ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตัวแปรกำหนดราคาสินค้าปศุสัตว์
เรื่องโดย บรรจบ สุขชาวไทย
นักวิชาการอิสระ
สถานการณ์วัตถุดิบข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ที่ปรับราคาขึ้นต่อเนื่อง นับตั้งแต่กลางปี 2563
เรื่อยมา จนกระทั่งวิกฤติปะทุหนักพร้อมเสียงปืนนัดแรกที่รัสเซียยิงตกในแผ่นดินยูเครน
การสู่รบในครั้งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ราคาธัญพืชทั่วโลกพุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์
เนื่องจากสองประเทศเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกธัญพืชสำคัญของโลก
แม้ว่าไทยจะห่างไกลจากพื้นที่สงคราม
แต่หางเลขก็ตกมาถึงเช่นกัน โดยเฉพาะราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่ราคาปรับตัวอย่างไม่อาจคาดเดา
ว่าจะสิ้นสุดที่จุดไหน วิเคราะห์ข้อมูลราคาวัตถุดิบ (แสดงในตาราง) เมื่อเทียบราคาปี
2563 กับปัจจุบัน จะเห็นว่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ราคาปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ราคาสูงขึ้นถึง 41.48 % ส่วนธัญพืชนำเข้า อย่างข้าวสาลี
ราคาพุ่งไปถึง 76.15% ส่วนกากถั่วเหลืองราคาเพิ่มขึ้น 67.66%
ขณะที่ปลาป่นที่เป็นวัตถุดิบสำคัญอีกชนิด ราคาก็ขึ้นไปแล้วถึง 30.20%
ทั้งหมดนี้คิดเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นแล้ว 25-30%
ราคาวัตถุดิบสำคัญ พ.ศ.2563-2565 (หน่วย : บาทต่อกิโลกรัม) |
||||||
ชนิดวัตถุดิบ |
พ.ศ. 2563 |
พ.ศ. 2564 |
มกราคม 2565 |
กุมภาพันธ์ 2565 |
มีนาคม 2565 |
เทียบ 2563 กับ มี.ค. 2565 |
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ |
8.97 |
10.05 |
10.85 |
11.11 |
12.70 |
41.48 % |
ข้าวสาลี |
7.38 |
8.91 |
12.00 |
12.50 |
13.00 |
76.15 % |
กากถั่วเหลือง |
12.71 |
16.51 |
18.76 |
19.78 |
21.31 |
67.66 % |
ปลาป่น (เบอร์2) |
31.66 |
34.50 |
34.55 |
36.96 |
41.22 |
30.20 % |
แหล่งข้อมูล : สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย |
สาเหตุที่ทำให้ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปรับขึ้นไปขนาดนี้
นอกจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกแล้ว ปัจจัยภายในประเทศที่สำคัญคือ
ปัญหาขาดแคลนผลผลิต จากความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในไทยราว 8 ล้านตันต่อปี
แต่มีผลผลิตในประเทศเพียง 5 ล้านตันต่อปี ขาดแคลนถึง 3 ล้านตันต่อปี ในจำนวนนี้
1.3-1.5 ตันนำเข้าจากประเทศอาเซียนภายใต้กรอบ AFTA
(ภาษีเป็นศูนย์) ส่วนที่ยังขาดไปอีกครึ่งหนึ่ง ผู้ผลิตจำเป็นต้องหาวัตถุดิบทดแทน
แต่กลับมีมาตรการของรัฐที่เป็นอุปสรรค ทั้งมาตรการ 3:1 ที่กำหนดให้ต้องซื้อข้าวโพด
3 ส่วนก่อน จึงจะนำเข้าข้าวสาลีได้ 1 ส่วนได้ ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2561
ขณะเดียวกัน รัฐมีมาตรการสนับสนุนเกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวโพด
ด้วยโครงการประกันรายได้เกษตรกร ที่มีมาตรการควบคุมราคาขั้นต่ำ (Floor Price) กิโลกรัมละ 8.50
บาท (ความชื้นไม่เกิน 14.5%) แต่รัฐกลับไม่ได้กำหนดเพดานราคา (Ceiling Price) เป็นที่มาของราคาข้าวโพดที่สูงเกือบ 13
บาทต่อกิโลกรัมในปัจจุบัน ซึ่งสูงกว่าราคาตลาดโลก นอกจากนี้
การนำเข้าข้าวโพดภายใต้กรอบข้อตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) มียังมีภาษีที่สูงมาก
โดยการนำเข้าภายใต้โควตาเก็บภาษีนำเข้า 20% กรณีนำเข้านอกโควตาเก็บภาษีสูงถึง
70% ซึ่งแพงเกินกว่าจะนำเข้าได้ รวมทั้งรัฐยังมีมาตรการเก็บภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง
2% กลายเป็นต้นทุนการผลิตที่ผู้ผลิตต้องแบกรับมาตลอด
เรื่องนี้ภาคผู้ผลิตได้ทำหนังสือแสดงถึงความเดือดร้อนถึงกระทรวงพาณิชย์
ตั้งแต่ วันที่ 19 มีนาคม 2564 จนเกิดความประชุมหลายครั้ง จนถึงการประชุมร่วมระหว่างภาครัฐ
เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด ข้าว มันสำปะหลัง เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์
และโรงงานอาหารสัตว์ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2565
มีมติเห็นชอบให้ยกเลิก มาตรการ 3 : 1 เป็นการชั่วคราว
เพื่อให้มีวัตถุดิบเพียงพอต่อการผลิต และบรรเทาภาระต้นทุนการผลิตของต้นน้ำ
ที่เชื่อมโยงถึงเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์กลางน้ำก็ตาม แต่การประชุมวันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา กลับมีมติให้ยกเลิกมาตรการชั่วคราวดังกล่าว จนถึงวันนี้ก็ไร้บทสรุป
และยังไม่สามารถดำเนินการเรื่องนี้ต่ออย่างเป็นรูปธรรม พูดง่ายๆ
“ยังไม่มีข้าวโพดแม้แต่เมล็ดเดียวที่นำเข้ามาได้” เป็น 13 เดือนที่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ
ภาคผู้ผลิตและเกษตรกรกำลังรอคอยคำตอบจากภาครัฐ
ว่าจะมีมาตรการอย่างไรเพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตและเกษตรกร ก่อนที่ราคาข้าวโพดจะขยับขึ้นไปสูงกว่านี้
เพราะต้องไม่ลืมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ใช้ในสูตรอาหารสัตว์มากกว่า 50% จึงถือเป็นตัวแปรสำคัญและเป็นตัวชี้วัดต้นทุนการเลี้ยงสัตว์
ว่าจะสูงขึ้นหรือต่ำลง หากราคาข้าวโพดฯ ลดลง ก็จะทำให้ต้นทุนการผลิตในส่วนนี้ต่ำลง
ทั้งหมดนี้ต้องรอให้รัฐลงมือปลดดล็อกปัญหา คลายมาตรการที่รัดตรึง
รวมทั้งปล่อยให้กลไกตลาดทำงานอย่างเสรี เพื่อให้เกษตรกรหายใจหายคอสะดวกขึ้น เพราะคนสุดท้ายที่จะได้ประโยชน์นจากเรื่องนี้
ก็คือผู้บริโภคคนไทย./
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น