โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
ร่วมกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดเสวนา
“นวัตกรรมการอำนวยความยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชน”
ภายใต้แผนงานขยายผลการวิจัยสู่การปฏิบัติเพื่อการเปลี่ยนแปลงการอำนวยความยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
ศาสตราจารย์
พลตำรวจตรีหญิง ดร.พัชรา สินลอยมา ที่ปรึกษาคณะตำรวจศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
และผู้บริหารจัดการโครงการวิจัย กล่าวว่า การเสวนาครั้งนี้
เป็นการเสนอแก้ไขกฏหมายและมาตรการพิเศษในการดูแลเด็กและเยาวชน จะมีการจัดทำคู่มือบูรณาการร่วมกัน
กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้หลักนิติวิทยาศาสตร์ มาใช้ลดการแก้ปัญหายาเสพติด
ร่วมกับภาคีเครือข่ายในการใช้หลักสูตรฝึกอบรมอาชีพ ปี 2563
กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน รายงานสถิติการกระทำผิดของเด็กและเยาวชนประจำปี
พบว่ามีจำนวนถึง 19,470 คดี คดีส่วนใหญ่เป็นฐานความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จำนวน
9,600 คดี หรือคิดเป็นร้อยละ 49.31 ของคดีทั้งหมด
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ
หรือ วช. ร่วมกับโรงเรียนนายร้อยตำรวจขับเคลื่อนนวัตกรรมยุติธรรมท้าทายไทย
ภายใต้แผนงานขยายผลการวิจัยสู่การปฏิบัติเพื่อการเปลี่ยนแปลงการอำนวยความยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
ทั้งการเปลี่ยนแปลงในเชิงกฎหมายที่จะเกิดการบูรณาการเครือข่ายผู้บังคับใช้กฎหมายในการอำนวยความยุติธรรมแก่เด็กและเยาวชนโดยมุ่งประโยชน์สูงสุดของตัวเด็กและเยาวชนเป็นสำคัญ
ควบคู่ไปกับการประยุกต์ใช้มาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญา
ตลอดจนการประยุกต์ใช้กระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ให้มีบทบาทสำคัญในกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นรูปธรรม
การสร้างความยั่งยืนให้กับกระบวนการคืนเด็กดีสู่สังคมไม่ให้หวนกลับมากระทำผิดเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของคนในสังคมในการให้โอกาสเด็กและเยาวชนเหล่านี้ให้มีพื้นที่จุดยืน
มีอาชีพสุจริต หรือมีแนวทางการดำเนินชีวิตที่มีคุณภาพตามครรลองของสังคมปกติ
ผลการดำเนินงานได้เกิดการเปลี่ยนแปลงการอำนวยความยุติธรรมแก่เด็กและทั้งในมิติทางกฎหมายที่เกิด
SOP ด้านการปฏิบัติต่อเด็กกระทำความผิดซึ่งมีอายุไม่เกิน
12 ปี หรือการใช้กระบวนการไกล่เกลี่ยมาเป็นกลไกสำคัญในการหันเหคดีเด็กและเยาวชนออกจากกระบวนการยุติธรรมกระแสหลักเพื่อสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม รวมทั้งด้านนิติวิทยาศาสตร์เกิดโปรแกรม JUDA มีระบบฐานข้อมูลการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนที่แยกออกจากฐานข้อมูลของผู้ใหญ่
เพื่อใช้งานในระดับสถานีตำรวจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สอดรับกับการพัฒนาเทคนิคการตรวจสารเสพติดทางเส้นผม
ขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือของ 4 หน่วยงานใหญ่ ได้แก่
ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กรมคุมประพฤติ
และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์
“การเสวนาครั้งนี้เป็นการเผยแพร่ผลงานวิจัย
และนวัตกรรม โดยมีการเสนอมาตรการพิเศษ
รวมทั้งในการนำเสนอการแก้ไขกฏหมายเพื่อดูแลเด็กและเยาวชน รวมทั้ง จัดทำคู่มือ
ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และนวัตกรรมพิเศษ
ที่จะดูและไม่ให้เด็กและเยาวชน หันกลับ ไปกระทำผิดซ้ำอีก นอกจากนี้ยังมีจะมีการบูรณาการ
ในการกำหนดหลักสูตร ที่การฝึกอบรมการสร้างอาชีพเพื่อสร้างหลักความมั่นคง
และเป็นการเตรียมพร้อม ก่อนกลับคืนสู่สังคม
โดยจะร่วมกับภาคเอกชน
และสถานการประกอบการต่าง ๆ เพื่อฝึกอบรม
และเตรียมก่อนกลับสู่สังคมหลังพ้นโทษ ด้วย ทำอย่างไรไม่ให้ไป สู่กระบวนการยุติธรรมหรือไม่กลับไปสู่กระบวนการยุติธรรมอีก”ศาสตราจารย์
พลตำรวจตรีหญิง ดร.พัชรา กล่าวย้ำ
ดร.วิภารัตน์
ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า วช. พร้อมผลักดันการวิจัยเพื่อแก้ปัญหาสังคม
เพราะถือเป็นความท้าทาย รวมทั้งการวิจัยเพื่อให้เกิดการเรียนรู้
ตลอดจนเกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและต่อยอด
สร้างมาตรการสำหรับการผสมผสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน
ภาคประชาสังคม และชุมชน
ในการป้องกันเด็กและเยาวชนที่ไม่เคยกระทำผิดไม่ให้เป็นผู้กระทำผิดรายใหม่
รวมถึงขยายผลนวัตกรรมการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของการอำนวยความยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนสู่การประยุกต์ใช้ในเชิงปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
และจะเป็นต้นแบบในการขยายผลการใช้นวัตกรรมนี้ในหน่วยงานอื่น ๆ ต่อไป
นายประกอบ
ลีนะเปสนันท์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง กล่าวว่า
ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง
เป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องการพิจารณาคดีเป็นหลักและยังเป็นหน่วยงานที่ดูแลศาลเยาวชนฯทั่วราชอาณาจักร
ที่ผ่านมาศาลฯพบข้อมูลว่ามีผลงานวิจัยและนวัตกรรมในการที่จะมีการตรวจสอบสารเสพติดจากเส้นผมได้
ซึ่งมีความแม่นยำสูง ของหน่วยงานนิติวิทยาศาสตร์และกรมพินิจฯ จึงขอเข้ามามีส่วนร่วมกันในการทำงานร่วมกัน เพื่อตรวจสารเสพติดจากเส้นผม
กรณีที่ขึ้นสู่คดีในชั้นศาล โดยจะมีการตรวจสอบทั้งหมด
ไม่ใช่เฉพาะคดียาเสพติเพียงอย่างเดียว
เพราะผู้ต้องหาบางส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ไม่ว่าจะเป็นคดีหลักทรัพย์
พบว่ามีสารเสพติดในร่างกาย
ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ยาเสพติดเป็นรากฐานที่ทำให้เด็กก่อคดี
ขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หากมีการตรวจยาเสพติดโดยนวัตรกรรมสามารถตรวจสอบสารตกค้างได้ย้อนหลังกว่า
3 เดือน จะทำให้ระงับยับยั้งการเสพยาเสพติดในเด็กได้อย่างต่อเนื่อง
เพราะหลักฐานจะปรากฏชัดเจน มีผลในการพิจรณาคดีทันที
เดิมเด็กจะเสพยาต่อเนื่องเพราะคิดว่าตรวจไม่เจอ
ทั้งนี้สามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด แม้แต่กระท่อม และกัญชา ในอนาคตคาดว่า
จะมีการตรวจย้อนหลังสารเสพติดได้กว่า 6
เดือนทำให้เด็กลดการใช้ยาเสพติด
นอกจากนี้จะมีการขยายการตรวจสอบสารเสพติดในเส้นผมในศาลพื้นที่รอบกรุงเทพ
และพื้นที่ที่คาดว่า มีผู้ต้องหาคดียาเสพติด โดยในงบประมาณหน้า
จะเสนอให้มีการตรวจสอบยาเสพติดในเส้นผมในศาลทั่วประเทศ
////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น