ต้นทุนการเลี้ยงสัตว์พุ่ง อากาศแปรปรวน-น้ำมันเตรียมขยับ ซ้ำเติม เกษตรกรท้อ ขอความเข้าใจ ปล่อยกลไกตลาดทำงาน
สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่แปดริ้ว
จำกัด สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่สุพรรณบุรี จำกัด สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ชลบุรี จำกัด
และชมรมผู้เลี้ยงไก่ไข่จังหวัดเชียงใหม่ลำพูน ประกาศปรับราคาแนะนำไข่ไก่คละ ณ
หน้าฟาร์มเกษตรกร ขึ้นอีกฟองละ 10 สตางค์ จากราคา 3.40 บาทต่อฟอง เป็น 3.50 บาทต่อฟอง
ด้วยปัญหาสะสมจากต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่มีราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และยังไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายในเร็ววันนี้
เป็นประเด็นหลักที่กดดันให้เกษตรกรต้องตัดสินใจปรับราคาขึ้นในครั้งนี้
นายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ภาคใต้
สุเทพ สุวรรณรัตน์ กล่าวถึงสาเหตุที่เกษตรกรจำเป็นต้องปรับราคาไข่ไก่ขึ้น
เนื่องจากปัญหาต้นทุนการเลี้ยงต่างๆ เพิ่มสูงขึ้น
โดยเฉพาะวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สูงขึ้นมาตลอด แต่กลับไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆ
จากภาครัฐ ยิ่งช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน สภาพอากาศของไทยเกิดแปรปรวนอย่างหนัก
อากาศร้อนจัด สลับพายุฝน ผลผลิตไข่ไก่และแม่ไก่เสียหายมาก แม่ไก่ไม่ออกไข่
มีบางส่วนเจ็บป่วยล้มตายไป เพราะปรับตัวไม่ทันกับสภาพอากาศ
จนทำให้ปริมาณผลผลิตไข่ลดลงประมาณ 10%
สวนทางกับการบริโภคที่คึกคักในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวที่ผ่านมา
การปรับเพิ่มราคาเป็นเพียงการสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงเท่านั้น
เรื่องราคาอาหารที่ปรับขึ้นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในบ้านเรา
แต่เกิดขึ้นกับทุกประเทศทั่วโลก จากปัจจัยภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น
หลังจากการระบาดของโควิด-19
ผนวกกับภาวะขาดแคลนสินค้าจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานโลกชะงักงัน
ที่ผลักดันให้ต้นทุนราคาสินค้าและอาหารปรับสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
และยังมีสถานการณ์การสู่รบระหว่างรัสเซียกับยูเครน
กดดันให้ราคาสินค้าทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นไปอีก
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ
สหรัฐอเมริกา ชาติมหาอำนาจและผู้นำด้านการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคของโลก
ที่ขณะนี้กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกครั้งใหญ่ที่สุด
นับตั้งแต่ปี 2558 โดยกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ยืนยันการแพร่ระบาดของโรคใน 27 รัฐ
นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ซ้ำความต้องการบริโภคไข่ก็เพิ่มสูงขึ้นในช่วงอีสเตอร์
รวมถึงสงครามยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ
สร้างแรงกระเพื่อมอันหนักหน่วงต่อห่วงโซ่อุปทานในสหรัฐฯ
ส่งผลให้ราคาไข่ไก่พุ่งสูงขึ้นรุนแรงที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา
กลับมาที่ภาคปศุสัตว์ไทยที่ยังมีปัญหาใหญ่ในประเทศ
จากวิกฤติวัตถุดิบขาดแคลน โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในภาคการผลิตอาหารสัตว์
ที่ยังไม่มีทางออกว่าภาครัฐจะแก้ปัญหานี้อย่างไร
เนื่องจากประเทศไทยผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้เพียง 5 ล้านตันต่อปี
ไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ที่มากถึง 8 ล้านตัน
โดยมีมาตรการรัฐที่ยังคงเป็นอุปสรรค ทั้งมาตรการข้าวโพด 3:1
และภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง 2% รวมถึงปัญหาของโลกจากสถานการณ์สู้รบในยูเครน
ที่ผลักดันให้ราคาธัญพืชทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์
พบว่าต้นทุนการผลิตส่วนนี้เพิ่มขึ้นมากกว่า 30 – 40% แล้ว
และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นอีก
ตราบใดที่การสู้รบระหว่างสองประเทศผู้ผลิตและส่งออกธัญพืชรายสำคัญของโลก
ยังไม่อาจบรรลุข้อตกลงระหว่างกันได้
ปัญหานี้ไม่ได้กระทบเพียงราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์เท่านั้น
หากแต่ยังลุกลามไปถึงปัญหาด้านพลังงาน
เนื่องจากรัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับสามของโลก รองจากสหรัฐฯ
และซาอุดีอาระเบีย รัสเซียมีการส่งออกน้ำมันดิบราว 5 ล้านบาร์เรลต่อวัน
มากกว่าครึ่งหนึ่งถูกส่งไปยังสหภาพยุโรป ขณะที่ก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียคิดเป็น 40%
ของการนำเข้าก๊าซธรรมชาติทั้งหมดในสหภาพยุโรป
การประกาศจำกัดการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย ของสหรัฐอเมริกา
สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป
ย่อมทำให้ราคาพลังงานที่สูงอยู่แล้วมีโอกาสพุ่งขึ้นไปอีก
เท่ากับต้นทุนด้านพลังงานที่เป็นหนึ่งในต้นทุนสำคัญในภาคการขนส่งสินค้าเกษตรและการเลี้ยงสัตว์
ต้องปรับสูงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ล่าสุดภาคขนส่งของไทยส่งสัญญาณว่า
จำเป็นต้องปรับขึ้นค่าขนส่งทั่วประเทศขั้นต่ำ 15% หรืออาจมากกว่า 20%
เพื่อให้เป็นไปตามกลไกตลาดและราคาน้ำมันดีเซล หลังจากที่รัฐบาลจะเลิกตรึงราคา 30
บาทต่อลิตร ในวันที่ 1 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้
ปัญหาเบื้องหน้าที่กำลังรอเกษตรกรอยู่นี้
เปรียบเหมือนมรสุมลูกใหญ่ที่ท้าทายภาคผู้เลี้ยงอีกระรอก
ยังไม่นับปัญหาภัยแล้งที่มาเยือนเช่นทุกปี
ที่เกษตรกรจะต้องเตรียมรับมือด้วยการจัดหาน้ำใช้สำหรับสัตว์ในฟาร์ม อย่างเช่น
การเลี้ยงไก่ไข่ที่ปกติไก่หนึ่งตัวจะกินน้ำเป็น 3 เท่าของการกินอาหาร
ตามมาตรฐานไก่กินอาหารที่ 120 กรัมต่อวัน เท่ากับจะต้องกินน้ำ 360 ซีซีต่อวัน
แต่ในช่วงอากาศร้อนไก่จะกินน้ำเพิ่มเป็นกว่า 400 ซีซีต่อวัน
ยกตัวอย่างการเลี้ยงไก่จำนวน 100,000 ตัว จำเป็นต้องใช้น้ำประมาณ 40,000
ลิตรต่อวัน กลายเป็นภาระการจัดซื้อน้ำที่เกษตรกรไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
รวมทั้งต้นทุนด้านอื่นๆด้วย
เกษตรกรขอให้ผู้บริโภคเข้าใจในภาระและปัญหาสะสมที่พวกเขาต้องเผชิญ
การเพิ่มขึ้นของราคาไข่ไก่แผงละ 3 บาท (ต่อ 30 ฟอง)
ที่เป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยของผู้บริโภคนี้ เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยต่อชีวิตผู้เลี้ยงให้สามารถฝ่าฟันปัญหาต่างๆไปได้
เพื่อให้คนไทยมีโปรตีนคุณภาพดีราคาถูกไว้บริโภคต่อไป
ที่สำคัญการปล่อยให้กลไกตลาดทำงาน
ให้เกษตรกรได้มีโอกาสขายสินค้าในราคาที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
คือแนวทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนของเรื่องนี้./
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น