหาร บริษัท เจียไต๋ ไบรท์ บิซิเนส ญี่ปุ่น จำกัด  ร่วมด้วย ณ อาคารซีพี ทาวเวอร์ สีลม 

  


นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ กล่าวว่า ซีพีเอฟในฐานะผู้นำด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพสูง ปลอดภัยให้ผู้บริโภคคนไทยและ 40 ประเทศทั่วโลก และความร่วมมือทางการค้ากับอูโอริกิซึ่งเป็นผู้นำอันดับ 1 ในการจัดหาอาหารทะเลและปลาสดของญี่ปุ่น ความร่วมมือในครั้งนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของทั้งสององค์กรในการสนับสนุนให้คนไทยเข้าถึงปลาและอาหารทะเลสดคุณภาพสูงส่งตรงจากญี่ปุ่นด้วยราคาที่เข้าถึงได้สะดวกและกว้างขวางยิ่งขึ้  ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย  ได้บริโภคอาหารและปลาทะเลที่สด สะอาด ปลอดภัยตามมาตรฐานญี่ปุ่น และอยู่ในราคาที่เหมาะสม โดยอาศัยโครงสร้างเครือข่ายและการจัดการที่แข็งแกร่งของซีพีเอฟ เพื่อนำสิ่งที่ดีที่สุดจากญี่ปุ่นสู่ผู้บริโภคของซีพีเอฟ การลงนามความร่วมมือจะนำไปสู่การพัฒนากลยุทธ์การตลาดร่วมกัน และอูโอริกิจะมีส่วนช่วยพัฒนาห่วงโซ่การจัดหาสินค้าปลาสดชั้นเลิศส่งตรงจากญี่ปุ่นมาถึงมือคนไทยให้ได้ภายในปีนี้ 

  



"ปัจจุบันคนไทยให้ความสำคัญกับสุขภาพ และนิยมอาหารญี่ปุ่นกันมากขึ้น  ปลาเป็นอาหารโปรตีนคุณภาพสูง มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แล.ะมีรสชาติอร่อย การจับมือกับอูโอริกิจึงเป็นผสานความเชี่ยวชาญของทั้ง 2 บริษัท ในการขยายซัพพลายผลิตภัณฑ์อาหารทะเลระดับพรีเมี่ยม ช่วยสนับสนุนให้ผู้บริโภคชาวไทยได้เข้าถึงปลาสดจริงๆ ที่ส่งตรงจากญี่ปุ่นได้เพื่อให้คนไทยได้บริโภคปลาสด สะอาด และหลากหลายส่งตรงจากญี่ปุ่น ผ่านเครือข่ายการจำหน่ายที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพกระจายอยู่ทั่วประเทศ" นายประสิทธิ์ กล่าว 

  

ด้านนายมาซายูกิ ยามาดะ  กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อูโอริกิ กล่าวว่า อูโอริกิเป็นบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเนื้อปลาสด และอาหารทะเลชั้นนำที่เก่าแก่ของญี่ปุ่นก่อตั้งขึ้นตั้งปี 1930 และเป็นบริษัทค้าปลีกปลาทะเลสดรายเดียวที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของญี่ปุ่น ปัจจุบันอูโอริกิมีร้านค้าจำหน่ายอาหารทะเลสด 69 สาขาทั่วประเทศ รวมถึงร้านจำหน่ายซูชิ 13 แห่ง และภัตตาคาร 14 แห่งในญี่ปุ่นและยังขยายตลาดสู่สหรัฐอเมริกา  ความร่วมมือกับซีพีเอฟในครั้งนี้ เป็นการขยายสินค้าอาหารทะเลสดพรีเมี่ยมสู่ตลาดคนไทย และสานต่อความมุ่งมั่นของบริษัทที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและความสุขสู่ผู้บริโภคชาวไทย  ผ่านการส่งมอบปลาสดและอาหารทะเลสด ที่ผลิตและคัดสรรอย่างดีจากแหล่งผลิตคุณภาพสูงและรับผิดชอบจากทั้งในญี่ปุ่นและทั่วโลกในราคาที่สมเหตุสมผล ซึ่งนับเป็นการช่วยเผยแพร่วัฒนธรรมการรับประทานอาหารที่มีประวัติศาสตร์มากว่า 1 พันปีของชาวญี่ปุ่นให้กับคนไทยได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น 

 






ซีพีเอฟจะร่วมมือกับอูโอริกิในการพัฒนาการจัดการในการจัดหาและส่งมอบสินค้าปลาสด สะอาด ปลอดภัยตามมาตรฐานญี่ปุ่นให้คนไทยได้บริโภคปลาสดตามมาตฐานของญี่ปุ่นอย่างทั่วถึงภายในปีนี้ และมีแผนที่จะขยายผลสู่ช่องทางการจำหน่ายต่างประเทศของซีพีเอฟต่อไป เพื่อร่วมสร้างการเติบโตไปด้วยกัน./ 

 

 

วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2565

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตัวแปรกำหนดราคาสินค้าปศุสัตว์

 

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตัวแปรกำหนดราคาสินค้าปศุสัตว์

 



เรื่องโดย บรรจบ สุขชาวไทย นักวิชาการอิสระ

 


สถานการณ์วัตถุดิบข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่ปรับราคาขึ้นต่อเนื่อง นับตั้งแต่กลางปี 2563 เรื่อยมา จนกระทั่งวิกฤติปะทุหนักพร้อมเสียงปืนนัดแรกที่รัสเซียยิงตกในแผ่นดินยูเครน การสู่รบในครั้งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ราคาธัญพืชทั่วโลกพุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากสองประเทศเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกธัญพืชสำคัญของโลก

 

แม้ว่าไทยจะห่างไกลจากพื้นที่สงคราม แต่หางเลขก็ตกมาถึงเช่นกัน โดยเฉพาะราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่ราคาปรับตัวอย่างไม่อาจคาดเดา ว่าจะสิ้นสุดที่จุดไหน วิเคราะห์ข้อมูลราคาวัตถุดิบ (แสดงในตาราง) เมื่อเทียบราคาปี 2563 กับปัจจุบัน จะเห็นว่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ราคาปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาสูงขึ้นถึง 41.48 % ส่วนธัญพืชนำเข้า อย่างข้าวสาลี ราคาพุ่งไปถึง 76.15% ส่วนกากถั่วเหลืองราคาเพิ่มขึ้น 67.66% ขณะที่ปลาป่นที่เป็นวัตถุดิบสำคัญอีกชนิด ราคาก็ขึ้นไปแล้วถึง 30.20% ทั้งหมดนี้คิดเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นแล้ว 25-30%

 

ราคาวัตถุดิบสำคัญ พ.ศ.2563-2565 (หน่วย : บาทต่อกิโลกรัม)

ชนิดวัตถุดิบ

พ.ศ. 2563

พ.ศ. 2564

มกราคม 2565

กุมภาพันธ์ 2565

มีนาคม 2565

เทียบ 2563

กับ มี.ค. 2565

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

8.97

10.05

10.85

11.11

12.70

41.48 %

ข้าวสาลี

7.38

8.91

12.00

12.50

13.00

76.15 %

กากถั่วเหลือง

12.71

16.51

18.76

19.78

21.31

67.66 %

ปลาป่น (เบอร์2)

31.66

34.50

34.55

36.96

41.22

30.20 %

แหล่งข้อมูล : สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย

 



สาเหตุที่ทำให้ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปรับขึ้นไปขนาดนี้ นอกจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกแล้ว ปัจจัยภายในประเทศที่สำคัญคือ ปัญหาขาดแคลนผลผลิต จากความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในไทยราว 8 ล้านตันต่อปี แต่มีผลผลิตในประเทศเพียง 5 ล้านตันต่อปี ขาดแคลนถึง 3 ล้านตันต่อปี ในจำนวนนี้ 1.3-1.5 ตันนำเข้าจากประเทศอาเซียนภายใต้กรอบ AFTA (ภาษีเป็นศูนย์) ส่วนที่ยังขาดไปอีกครึ่งหนึ่ง ผู้ผลิตจำเป็นต้องหาวัตถุดิบทดแทน แต่กลับมีมาตรการของรัฐที่เป็นอุปสรรค ทั้งมาตรการ 3:1 ที่กำหนดให้ต้องซื้อข้าวโพด 3 ส่วนก่อน จึงจะนำเข้าข้าวสาลีได้ 1 ส่วนได้ ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2561

 


ขณะเดียวกัน รัฐมีมาตรการสนับสนุนเกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวโพด ด้วยโครงการประกันรายได้เกษตรกร ที่มีมาตรการควบคุมราคาขั้นต่ำ (Floor Price) กิโลกรัมละ 8.50 บาท (ความชื้นไม่เกิน 14.5%) แต่รัฐกลับไม่ได้กำหนดเพดานราคา (Ceiling Price) เป็นที่มาของราคาข้าวโพดที่สูงเกือบ 13 บาทต่อกิโลกรัมในปัจจุบัน ซึ่งสูงกว่าราคาตลาดโลก นอกจากนี้ การนำเข้าข้าวโพดภายใต้กรอบข้อตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) มียังมีภาษีที่สูงมาก โดยการนำเข้าภายใต้โควตาเก็บภาษีนำเข้า 20% กรณีนำเข้านอกโควตาเก็บภาษีสูงถึง 70% ซึ่งแพงเกินกว่าจะนำเข้าได้ รวมทั้งรัฐยังมีมาตรการเก็บภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง 2% กลายเป็นต้นทุนการผลิตที่ผู้ผลิตต้องแบกรับมาตลอด

 


เรื่องนี้ภาคผู้ผลิตได้ทำหนังสือแสดงถึงความเดือดร้อนถึงกระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่ วันที่ 19 มีนาคม 2564  จนเกิดความประชุมหลายครั้ง จนถึงการประชุมร่วมระหว่างภาครัฐ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด ข้าว มันสำปะหลัง เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ และโรงงานอาหารสัตว์ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2565 มีมติเห็นชอบให้ยกเลิก มาตรการ 3 : 1 เป็นการชั่วคราว เพื่อให้มีวัตถุดิบเพียงพอต่อการผลิต และบรรเทาภาระต้นทุนการผลิตของต้นน้ำ ที่เชื่อมโยงถึงเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์กลางน้ำก็ตาม แต่การประชุมวันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา กลับมีมติให้ยกเลิกมาตรการชั่วคราวดังกล่าว จนถึงวันนี้ก็ไร้บทสรุป และยังไม่สามารถดำเนินการเรื่องนี้ต่ออย่างเป็นรูปธรรม พูดง่ายๆ “ยังไม่มีข้าวโพดแม้แต่เมล็ดเดียวที่นำเข้ามาได้” เป็น 13 เดือนที่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ

 

ภาคผู้ผลิตและเกษตรกรกำลังรอคอยคำตอบจากภาครัฐ ว่าจะมีมาตรการอย่างไรเพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตและเกษตรกร ก่อนที่ราคาข้าวโพดจะขยับขึ้นไปสูงกว่านี้ เพราะต้องไม่ลืมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ใช้ในสูตรอาหารสัตว์มากกว่า 50%  จึงถือเป็นตัวแปรสำคัญและเป็นตัวชี้วัดต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ ว่าจะสูงขึ้นหรือต่ำลง หากราคาข้าวโพดฯ ลดลง ก็จะทำให้ต้นทุนการผลิตในส่วนนี้ต่ำลง ทั้งหมดนี้ต้องรอให้รัฐลงมือปลดดล็อกปัญหา คลายมาตรการที่รัดตรึง รวมทั้งปล่อยให้กลไกตลาดทำงานอย่างเสรี เพื่อให้เกษตรกรหายใจหายคอสะดวกขึ้น เพราะคนสุดท้ายที่จะได้ประโยชน์นจากเรื่องนี้ ก็คือผู้บริโภคคนไทย./

“วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” เทศกาลสัตว์น้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

  เปิดประสบการณ์ความมหัศจรรย์ของโลกใต้น้ำกับ FISHTIVAL 2025   ที่ยกทัพพาเหรดสัตว์น้ำกว่า 3,000 ตู้ ในงาน “วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” ...