คนเลี้ยงหมูแฉ ขบวนการปั่นราคาปล่อยข่าวลวง ซ้ำเติมเกษตรกร ย้ำหนุนรัฐลดค่าครองชีพประชาชนต่อเนื่อง
นายสุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์
นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีขบวนการปั่นราคาหมู
และให้ข้อมูลข่าวสารด้านเดียวว่าราคาเนื้อหมูหน้าเขียงมีราคาสูงถึง 250
บาทต่อกิโลกรัม เพื่อหวังให้เกิดกระแสสังคมและใช้หลักจิตวิทยา
มากดดันให้เกษตรกรผู้เลี้ยงขายหมูมีชีวิตในราคาต่ำกว่าราคาประกาศของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ
รวมทั้งอาจมีวัตถุประสงค์แอบแฝงอื่น อาทิ การหากำไรกับส่วนต่าง
หรือเพื่อชี้เป้าให้พาณิชย์จังหวัดออกมาดูแลราคาหมูหน้าฟาร์ม
ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้นราคาจำหน่ายไม่ได้สูงดังที่กล่าว ยกตัวอย่างในพื้นที่ภาคเหนือที่ขาดแคลนเนื้อหมูอย่างรุนแรง
ราคาจำหน่ายเนื้อหมูในช้อปหรือร้านค้าจำหน่ายทั่วไปยังอยู่ที่กิโลกรัมละ 160
กว่าบาทเท่านั้น ที่สำคัญเกษตรกรยังคงแบกรับภาระต้นทุนที่สูงกว่า 98.81
บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ราคาขายเพิ่งจะแตะ 98-100 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
จากผลพวกของปัญหาโรค ASF ในหมู
และภาวะต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นทุกด้าน รวมแล้วปรับขึ้นกว่า 30-40%
ทั้งค่าการจัดการป้องกันโรคที่เข้มงวด ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น
และอากาศแปรปรวนที่ส่งผลให้อัตราหมูเสียหายเพิ่มขึ้น ซึ่งล้วนแล้วแต่กระทบกับการผลิตหมูทั้งสิ้น
“ในขณะที่เกษตรกรยังต้องรับภาระขาดทุน
และอยู่ในช่วงที่ยากลำบากที่สุดในอาชีพ กลับมีขบวนการปั่นราคารอล่วงหน้า
ขบวนการนี้ได้ให้ข้อมูลและปั่นกระแสไว้ก่อนหน้าแล้ว ว่าราคาหมูหน้าเขียงขึ้นไป 250
บาท ทั้งๆที่ราคาหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มเพิ่งจะพ้นต้นทุนมาไม่กี่วัน
และภาคผู้เลี้ยงทั่วประเทศยังคงให้ความร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
ในการดูแลค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชน
ด้วยการร่วมกันจัดจำหน่ายหมูเนื้อแดงในห้างโมเดิร์นเทรด จัดรายการอยู่ที่ราคา
150-160 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้บริโภค
ส่วนในช้อปจำหน่ายหมูและตลาดสดราคาอยู่ที่ 170-190 บาทต่อกิโลกรัม
แตกต่างกันไปตามแต่อุปสงค์-อุปทานของแต่ละพื้นที่
ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สมเหตุสมผลกับทุกฝ่าย ทั้งผู้เลี้ยง ผู้ขายหน้าเขียง
และผู้บริโภค แม้ว่าเกษตรกรทุกคนจะมีค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงที่สูงมากขึ้นจากหลากหลายปัจจัย
แต่ก็ยังคงช่วยกันประคับประคองไม่ให้กระทบกับผู้บริโภค
ขอให้ประชาชนและภาครัฐเข้าใจ ขอให้กลไกตลาดทำงาน
และเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาราคาดังเช่นที่ผ่านมา” นายสุนทราภรณ์ กล่าว
นายยกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ กล่าวย้ำว่า
ปัจจุบันอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูของไทย ยังคงมีผู้เลี้ยงที่หลากหลาย
ประกอบไปด้วยเกษตรกรรายเล็ก รายกลาง และรายใหญ่
รวมแล้วกว่าแสนรายที่ร่วมกันรักษาอาชีพเลี้ยงหมูเอาไว้
ส่วนการปรับราคาสินค้าเป็นไปตามกลไกตลาด และสะท้อนต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
ไม่ได้ทำตามอำเภอใจ หรือกำหนดโดยใครได้ วันนี้เกษตรกรเพียงแค่พออยู่ได้บ้าง
ที่สำคัญปริมาณหมูที่มีไม่มากจากที่หายไปกว่า 50% เนื่องจากผลกระทบของ ASF ก็ล้วนอยู่ในมือเกษตรกรทั้งสิ้น
ตอนนี้สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการคือการเพิ่มปริมาณผลผลิตโดยเร็วที่สุด
หลายฟาร์มใช้วิธีนำหมูขุนตัวเมียมาเป็นแม่พันธุ์
แม้จะรู้ว่าประสิทธิภาพการผลิตที่ไม่ดี จำนวนลูกแรกคลอดน้อยกว่ามาตรฐาน
แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีลูกหมูเข้าเลี้ยง ทั้งหมดนี้คือต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของเกษตรกร
เมื่อปริมาณหมูไม่เพียงพอกับการบริโภค ราคาจึงปรับตามกลไกตลาด
แต่เมื่ออุปสงค์สมดุลกับอุปทาน ราคาก็จะปรับตัวได้เอง โดยไม่ต้องมีการควบคุมราคา
หรือใช้วิธีนำเข้าหมูมาบิดเบือนตลาดแต่อย่างใด./
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น