วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ชสท.ร่วมกับเครือข่าย ขับเคลื่อนเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจผลไม้สหกรณ์

 



 เมื่อเร็วๆนี้ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด ร่วมกับสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย (สสท.) นำโดย นายศิริชัย ออสุวรรณ ประธานคณะอนุกรรมการพัฒนาธุรกิจสหกรณ์ และประธานกรรมการดำเนินการ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วยนายวิจิตร จะโรจร รองผู้อำนวยการ และนายภาณุวัฒน์ แว่นระเว หัวหน้าฝ่ายกิจการระหว่างประเทศและส่งเสริมธุรกิจการค้า ร่วมงานเสวนาโครงการเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจผลไม้สหกรณ์ เพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนผลผลิตทางการเกษตร และสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจสวนผลไม้ของสมาชิกสหกรณ์และการรวบรวมผลผลิตของสหกรณ์ โดยมีผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย นายบรรเจิด ชาญยงค์ ประธานฯ สหกรณ์การเกษตรชาวสวนไม้เค็ด จำกัด (จ.ปราจีนบุรี) นายคนึง เอกจีน ประธานฯ สหกรณ์นิคมวังไทร จำกัด นายเรวัตร์ แสงวารินทร์ อดีตประธานสหกรณ์นิคมวังไทร จำกัด นายทรงสรรค์ อุนะพำนัก ผอ.นิคมชะแวะ (จ.ระยอง) นายภูริวัจน์ ลิ้มถาวรรัตน์ ประธานชมรมภาคีท่องเที่ยวไทย (อดีตนายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ) นายณศร ออสุวรรณ ประธานฯ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรประจวบคีรีขันธ์ จำกัด (จ.ประจวบคีรีขันธ์) ดร.ฉัตรกมล มุ่งพยาบาล นายกสมาพันธ์ชาวสวนทุเรียนภาคใต้ (จ.ชุมพร) ดร.ประภาส งามสงวน ประธานฯ สหกรณ์วัดจันทร์ จำกัด นางกัญญา งามสงวน ผจก. สหกรณ์วัดจันทร์ จำกัด (จ.พิษณุโลก) นางรุ่งอรุณ ชวกรกุล ผจก.ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรบุรีรัมย์ จำกัด (จ.บุรีรัมย์) โดยมีนายประพจน์ ภู่ทองคำ เป็นผู้ดำเนินรายการ ณ สวนทุเรียนป้าลำใย อ.วังจันทร์ จ.ระยอง ทั้งนี้ สหกรณ์นิคมวังไทร จำกัด เป็นเจ้าภาพให้การต้อนรับคณะฯ ด้วยดีตลอดงาน  ในงานมีการจัดกิจกรรมพาสื่อมวลชน และสหกรณ์คู่ค้าเยี่ยมชมสวนและชิมทุเรียนฟรี ของดีจังหวัดระยอง และมีการจำหน่ายในราคาถูก ชมการสาธิตวิธีดูแลทุเรียน ตัดทุเรียน และวิธีการแกะทุเรียนอย่างง่ายๆ ซึ่งนอกจากได้ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยแล้ว ยังช่วยส่งเสริมการบริโภคผลไม้ไทยตามฤดูกาล อีกด้วย




นายศิริชัย ออสุวรรณ ประธานฯ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด เครือข่ายผู้ผลิตผลไม้ สหกรณ์นิคมวังไทร จำกัด ตลอดจนสหกรณ์จากในพื้นที่ พร้อมทั้งเครือข่ายการตลาดผลไม้ประกอบไปด้วยสหกรณ์หลายๆ แห่ง ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดพิษณุโลก จังหวัดบุรีรัมย์ และสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย ร่วมกันจัดกิจกรรมเชื่อมโยงธุรกิจผลไม้สหกรณ์ที่จังหวัดระยอง อำเภอวังจันทร์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ 3 เรื่องด้วยกัน คือ 1) “การเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจผลไม้สหกรณ์” เน้นในเรื่องของการเชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายผู้ผลิตผลไม้กับเครือข่ายการตลาด ซึ่งช่วงนี้เป็นฤดูกาลของผลไม้  ไม่ว่าจะเป็นทุเรียน มังคุด เงาะ ซึ่งเป็นผลไม้จากทางภาคตะวันออกแล้วจะตามมาด้วยผลไม้จากภาคอื่นๆ ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิต เน้นในเรื่องของคุณภาพสินค้า และเรื่องของการส่งมอบให้กับเครือข่ายการตลาด







 โดยได้มีการสาธิตและนำไปชมสวนทุเรียน สวนมังคุด สวนเงาะ ในขณะเดียวกัน เครือข่ายการตลาดก็ต้องไปเรียนรู้ในเรื่องของผลผลิตต่างๆ ที่จะนำไปเสนอให้กับผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกของสหกรณ์เองหรือประชาชนทั่วไป ซึ่งได้มีการเสวนาร่วมกันโดยทางสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทยจะมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนในเรื่องการโฆษณาประชาสัมพันธ์  2) “โครงการต้นแบบท่องเที่ยวเชิงเกษตร เครือข่ายสหกรณ์ ร่วมกับสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (ททน.) เป็นกิจกรรมเพื่อจะทำโครงการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เราได้รับการสนับสนุนจากสมาคมท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยนายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยว พร้อมทีมงานได้เดินทางมาร่วมกิจกรรมนี้ด้วย ซึ่งได้กำหนดรูปแบบให้เป็นต้นแบบการท่องเที่ยวเชิงเกษตร มีการทำแพ็คเกจทัวร์ โดยเมื่อมีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้ามาก็จะเปิดรับจองก่อนและจะพาไปชมสวนผลไม้ ได้รับฟังความรู้ในเรื่องของผลไม้ ไม่ว่าจะเป็นทุเรียน เงาะ มังคุด หรืออื่นๆ  3) “สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทยกับการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจผลไม้ของสหกรณ์ คือกิจกรรมในการเชื่อมโยงประสานงานของสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทยแต่ละภาคมีคณะอนุกรรมการพัฒนาธุรกิจสหกรณ์ รวมทั้งคณะกรรมการของสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย ก็มีนโยบายที่จะสนับสนุนให้การดำเนินการธุรกิจของสหกรณ์สามารถที่จะเติบโตและมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น







จุดเด่นในโครงการเชื่อมโยงธุรกิจผลไม้นี้  คือการใช้วิธีการสหกรณ์มาดำเนินการ อย่างแรกคือเรื่องคุณภาพสินค้า โดยให้เครือข่ายทั้งฝ่ายผู้ผลิตได้ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูง และมีมาตรฐาน GMP รวมทั้งในเรื่องของการมี QR code ซึ่งสามารถตรวจสอบย้อนกลับแหล่งผลิตได้ในเวลาเดียวกัน และยังใช้เป็นเรื่องของมาตรฐานราคาสินค้าได้ สามารถสั่งจองซื้อสินค้าได้ อย่างน้อย ประมาณ 2 สัปดาห์หรือ 30 วัน อีกทั้ง สามารถที่จะยืนยันในเรื่องของการส่งมอบให้ตรงเวลาได้ ส่วนเรื่องราคาจะต้องเป็นราคาที่เป็นธรรมเพราะระบบสหกรณ์จะไม่เอาเปรียบซึ่งกันและกัน  มีการรับประกันคุณภาพสินค้า ทำให้เกิดความเชื่อมั่นระหว่างผู้บริโภคสินค้าและบริการ มั่นใจได้ว่าสินค้าในเครือข่ายสหกรณ์นั้นเป็นของดีและมีราคาที่เป็นธรรมอย่างแน่นอน

นายวิจิตร จะโรจร รองผู้อำนวยการ สสท. กล่าวว่า สันนิบาตสหกรณ์ฯ มีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่ส่งเสริมกิจการและกิจกรรมของสหกรณ์ให้สามารถดำเนินไปได้อย่างเข้มแข็ง ช่วยขับเคลื่อนหรือสนับสนุนโดยเฉพาะเรื่องของการตลาด สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายของสันนิบาตสหกรณ์ฯ ได้ ส่วนสำคัญคือช่วยประชาสัมพันธ์ผลไม้สหกรณ์และการประสานความร่วมมือการตลาดกับสหกรณ์ทั้งในและต่างประเทศ และยังช่วยเพิ่มช่องทางการตลาดโดยทำหน้าที่เป็นตลาดกลางทางออนไลน์ให้กับสินค้าสหกรณ์อีกทางหนึ่งด้วย

นายภาณุวัฒน์ แว่นระเว หัวหน้าฝ่ายกิจการระหว่างประเทศและส่งเสริมธุรกิจการค้า สสท กล่าวว่า สันนิบาตสหกรณ์ฯ ได้เปิดศูนย์แสดงสินค้าสหกรณ์ไทยอยู่ที่สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย ถนนพิชัยเขตดุสิต กรุงเทพฯ และมีกลุ่มตลาดสินค้าสหกรณ์อยู่จำนวนหนึ่ง อีกทั้ง สันนิบาตสหกรณ์ฯ ยังเป็นสมาชิกขององค์การสหกรณ์ระหว่างประเทศซึ่งมีสมาชิกอยู่ทั่วโลกจำนวน 190 ประเทศ นับว่าเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็ง ในอนาคตจะมีการพัฒนาส่งเสริมด้านการส่งออกผลไม้สหกรณ์ไทยไปเติบโตในต่างประเทศได้

วช. จับมือ รร.นรต. หยุด ! เด็ก-เยาวชน กระทำผิดซ้ำ ผลักดัน 3 แพลตฟอร์ม 8 นวัตกรรมยุติธรรมท้าทายไทย “SOP-JUDA-สารเสพติดในเส้นผม” แก้ไขปัญหายาเสพติดในเด็กและเยาวชน

 


 

โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ร่วมกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดเสวนา “นวัตกรรมการอำนวยความยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชน” ภายใต้แผนงานขยายผลการวิจัยสู่การปฏิบัติเพื่อการเปลี่ยนแปลงการอำนวยความยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด

 



ศาสตราจารย์ พลตำรวจตรีหญิง ดร.พัชรา สินลอยมา ที่ปรึกษาคณะตำรวจศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ และผู้บริหารจัดการโครงการวิจัย กล่าวว่า การเสวนาครั้งนี้ เป็นการเสนอแก้ไขกฏหมายและมาตรการพิเศษในการดูแลเด็กและเยาวชน  จะมีการจัดทำคู่มือบูรณาการร่วมกัน กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้หลักนิติวิทยาศาสตร์ มาใช้ลดการแก้ปัญหายาเสพติด ร่วมกับภาคีเครือข่ายในการใช้หลักสูตรฝึกอบรมอาชีพ ปี 2563 กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน รายงานสถิติการกระทำผิดของเด็กและเยาวชนประจำปี พบว่ามีจำนวนถึง 19,470 คดี คดีส่วนใหญ่เป็นฐานความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จำนวน 9,600 คดี หรือคิดเป็นร้อยละ 49.31 ของคดีทั้งหมด




สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ หรือ วช. ร่วมกับโรงเรียนนายร้อยตำรวจขับเคลื่อนนวัตกรรมยุติธรรมท้าทายไทย ภายใต้แผนงานขยายผลการวิจัยสู่การปฏิบัติเพื่อการเปลี่ยนแปลงการอำนวยความยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ทั้งการเปลี่ยนแปลงในเชิงกฎหมายที่จะเกิดการบูรณาการเครือข่ายผู้บังคับใช้กฎหมายในการอำนวยความยุติธรรมแก่เด็กและเยาวชนโดยมุ่งประโยชน์สูงสุดของตัวเด็กและเยาวชนเป็นสำคัญ ควบคู่ไปกับการประยุกต์ใช้มาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญา

 





ตลอดจนการประยุกต์ใช้กระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ให้มีบทบาทสำคัญในกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นรูปธรรม  การสร้างความยั่งยืนให้กับกระบวนการคืนเด็กดีสู่สังคมไม่ให้หวนกลับมากระทำผิดเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของคนในสังคมในการให้โอกาสเด็กและเยาวชนเหล่านี้ให้มีพื้นที่จุดยืน มีอาชีพสุจริต หรือมีแนวทางการดำเนินชีวิตที่มีคุณภาพตามครรลองของสังคมปกติ

 

ผลการดำเนินงานได้เกิดการเปลี่ยนแปลงการอำนวยความยุติธรรมแก่เด็กและทั้งในมิติทางกฎหมายที่เกิด SOP ด้านการปฏิบัติต่อเด็กกระทำความผิดซึ่งมีอายุไม่เกิน 12 ปี หรือการใช้กระบวนการไกล่เกลี่ยมาเป็นกลไกสำคัญในการหันเหคดีเด็กและเยาวชนออกจากกระบวนการยุติธรรมกระแสหลักเพื่อสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม  รวมทั้งด้านนิติวิทยาศาสตร์เกิดโปรแกรม JUDA  มีระบบฐานข้อมูลการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนที่แยกออกจากฐานข้อมูลของผู้ใหญ่ เพื่อใช้งานในระดับสถานีตำรวจได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดรับกับการพัฒนาเทคนิคการตรวจสารเสพติดทางเส้นผม ขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือของ 4 หน่วยงานใหญ่ ได้แก่ ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กรมคุมประพฤติ และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์

 



“การเสวนาครั้งนี้เป็นการเผยแพร่ผลงานวิจัย และนวัตกรรม โดยมีการเสนอมาตรการพิเศษ รวมทั้งในการนำเสนอการแก้ไขกฏหมายเพื่อดูแลเด็กและเยาวชน  รวมทั้ง จัดทำคู่มือ ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และนวัตกรรมพิเศษ ที่จะดูและไม่ให้เด็กและเยาวชน หันกลับ ไปกระทำผิดซ้ำอีก นอกจากนี้ยังมีจะมีการบูรณาการ ในการกำหนดหลักสูตร ที่การฝึกอบรมการสร้างอาชีพเพื่อสร้างหลักความมั่นคง และเป็นการเตรียมพร้อม ก่อนกลับคืนสู่สังคม  โดยจะร่วมกับภาคเอกชน  และสถานการประกอบการต่าง ๆ เพื่อฝึกอบรม และเตรียมก่อนกลับสู่สังคมหลังพ้นโทษ ด้วย ทำอย่างไรไม่ให้ไป สู่กระบวนการยุติธรรมหรือไม่กลับไปสู่กระบวนการยุติธรรมอีก”ศาสตราจารย์ พลตำรวจตรีหญิง ดร.พัชรา  กล่าวย้ำ

 

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า  วช. พร้อมผลักดันการวิจัยเพื่อแก้ปัญหาสังคม เพราะถือเป็นความท้าทาย รวมทั้งการวิจัยเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ตลอดจนเกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและต่อยอด สร้างมาตรการสำหรับการผสมผสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และชุมชน ในการป้องกันเด็กและเยาวชนที่ไม่เคยกระทำผิดไม่ให้เป็นผู้กระทำผิดรายใหม่ รวมถึงขยายผลนวัตกรรมการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของการอำนวยความยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนสู่การประยุกต์ใช้ในเชิงปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และจะเป็นต้นแบบในการขยายผลการใช้นวัตกรรมนี้ในหน่วยงานอื่น ๆ ต่อไป

 

นายประกอบ ลีนะเปสนันท์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง กล่าวว่า ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องการพิจารณาคดีเป็นหลักและยังเป็นหน่วยงานที่ดูแลศาลเยาวชนฯทั่วราชอาณาจักร ที่ผ่านมาศาลฯพบข้อมูลว่ามีผลงานวิจัยและนวัตกรรมในการที่จะมีการตรวจสอบสารเสพติดจากเส้นผมได้ ซึ่งมีความแม่นยำสูง ของหน่วยงานนิติวิทยาศาสตร์และกรมพินิจฯ จึงขอเข้ามามีส่วนร่วมกันในการทำงานร่วมกัน  เพื่อตรวจสารเสพติดจากเส้นผม กรณีที่ขึ้นสู่คดีในชั้นศาล โดยจะมีการตรวจสอบทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะคดียาเสพติเพียงอย่างเดียว เพราะผู้ต้องหาบางส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ไม่ว่าจะเป็นคดีหลักทรัพย์ พบว่ามีสารเสพติดในร่างกาย   ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ยาเสพติดเป็นรากฐานที่ทำให้เด็กก่อคดี ขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

หากมีการตรวจยาเสพติดโดยนวัตรกรรมสามารถตรวจสอบสารตกค้างได้ย้อนหลังกว่า 3 เดือน จะทำให้ระงับยับยั้งการเสพยาเสพติดในเด็กได้อย่างต่อเนื่อง เพราะหลักฐานจะปรากฏชัดเจน มีผลในการพิจรณาคดีทันที เดิมเด็กจะเสพยาต่อเนื่องเพราะคิดว่าตรวจไม่เจอ  ทั้งนี้สามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด แม้แต่กระท่อม และกัญชา  ในอนาคตคาดว่า จะมีการตรวจย้อนหลังสารเสพติดได้กว่า 6  เดือนทำให้เด็กลดการใช้ยาเสพติด นอกจากนี้จะมีการขยายการตรวจสอบสารเสพติดในเส้นผมในศาลพื้นที่รอบกรุงเทพ และพื้นที่ที่คาดว่า มีผู้ต้องหาคดียาเสพติด โดยในงบประมาณหน้า จะเสนอให้มีการตรวจสอบยาเสพติดในเส้นผมในศาลทั่วประเทศ 

////////////////////

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

สสท. จับมือ สสจ.กาฬสินธุ์ จัดอบรมผู้ตรวจสอบกิจการขั้นพื้นฐาน

 




 (25 พฤษภาคม 2565) นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม ประธานกรรมการดำเนินการ สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย (สสท.) เป็นประธานเปิดและบรรยายพิเศษ โครงการอบรม “ผู้ตรวจสอบกิจการขั้นพื้นฐาน” หลักสูตรที่ 1 ซึ่งจัดโดยสันนิบาตสหกรณ์จังหวัดกาฬสินธุ์ (สสจ.กาฬสินธุ์) โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย เป็นเงินจำนวน 27,000 บาท โครงการจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-26 พฤษภาคม 2565 ณ โรงแรมชาร์ลอง บูทรีค จังหวัดกาฬสินธุ์ มีสหกรณ์เข้าร่วมจำนวน 15 สหกรณ์ จำนวน 60 คน  โดยได้รับเกียรติจาก พล.ต.ต.มนตรี จรัลพงศ์ ประธานกรรมการสันนิบาตสหกรณ์จังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวรายงาน และมีนายวิทยา วัฒนวิเชียร สหกรณ์จังหวัดกาฬสินธุ์ นายเจียง นาอุดม กรรมการฯ สสท. นายวงศกร เอการัมย์ กรรมการฯ สสท. พร้อมด้วย นายวิจิตร จะโรจร รองผู้อำนวยการสายงานพัฒนาธุรกิจ สสท. และนางเบญจมาส พรพิทักษ์พันธุ์ รองผู้อำนวยการสายงานส่งเสริมสหกรณ์ สสท. เข้าร่วมเป็นเกียรติ

 



นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม ประธานฯ สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า “การจัดงานในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือของสหกรณ์ในจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อช่วยส่งเสริมผลผลิตของเกษตรกรและสหกรณ์ในสถานการณ์น้ำมันแพง ค่าครองชีพสูงขึ้น ทำให้ทั้งผู้ประกอบการ เกษตรกร อาจจะได้รับความเดือดร้อน ดังนั้น การที่สันนิบาตสหกรณ์ฯ ร่วมมือกับ สสจ.กาฬสินธุ์ ในการจัดอบรมผู้ตรวจสอบกิจการขั้นพื้นฐาน ถือเป็นการให้ความรู้ด้านกฎหมายและทำให้ขบวนการสหกรณ์ในจังหวัดกาฬสินธุ์ มีความเข้มแข็ง เกิดความร่วมมือกันเพิ่มมากยิ่งขึ้น ขอขอบคุณประธานฯ สสจ.กาฬสินธุ์ ที่ช่วยดำเนินการและจัดงานอบรมพร้อมทั้งจัดงานมหกรรมสินค้าผลผลิตจากสมาชิกสหกรณ์ทุกประเภทโดยตรงสู่ผู้บริโภค ซึ่งจังหวัดกาฬสินธุ์ และสันนิบาตสหกรณ์จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้จัดงานมหกรรมสินค้า อย่างยิ่งใหญ่ รวบรวมผลผลิตจากสมาชิกสหกรณ์ทุกประเภท เป็นผลผลิตโดยตรงสู่ผู้บริโภค โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง จึงเป็นการช่วยประชาสัมพันธ์สินค้าของสหกรณ์และยังเป็นการทำให้ประชาชนรู้จักสันนิบาตสหกรณ์ฯ เพิ่มมากยิ่งขึ้น เพื่อสานต่อนโยบายของสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย ในการสร้างเครือข่ายกระจายอำนาจสู่สันนิบาตสหกรณ์จังหวัด ทั้งในเรื่องการอบรม ให้ความรู้ และการจัดกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและสหกรณ์ จึงขอเชิญเที่ยวชมงานดังกล่าว ณ บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ (หลังเก่า) มีสินค้าแปรรูป ผ้าพื้นเมือง ผลิตผลทางเกษตร รวบรวมอยู่ในที่นี่ ที่เดียว และขอให้มั่นใจว่า สสท. จะไม่ทิ้งสหกรณ์ใด สหกรณ์หนึ่ง ไว้ข้างหลัง”


 



พล.ต.ต.มนตรี จรัลพงศ์ ประธานกรรมการสันนิบาตสหกรณ์จังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวถึงการจัดอบรมครั้งนี้ว่า “พระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 มาตรา 53 กำหนดให้สหกรณ์มีผู้ตรวจสอบกิจการ ซึ่งที่ประชุมใหญ่เลือกตั้งจากสมาชิก หรือบุคคลภายนอก เพื่อดำเนินการตรวจสอบกิจการของสหกรณ์ แล้วทำรายงานเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ ทั้งนี้ การตรวจสอบกิจการเป็นการตรวจสอบการดำเนินงานทั้งปวงของสหกรณ์ ผู้ตรวจสอบกิจการเป็นผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบกิจการของสหกรณ์แทนสมาชิก มีภารกิจตรวจสอบการบริหารงานและการปฏิบัติงานด้านต่างๆ พร้อมทั้งให้ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อสหกรณ์การปฏิบัติงานตรวจสอบกิจการที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สหกรณ์มีการพัฒนาเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน ตลอดจนนายทะเบียนสหกรณ์ได้กำหนดระเบียบทะเบียนสหกรณ์ว่าด้วยการตรวจสอบกิจการของสหกรณ์ พ.ศ. 2559 ซึ่งกำหนดให้บุคคลที่จะเป็นผู้ตรวจสอบกิจการต้องผ่านการอบรมการตรวจสอบกิจการจากกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ หรือหน่วยงานอื่นที่ได้รับการรับรองหลักสูตรจากกรมตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ ดังนั้นผู้ตรวจสอบกิจการจำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานตรวจสอบกิจการเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นประโยชน์แก่สหกรณ์และมวลสมาชิกสันนิบาตสหกรณ์จังหวัดกาฬสินธุ์ ตระหนักถึงภารกิจอันสำคัญของผู้ตรวจสอบกิจการ จึงได้จัดให้มีโครงการอบรม "ผู้ตรวจสอบกิจการขั้นพื้นฐาน" ขึ้น โดยเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจและเพิ่มทักษะด้านงานตรวจสอบกิจการให้แก่ผู้ตรวจสอบกิจการ เพื่อให้ได้รับทราบแนวคิดเกี่ยวกับหลักการสหกรณ์ กฎหมาย บทบาท หน้าที่ จริยธรรมของ ผู้ตรวจสอบกิจการ การดำเนินธุรกิจของสหกรณ์แต่ละประเภท ระบบบัญชีและระบบควบคุมภายในของสหกรณ์ การรายงานผลการตรวจสอบกิจการ รวมทั้งระเบียบและคำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติด้านการเงินการบัญชีของสหกรณ์ สามารถนำความรู้เกี่ยวกับการตรวจสอบกิจการไปปรับใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ผู้เข้ารับการอบรมมีคุณสมบัติเป็นไปตามระเบียบนายทะเบียนสหกรณ์ ว่าด้วยการตรวจสอบกิจกการของสหกรณ์ พ.ศ. 2559 ข้อ 7(2)”

เครือซีพี ผนึกกำลังมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท เดินหน้า “อมก๋อยโมเดล” ปกป้องรักษาป่าต้นน้ำ 10,000 ไร่ สร้างอาชีพ-รายได้-เสริมชุมชนเข้มแข็ง หนุนคนอยู่กับป่าอย่างยั่งยืน

 



เครือเจริญโภคภัณฑ์ และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เดินหน้าโครงการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ป่าต้นน้ำ และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้คนอยู่กับป่าอย่างยั่งยืน “อมก๋อยโมเดล”  ในพื้นที่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ หวัง "สร้างอมก๋อยน่าอยู่ คู่ป่าต้นน้ำ" ถ่ายทอดองค์ความรู้ การบริหารจัดการ เทคโนโลยี สนับสนุนเงินทุน และการตลาด มุ่งส่งเสริมการผลิตเพื่อการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน 


 



นายจอมกิตติ  ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือซีพี และผู้ช่วยบริหาร สำนักประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เปิดเผยว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมกับมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ตระหนักถึงความสำคัญของผืนป่าต้นนำที่เป็นแหล่งกำเนิดแม่น้ำลำธารตามธรรมชาติ จึงผนึกกำลังร่วมกับบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ อาทิ โลตัส แม็คโคร ทรู ซีพีเอฟ ฯลฯ และหน่วยงานภาครัฐ อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมป่าไม้ เดินหน้าแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี 2564-2568 “อมก๋อยโมเดล” เพื่อมุ่ง "สร้างอมก๋อยน่าอยู่ คู่ป่าต้นน้ำ" ด้วยการปกป้องรักษาป่าต้นน้ำในอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ บนพื้นที่เป้าหมาย 10,000 ไร่  ด้วยเกษตรกร 710 ครัวเรือน เพื่อสร้างกิจการเพื่อสังคม Social Enterprise (SE) ใน 6 วิสาหกิจชุมชน พร้อมสนับสนุนการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนใน 20 โรงเรียน ด้วยโมเดลการพัฒนาคุณภาพชีวิตและชุมชน ผ่านการสร้างอาชีพและรายได้ที่ยั่งยืน บนพื้นฐานชุมชนเข้มแข็ง เพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟู ป่าต้นน้ำ และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้คนอยู่กับป่าอย่างยั่งยืน 

 



โครงการอมก๋อยโมเดล เกิดจากดำริของ คุณสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ เครือซีพี ในฐานะรองประธานกรรมการมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของพื้นที่ป่าอมก๋อย ซึ่งพื้นที่ 99% เป็นป่าต้นน้ำ ดังที่มาของชื่อ อมก๋อย ที่มาจากคำว่า อำกอย เป็นภาษาเลอเวือะ หรือ ภาษาละว้า แปลว่า ขุนน้ำหรือต้นน้ำ โดยเป็นแหล่งต้นน้ำสำคัญ ทั้งลำน้ำแม่ต๋อม และลำน้ำแม่ตื่น ที่เคยอุดมสมบูรณ์ แต่ปัจจุบันกลับมีสภาพที่เสื่อมโทรม และยังนับเป็นการสนองแนวพระราชดำริ ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่พื้นที่อมก๋อยมีวิถีแห่งชาติพันธุ์ เพราะถือเป็นอำเภอที่มีชุมชนกระเหรี่ยงทำไร่หมุนเวียนมากที่สุดในประเทศไทย ซึ่งเกษตรกรยังขาดองค์ความรู้ การบริหารจัดการ เทคโนโลยี เงินทุน และการตลาด จึงเกิดแนวคิดในการผลิตเพื่อการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนบนที่สูง โดยให้ชุมชนเป็นตัวตั้ง พื้นที่เป็นตัวตาม แล้วซีพีเป็นตัวเติม ให้ชาวบ้านเข้าใจ เข้าถึง สู่การพัฒนา” นายจอมกิตติ กล่าว

 



นายจอมกิตติ  กล่าวเพิ่มเติมว่า  ปัจจุบันดำเนินตาม 3 แผนยุทธศาสตร์ ทั้ง ยุทธศาสตร์ 1 ปกป้องรักษาป่าต้นน้ำ ด้วยการปลูกป่าต้นต้นน้ำ เพื่อการอนุรักษ์ ด้วยการปลูกกาแฟใต้ร่มไม้ใหญ่ (Shade-grown Coffee) มีเป้าหมายพื้นที่ปลูกกาแฟรวม 1,000 ไร่ สำหรับในปี 2564 มีเป้าหมายส่งเสริมการปลูกจำนวน 130 ไร่ โดยดำเนินการในบ้านเกียนใหม่ ต.นาเกียน บ้านปิตุคี ต.ยางเปียง และบ้านยางเปียงใต้ ต.ยางเปียง โดยมีเกษตรกรร่วมโครงการ 72 ราย  พร้อมมีแผนสนับสนุนโรงแปรรูปกาแฟชุมชน จำนวน 1 โรง ในนามโรงแปรรูปวิสาหกิจชุมชน กาแฟใต้ร่มไม้ใหญ่ (Shade-grown Coffee) อมก๋อยโมเดล สนับสนุนโดยเครือซีพี ซึ่งถือเป็นกิจการเพื่อสังคม (SE) โดยมีเป้าหมายสร้างกำไรสุทธิ 10,000 บาท/ไร่ ส่วน ยุทธศาสตร์ 2 สร้างอาชีพรายได้ที่ยั่งยืน เกษตรมูลค่าสูง และกิจการเพื่อสังคม โดยในปี 2564 ดำเนินการส่งเสริมการสร้างอาชีพเสริมด้วยพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูง ได้แก่ ฟักทอง เพื่อจำหน่ายแก่โลตัส (LOTUS’s) และตลาดเครือข่าย โดยดำเนินการในพื้นที่บ้านผีปานเหนือ ต.นาเกียน มีเกษตรกรร่วมโครงการ จำนวน 15 ราย ซึ่งคาดว่าจะได้ปริมาณผลผลิตฟักทอง ประมาณ 64 ตัน ใน 32 ไร่ สามารถสร้างรายได้ให้กลุ่มเกษตรกร 960,000 บาท หรือประมาณ 64,000 บาท ต่อราย และยุทธศาสตร์ 3 สร้างชุมชนที่ยั่งยืน ด้วยโครงการข้าวไร่ 1-2-3 ในแปลงไร่หมุนเวียน เพื่อลดการทำไร่เลื่อนลอย ดำเนินการในบ้านปิตุคี ต.ยางเปียง จำนวน 2 ราย ควบคู่กับโครงการการศึกษา (ทรูปลูกปัญญา) โดยดำเนินการสนับสนุนอุปกรณ์การเรียนการสอนให้กับโรงเรียนในพื้นที่อำเภออมก๋อย เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ จำนวน 20 โรงเรียน

 

อมก๋อยโมเดล มุ่งสนับสนุนให้ "คนอยู่ร่วมกับป่า" อย่างสมดุล ผลักดันให้ "ธรรมชาติและระบบนิเวศน์ได้รับการฟื้นฟู" ด้วยการเพิ่มจำนวนต้นไม้ราว 850,000 ต้น บนพื้นที่ 10,000 ไร่ ช่วย "ลดการใช้สารเคมี" ในป่าต้นน้ำสำคัญ สนับสนุนการเกษตรแบบ "ไม่เผา" แก้ปัญหาหมอกควันไฟป่าภาคเหนือ สร้าง "เกษตรกรรมแบบยั่งยืน" ตั้งแต่ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ โดยส่งเสริมให้ "ชาวบ้านมีอาชีพรายได้ที่มั่นคง" มีรายได้สุทธิ 10,000 บาท/เดือน หรือ 120,000 บาท/ปี หรือ 45 ล้านบาท ภายใน10ปี เกิด "เศรษฐกิจโดยชุมชน" มูลค่า 136 ล้านบาท ภายใน 10 ปี ใน 710 ครัวเรือน ควบคู่กับการ "พัฒนาการศึกษา" ผ่านทรูปลูกปัญญา แก่ 20 โรงเรียน นักเรียน 3,380 คน ส่งเสริมให้เด็กนักเรียน สามารถดึงศักยภาพของตนเอง สู่การเป็น "เด็กดีและเด็กเก่ง" ทั้งหมดนี้เพื่อ "ตอบแทนคุณแผ่นดิน" สร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชนอย่างแท้จริง” นายจอมกิตติ กล่าวทิ้งท้าย./

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

CPF ร่วมงาน THAIFEX-ANUGA ASIA 2022 โชว์ 5 เทรนด์ "อาหารเพื่ออนาคต" ตอกย้ำศักยภาพ Food Tech Company หนุนการบริโภคที่ยั่งยืน

 


 

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมออกบูธในงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก THAIFEX-ANUGA ASIA 2022 ยกขบวน 5 เทรนด์อาหารเพื่ออนาคต ร่วมสนับสนุนวิถีการบริโภคที่ยั่งยืน สัมผัสประสบการณ์การเข้าชมบูธ CPF บนมาตรฐานใหม่ในรูปแบบ "ไฮบริด" ทั้งแบบชมสินค้าจริงที่บูธหมายเลข U01-U15 ที่ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 2 และแบบถ่ายทอดสด (Live Streaming) ทางออนไลน์ทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 24 ถึง 28 พ.ค. นี้

 



นายอาณัติ จุลินทร รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ ร่วมงาน THAIFEX-ANUGA World of Food Asia 2022  ซึ่งปีนี้จัดขึ้นในรูปแบบ “ไฮบริด” ผสมผสานทั้งการจัดงานในพื้นที่ (On Ground Trade Show) และงานแสดงสินค้าเสมือนจริง (Virtual Trade Show) ภายใต้แนวคิด “FOOD FOR THE NEXT DECADE”  เทรนด์อาหารเพื่ออนาคต โชว์ศักยภาพการขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็น "บริษัทอาหารแห่งอนาคต"  (Food Tech Company) ที่มุ่งมั่นประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงมาช่วยสร้างสรรค์อาหารที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ปลอดสาร มีคุณค่าทางโภชนาการ ด้วยกระบวนการผลิตที่ทันสมัย ยึดหลักสวัสดิภาพสัตว์ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมสุขภาพและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้บริโภคทั่วโลกที่มีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 10,000 ล้านคนภายในปี 2050 โดยในงานนี้ ซีพีเอฟจัดแสดง 5 เทรนด์อาหารนวัตกรรมอาหารเพื่ออนาคต ประกอบด้วย1.) ผลิตภัณฑ์เนื้อจากพืช แบรนด์ MEAT ZERO ที่ทำให้ “พืช...อร่อยแบบเนื้อสัตว์”  2.) ผลิตภัณฑ์กลุ่มของสด “ไก่เบญจา” และ “หมูชีวา” นวัตกรรมเนื้อไก่และเนื้อหมูที่เสริมด้วยโอเมก้า 3 และผลิตภัณฑ์อาหารแบรนด์ “CP SELECTION” ที่ยกระดับความปลอดภัย ปลอดสาร ด้วยนวัตกรรมโปรไบโอติก  3.) ผลิตภัณฑ์กลุ่มพร้อมรับประทาน ไปจนถึงเมนูข้าวแกง และเมนูเพื่อสุขภาพไฟเบอร์สูง-แคลอรีต่ำ 4.) ผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ แบรนด์ INNOWENESS เสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ลดอาการภูมิแพ้และหวัด พร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ Jelly BlackBit เยลลีที่ผสมสมุนไพร กระชายขาว วิตามินซี และวิตามินดี เสริมระบบภูมิคุ้มกัน และโซนที่ 5.) ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Cooking Helper ได้แก่ ซุป ซอส ผงปรุงรส ช่วยการปรุงอาหารเองที่บ้านสะดวกขึ้น

 





"ปีนี้ เนื้อจากพืช แบรนด์ Meat Zero ได้เป็นสุดยอดนวัตกรรมอาหารของงานนี้ ซึ่งคัดเลือกจากนวัตกรรมมากกว่า 500 ผลิตภัณฑ์ทั่วโลกที่ส่งเข้าประกวด  Meat Zero เป็น “พืชที่อร่อยเหมือนเนื้อ” ที่ช่วยตอบโจทย์การเพิ่มขึ้นของผู้บริโภคกลุ่ม Vegan และ Flexitarian มีจุดเด่นตรงลักษณะ รสชาติ กลิ่น และเนื้อสัมผัสเสมือนเนื้อสัตว์ มีทางเลือกให้ผู้บริโภคทั้งอาหารพร้อมทาน และอาหารพร้อมปรุงในราคาที่เข้าถึงได้ ที่สำคัญเป็นแบรนด์เนื้อจากพืชอันดับ 1 ของไทย รวมทั้งได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในต่างประเทศ ส่งผลให้ " นายอาณัติกล่าว

 



ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ Meat Zero ยังได้รับรางวัลชนะเลิศ BEST PLANT-BASED BRANDING จาก Root The Future Plant-Based Food Awards 2021 และรางวัลสุดยอดผู้ส่งออกด้านนวัตกรรมอาหารแห่งปี (The Export Initiative of the Year - Food) จากเวที The Asian Export Awards 2021 จัดโดย Manufacturing Asia สื่อชั้นนำด้านการส่งออกระดับภูมิภาคเอเชีย นอกจากตลาดฮ่องกงและสิงคโปร์ ซีพีเอฟยังส่ง Meat Zero ให้กับผู้บริโภคเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน และเตรียมส่งออกไปตลาดในยุโรปและสหรัฐอเมริกา พร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์เนื้อจากพืช และโปรตีนทางเลือกอื่นๆ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าเป็นแบรนด์ อันดับ 1 ของผลิตภัณฑ์เนื้อจากพืชในภูมิภาคเอเชีย และก้าวเป็น Top 3 ของตลาดโลกภายใน 3 ปีข้างหน้า

 

นอกจากนี้ ในแต่ละวัน ซีพีเอฟยังจัดกิจกรรมนำชมผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเด่นๆ รวมทั้งสาธิตการปรุงอาหารจากเชฟชั้นนำทุกวัน พร้อมถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊ค Fan Page : CPF  และเปิดโอกาสให้นักธุรกิจและผู้สนใจได้เยี่ยมชมสินค้าที่บูธแบบเสมือนจริง โดยลงทะเบียนที่ https://cpfvirtualexpo.com/  สำหรับเลือกซื้อสินค้า ตลอดจนนัดหมายเจรจาตกลงการค้าได้แบบไร้ขีดจำกัด

บูธ CPF เปิดทุกวันตั้งแต่ 24 – 28 พฤษภาคม 2565 ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น. และพลาดไม่ได้! กับสินค้าราคาพิเศษในวันจำหน่ายปลีก (Public Day) จัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2565  ซีพีเอฟพาเหรดสินค้าคุณภาพส่งตรงจากโรงงาน มาจำหน่ายในราคาพิเศษ พร้อมโปรโมชั่นแบบจัดเต็ม ที่บูธ CPF (U01-U15) ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 2 ศูนย์การค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี./

MEAT ZERO คว้ารางวัล 'THAIFEX-ANUGA Taste Innovation Show 2022' พร้อมเปิดตัวเมนูใหม่ 'ลาบทอด-มินิป๊อปจากพืช' อร่อยฟิน ต้องมีติดบ้าน

 



MEAT ZERO คว้ารางวัล 'THAIFEX-ANUGA Taste Innovation Show 2022' จากนวัตกรรม PLANT-TEC ผลิตภัณฑ์ที่มีรสสัมผัสเสมือนเนื้อสัตว์จริง พร้อมทั้งเปิดตัว 2 เมนู “ลาบทอดจากพืชและมินิป๊อปจากพืช” ของว่างอร่อยอย่างเนื้อ

 



แบรนด์ MEAT ZERO (มีทซีโร่) ผู้นำด้านนวัตกรรมเนื้อจากพืช (Plant-Based) จาก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ได้รับรางวัล "THAIFEX-ANUGA Taste Innovation Show 2022" ในงาน Thaifex-Anuga World of Food Asia 2022 จากนวัตกรรม PLANT-TEC ที่ CPF RD Center มุ่งมั่นพัฒนาร่วมกับศูนย์วิจัยชั้นนำระดับโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และไต้หวัน เป็นระยะเวลามากกว่า 4 ปี เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีรสสัมผัสเสมือนเนื้อสัตว์จริง ทั้งลักษณะและกลิ่น ตลอดจนให้คุณค่าทางโภชนาการสูง ปราศจากคอเลสเตอรอล และไฟเบอร์สูง นอกจากนี้ ยังเปิดตัวเมนูใหม่ “ลาบทอดจากพืชและมินิป๊อปจากพืช” ของว่างอร่อยอย่างเนื้อ ที่จะมาเปลี่ยนมื้อเดิมๆ ให้สนุกและเพลิดพลิน เอาใจลูกค้ากลุ่มมังสวิรัติยืดหยุ่น (Flexitarian) ลดการรับประทานเนื้อสัตว์ ตลอดจนกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่รักสุขภาพและใส่ใจสิ่งแวดล้อม

 


นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านการตลาดกลาง ซีพีเอฟ กล่าวว่า การได้รับรางวัล THAIFEX-ANUGA Taste Innovation Show 2022 ถือเป็นความภาคภูมิใจของบริษัทฯ เพราะแบรนด์ MEAT ZERO เริ่มเปิดตัวเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา เป็นผลิตภัณฑ์ที่ซีพีเอฟมุ่งมั่นวิจัย ทำให้พืชออกมาเสมือนเนื้อสัตว์มากที่สุด จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง พบว่า ให้ความรู้สึกเสมือนรับประทานเนื้อสัตว์จริง จากนั้นจึงต่อยอดเป็นอาหารหลากหลายเมนูในราคาที่ผู้บริโภคทุกกลุ่มเข้าถึงได้ 

 





"ขอขอบคุณผู้บริโภคที่เลือก MEAT ZERO มาเติมเต็มมื้ออร่อย ปัจจุบัน มีจำหน่ายในต่างประเทศแล้ว ได้แก่ สิงคโปร์ และฮ่องกง ซึ่งภายในนี้ จะขยายตลาดออกไปอย่างน้อย 8 ประเทศ อาทิ เกาหลี ญี่ปุ่น จีน เวียดนาม มาเลเซีย อังกฤษ เยอรมนี สหรัฐอเมริกา เป็นต้น เพื่อก้าวสู่การเป็นแบรนด์เนื้อจากพืชอันดับ 1 ของเอเชีย ภายใน 3 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ซีพีเอฟ พร้อมพัฒนาเมนูที่ทำจาก Plant-Based เพื่อเพิ่มความหลากหลายในการเลือกรับประทาน รองรับความต้องการของคนทุกกลุ่ม และเอาใจผู้บริโภคที่สนับสนุน MEAT ZERO เป็นอย่างดีมาโดยตลอด" นางสาวอนรรฆวี กล่าว

 


ผลิตภัณฑ์เนื้อจากพืช MEAT ZERO ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคคนไทย หลังจากเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม 2564 จนกลายเป็นแบรนด์เนื้อจากพืชอันดับ 1 ของไทยอย่างรวดเร็ว การันตีด้วยรางวัลชนะเลิศ BEST PLANT-BASED BRANDING จาก Root The Future Plant-Based Food Awards 2021 จากผลคะแนนโหวตของผู้บริโภค และยังคว้ารางวัล "ผู้ส่งออกด้านนวัตกรรมอาหารแห่งปี 2021" (The Export Initiative of the Year - Food) จากเวที The Asian Export Awards 2021 จัดโดย Manufacturing Asia สื่อชั้นนำด้านการส่งออกระดับภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นผลสำเร็จจากการคิดค้นนวัตกรรม PLANT-TEC หรือเทคนิคการสร้างรสสัมผัสเสมือนเนื้อสัตว์จริง./

“วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” เทศกาลสัตว์น้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

  เปิดประสบการณ์ความมหัศจรรย์ของโลกใต้น้ำกับ FISHTIVAL 2025   ที่ยกทัพพาเหรดสัตว์น้ำกว่า 3,000 ตู้ ในงาน “วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” ...