ร้อน แล้ง อากาศแปรปรวนหนัก กระทบเกษตรกรต้นทุนพุ่ง หวังผู้บริโภค
เข้าใจ
บทความโดย
: รัฐพล ศรีเจริญ นักวิชาการอิสระ
สภาพอากาศร้อนแล้งต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนมีนาคม
ต่อเดือนเมษายนที่อุณหภูมิทั่วไทยลดลง อากาศแปรปรวน
เกิดหนาวเย็นฉับพลันและฝนตกมากในบางพื้นที่
จากอิทธิพลของความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกําลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีน
แผ่ลงมาปกคลุมบริเวณประเทศไทยตอนบน
ความแปรปรวนของสภาพอากาศ
บางวันร้อนถึงร้อนจัด ซ้ำมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
สลับกับอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ ส่งผลโดยตรงต่อสัตว์เลี้ยง ทั้งหมู ไก่เนื้อ
และไก่ไข่ ที่ไม่สามารถปรับตัวกับอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้
จึงกระทบต่อการให้ผลผลิตและอัตราเสียหายในฟาร์มเลี้ยงสัตว์มากขึ้น
>> “ไก่ไข่” กระทบร้อน ผลผลิตลด ไข่เล็ก เสียหายหนัก
ไก่เป็นสัตว์ที่ไม่มีต่อมเหงื่อช่วยระบายความร้อน
และยังมีขนปกคลุมยิ่งเป็นอุปสรรคต่อการระบายความร้อนออกจากร่างกาย
เมื่ออุณหภูมิสูง 26-32 องศาฯ แม่ไก่จะกินอาหารลดลง กินน้ำมากขึ้น เพื่อช่วยลดความร้อนในร่างกาย
แม่ไก่เกิดความเครียดสะสม
การกินอาหารน้อยทำให้สารอาหารที่ได้ไม่เพียงพอกับการสร้างฟองไข่
ผลผลิตไข่ไก่จึงลดลง ขนาดฟองไข่ที่ได้เล็กลง
หากอากาศร้อนจัดแม่ไก่จะเริ่มแสดงอาการหอบ
อ้าปากหายใจแรงขึ้น เพื่อระบายความร้อน ทำให้ไก่สูญเสียพลังงานไปกับการหอบ
และยังทำให้สูญเสีย CO2
ที่จำเป็นต้องใช้ในกระบวนการสร้างไข่ ส่งผลให้คุณภาพเปลือกไข่ด้อยลง สีซีด
เปลือกบางลง แตกร้าวเสียหายง่ายขึ้น ปริมาณผลผลิตที่ลดลง คุณภาพไข่ไก่ที่ต่ำลง
ไข่เสียหายมากขึ้น รวมถึงตัวแม่ไก่ที่เสียหายจากกรณีไข่แตกในท้อง ทำให้เกษตรกรมีต้นทุนสูงขึ้น
เพราะมีตัวหารน้อยลง และไข่ฟองเล็กเกษตรกรจึงขายไข่ได้เฉพาะไข่คละกลางและคละเล็ก
ราคาขายที่ได้จะต่ำลง รายได้จึงลดลงตามไปด้วย
ความร้อนที่เพิ่มขึ้นมีผลกับอัตราการกินน้ำของแม่ไก่ด้วย
โดยอุณหภูมิในโรงเรือนที่ 18-25 องศาเซลเซียส สัดส่วนการกินน้ำต่ออาหารของแม่ไก่จะอยู่ที่
1.8-2.0 เท่าของอาหารที่กินได้ หากอากาศร้อนขึ้น
สัดส่วนการกินน้ำอาจเพิ่มขึ้นเป็นไม่น้อยกว่า 2.6 เท่าของอาหารที่กินได้
เท่ากับต้องใช้น้ำในการเลี้ยงไก่มากขึ้น
>> อากาศร้อน “ไก่เนื้อ” เครียดกินอาหารน้อย โตช้า ต้นทุนสูง
ไก่เนื้อที่เลี้ยงในโรงเรือนเปิดมักพบปัญหา
การกินอาหารน้อยลงจากความเครียดที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ไก่โตช้า ใช้เวลาเลี้ยงนานขึ้น
มีอัตราป่วยและเปอร์เซ็นต์ตายเพิ่มขึ้น
เกษตรกรต้องเน้นการเลี้ยงไม่ให้มีปริมาณหนาแน่นเกินไป มีการจัดการเพื่อลดความร้อนให้กับโรงเรือนเลี้ยง
อาทิ สเปรย์น้ำบนหลังคา ควบคู่กับการเปิดพัดลมระบายอากาศนานขึ้น
ในกรณีร้อนจัดต้องตัดสินใจลงเลี้ยงไก่ให้บางกว่าช่วงปกติ
กรณีเลี้ยงไก่ในโรงเรือน
EVAP ที่สามารถลดอุณหภูมิในโรงเรือนได้ดีกว่า
แต่ก็จำเป็นต้องปรับสภาพอากาศภายในให้เหมาะสม
ทั้งการเปิดน้ำหล่อเลี้ยงระบบความเย็นและเปิดพัดลมระบายอากาศตลอดเวลา
และต้องระวังความชื้นและก๊าซแอมโมเนียในโรงเรือน
และสิ่งสำคัญที่สุดคือน้ำ ที่ต้องจัดเตรียมไว้อย่างเพียงพอตลอดเวลา
น้ำต้องสะอาด เกษตรกรต้องลงทุนปรับคุณภาพน้ำให้เหมาะสม และเพิ่มต้นทุนการเสริมวิตามินอิเลคโตรไลท์
หรือโปแตสเซียมคลอไรด์ ที่มีรสเค็มเล็กน้อยเพื่อช่วยกระตุ้นการกินน้ำ
ช่วยให้ระบายความร้อนจากร่างกายได้ดีขึ้น
>> “หมู” ร้อนแม่อุ้มท้องเสียหาย หมูขุนโตช้า
หมูเป็นสัตว์ที่ไม่มีต่อมเหงื่อ
จึงระบายความร้อนออกจากร่างกายด้วยการหอบหายใจ อาการนี้หากเกิดในแม่หมูอุ้มท้อง
อาจทำให้เกิดการแท้ง หรือลูกตายในท้อง มีลูกมัมมี่มากขึ้น อัตราเข้าคลอดต่ำ
ลูกแรกคลอดน้อยลง แม่เครียดจากอากาศส่งผลให้การเลี้ยงลูกได้ต่ำลง
อาจเกิดอาการน้ำนมแห้ง ลูกอุจจาระเหลว ส่วนลูกหมูที่รอดจะอ่อนแอ น้ำหนักหย่านมต่ำ
เมื่อนำไปเลี้ยงเป็นหมูอนุบาลหรือหมูขุน อัตราการเจริญเติบโต (ADG) จะต่ำ อากาศร้อนจัดทำให้หมูอยู่ไม่สบาย
จึงกินอาหารได้น้อยลง ส่งผลให้อัตราแลกเนื้อ (FCR) แย่ลง
และอัตราเสียหายมักสูงขึ้นตามไปด้วย
อากาศร้อนรุนแรง
ส่งผลให้หมูเนื้อที่เข้าสู่ตลาดมีน้ำหนักลดลงตัวละประมาณ 3-5 กิโลกรัม
น้ำหนักที่หายไปกระทบกับรายได้ของเกษตรกร
และมีผลโดยตรงต่อปริมาณเนื้อหมูที่ขายในท้องตลาด
ซึ่งเป็นเหตุผลให้ราคาหมูค่อยๆปรับตัวสูงขึ้นเป็นลำดับ
ตามปริมาณผลผลิตที่เข้าสู่ตลาดน้อยลง
เมื่อผนวกกับความต้องการบริโภคที่สูงขึ้นในช่วงนี้เทศกาลสงกรานต์ด้วยแล้ว
จึงมีความเป็นไปได้ที่ราคาหมูจะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ตามกลไกตลาด
ทั้งหมดนี้เป็นผลกระทบจากที่เกิดจากอากาศร้อนแล้ง
ที่มีผลต่อต้นทุนการเลี้ยงที่เพิ่มขึ้น ยังไม่นับต้นทุนอื่นๆ
ทั้งวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ปรับตัวสูงขึ้นทุกวัน ซึ่งเกษตรกรต้องแบกรับอยู่ในขณะนี้
และค่าน้ำใช้ที่จำเป็นต้องซื้อเพิ่มในช่วงวิกฤติแล้ง
และต้องมีการลงทุนปรับคุณภาพน้ำด้วย รวมถึงค่าไฟในการทำความเย็นด้วยระบบ EVAP ค่าน้ำมันสำหรับเดินมอเตอร์พัดลมท้ายโรงเรือน
การใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเพื่อเปิดพัดลมในเล้าช่วยระบายอากาศ
วันนี้ผู้บริโภคอย่างเรา รวมถึงภาครัฐ ต้องเห็นความจริงเรื่องต้นทุนและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสภาพอากาศ และทำความเข้าใจเรื่องราคาสินค้าเกษตรว่ามีขึ้น-มีลง “ตามกลไกตลาด” ที่มีความต้องการบริโภคและปริมาณผลผลิตเป็นตัวกำหนด และต้องไม่ลืมว่ากว่าจะเป็นเนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ไก่ ให้เราได้รับประทานนั้น ย่อมมีต้นทุน ต้องใช้เวลา มีความเสี่ยงจากปัจจัยต่างๆ และเกษตรกรต้องทุ่มเทกับอาชีพ เพื่อสร้างอาหารที่เพียงพอสำหรับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น