เกษตรกรใต้ ชี้หมูออกน้อย-ข้าวโพดขาดแคลน-น้ำมันแพงซ้ำ ทำต้นทุนขยับ ย้ำคนเลี้ยงรักษาราคาตามกลไก
นายปรีชา
กิจถาวร นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ เปิดเผยถึงสถานการณ์การผลิตสุกรในขณะนี้ว่า
จากผลกระทบของความกังวลต่อภาวะโรค ASF ในสุกร ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรที่เคยมีมากถึง 2
แสนรายทั่วประเทศ ลดลงไปมากกว่าครึ่ง เหลือเพียง 1
แสนรายเท่านั้น ส่งผลต่อประชากรสุกรทั้งแม่พันธุ์ ลูกสุกร และสุกรขุน หายไปมากกว่า
50% ขณะเดียวกัน
สภาพอากาศแปรปรวนร้อนจัดสลับฝนตกในหลายพื้นที่ ทำให้สุกรปรับตัวไม่ได้
เกิดความเสียหายในทุกช่วงอายุ กลายเป็นวิกฤติซ้ำเติม
ส่งผลให้ปริมาณสุกรออกสู่ตลาดลดลงยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งยังมีปัจจัยเสริมที่ทำให้ต้นทุนการผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างหนัก
จากการขาดแคลนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เป็นวัตถุดิบหลักในอาหารสำหรับสัตว์
รวมทั้งราคา กากถั่วเหลืองนำเข้า รำ ข้าว ฯลฯ ที่ปรับขึ้น
รวมแล้วทำให้ต้นทุนสูงส่วนนี้ขึ้นไปประมาณ 30-40%
และการที่รัฐบาลลอยตัวราคาน้ำมันดีเซล กลายเป็นภาระต้นทุนทั้งในภาคการเลี้ยงสัตว์และภาคขนส่ง
"เกษตรกรขอความเข้าใจจากผู้บริโภค
การที่ผู้เลี้ยงจำเป็นต้องปรับราคาหมูมีชีวิตหน้าฟาร์ม
เป็นไปตามกลไกตลาดที่เกิดขึ้นจริงในขณะนี้ ที่ปริมาณหมูมีชีวิตออกสู่ตลาดลดลงไปมาก
ประมาณ 10-20% จากช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซ้ำยังมีต้นทุนอื่นๆเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ราคาขึ้นไปแตะ 13
บาทต่อกิโลกรัมแล้ว
ขณะที่น้ำมันปาล์มเป็นส่วนหนึ่งของวัตถุดิบในการผลิตอาหารเลี้ยงสัตว์ก็ปรับราคาขึ้นแล้ว
ต้นทุนส่วนนี้จึงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
และอีกต้นทุนสำคัญอย่างน้ำมันดีเซลที่ใช้เดินมอเตอร์พัดลมในฟาร์ม
และในภาคขนส่งก็ปรับขึ้นอีก ซึ่งคาดว่าที่สุดแล้วอาจขึ้นไปชนเพดานราคาที่ 35 บาทต่อลิตร กลายเป็นวิกฤติที่มีผลต่อต้นทุนการเลี้ยงหมูอย่างมาก
อย่างไรก็ตามเกษตรกรทั่วประเทศ ยังคงให้ความร่วมมือกับภาครัฐ
ในการร่วมดูแลค่าครองชีพประชาชนในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ต่อไป
และสมาคมผู้เลี้ยงสุกรทุกภูมิภาค ยังคงร่วมมือกับกรมปศุสัตว์และผู้เชี่ยวชาญ
ในการเดินหน้าให้ความรู้แก่เกษตรกรรายย่อยทั่วประเทศ
เพื่อให้เกษตรกรสามารถเลี้ยงหมูได้อย่างมั่นใจ
เพื่อเติมซัพพลายให้กลับมาสู่ระบบได้ตามที่ภาครัฐตั้งเป้าไว้" นายปรีชากล่าว
ทั้งนี้
ในส่วนของการแก้ปัญหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ขาดแคลนนั้น
แม้ล่าสุดคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.)
ได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณายกเว้นมาตรการ 3:1 เป็นการชั่วคราว (เดือนพฤษภาคมถึง 31 กรกฎาคม 2565)
และเพิ่มโควต้าการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเดิม 54,700 ตัน เป็นไม่เกิน 600,000 ตัน
(ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึง 31 กรกฎาคม 2565) หากแต่มาตรการดังกล่าวไม่ได้ช่วยผ่อนคลายสถานการณ์ต้นทุนการผู้เลี้ยงสุกรได้
เพราะเกษตรกรยังคงรับภาระ ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน
และการเร่งฟื้นฟูการเลี้ยงหลังพบโรค ASF ซึ่งต้องใช้ต้นทุนด้านการป้องกันโรคมากกว่า
300 บาทต่อตัว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น