วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2565

ซีพี-ซีพีเอฟ รวมพลังอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าชายเลน ร่วมส่งเสริมคุณภาพชีวิตชาวชุมชนท่าพริก จ.ตราด

 




ซีพี-ซีพีเอฟ รวมพลังอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าชายเลน ร่วมส่งเสริมคุณภาพชีวิตชาวชุมชนท่าพริก จ.ตราด

 

บรรยากาศที่ป่าชายเลนพื้นที่ ต.ท่าพริก อ.เมือง จ.ตราด วันนี้ คึกคักเป็นพิเศษ เพราะที่นี่เป็นจุดหมายของกิจกรรม ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ ภายใต้โครงการ อนุรักษ์และฟื้นฟูป่า “ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน” ที่ชาวตำบลท่าพริก ร่วมกับบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ตกลงร่วมกันในการ Kik off กิจกรรมเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลน ทั้งการปลูกป่าชายเลน ปล่อยปลา และปูดำ เพื่อเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ สร้างแหล่งอาหารของชุมชนอย่างยั่งยืน เน้นสร้างพื้นที่ไม้ป่าชายเลนเหมือนธรรมชาติ บนพื้นที่ 1,300 ไร่

 





โดยมี นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด เป็นประธานเปิดกิจกรรมร่วมกับ นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ ซีพี-ซีพีเอฟ ที่นำคณะผู้บริหารในเครือฯ ทั้งนายอดิเรก ศรีประทักษ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร นายพงษ์ วิเศษไพฑูรย์ ประธานกรรมการกลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ เขตประเทศอินเดีย น.สพ.สุจินต์ ธรรมศาสตร์ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจสัตว์น้ำ ซีพีเอฟ พร้อมด้วย นายศิริชัย มาโนช ที่ปรึกษาอาวุโสเครือซีพี นายเบญจมินทร์ เจียรวนนท์ ที่ปรึกษาโครงการคณะทำงานปฏิบัติการป่าชายเลนภาคตะวันออก (ตราด) และ มล.อนุพร เกษมสันต์ รองกงสุลกิตติมศักดิ์รัสเซีย ร่วมกับชาวชุมชน หน่วยราชการ และชาวซีพีเอฟจิตอาสาเดินหน้ากิจกรรมสร้างสรรค์สังคมและสิ่งแวดล้อม

 

นายวิทวัส สุวรรณ กำนันตำบลท่าพริก กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างซีพีเอฟและชาวชุมชนท่าพริกในครั้งนี้มีจุดเริ่มต้น จากปี 2563 เราได้ประชุมร่วมกันว่าจะมีการพัฒนาพื้นที่ป่าชายเลนของชุมชน เพราะพื้นที่ตรงนี้ส่วนใหญ่ถูกปกคลุมด้วยไม้ยืนต้น กระจายไม่หนาแน่น มีทุ่งปรงไข่ และแอ่งน้ำกระจายเป็นหย่อมๆ ลักษณะการกระจายพันธุ์เกิดจากเมล็ดไม้ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ไหลมาตามกระแสน้ำขึ้น น้ำลง พันธุ์ไม้เด่นในพื้นที่ คือ ตาตุ่มทะเล ฝาดดอกแดง ถั่วขาว หลุมพอทะเล เป็นต้น การอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลน ทำให้เกิดประโยชน์ทั้งในด้านการเป็นแหล่งอาหาร เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำและสัตว์วัยอ่อน เพิ่มออกซิเจนให้กับโลก นำธรรมชาติที่สมบูรณ์กลับคืนมา โดยชาวซีพีเอฟและชาวชุมชนจะร่วมมือกันปลูกไม้ชายเลนให้เต็มพื้นที่ต่อไป

 

ด้าน นายไพโรจน์ อภิรักษ์นุสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจสัตว์น้ำ ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการยุทธศาสตร์ป่าชายเลน ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม มุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางอาหาร ภายใต้วิสัยทัศน์ “ครัวของโลก” โดยกำหนดกลยุทธ์ 3 เสาหลัก ขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน คือ อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน และดินน้ำป่าคงอยู่ จึงให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมดูแลสมดุลระบบนิเวศ เพิ่มพื้่นที่สีเขียวให้กับประเทศไทย ดำเนินโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำและป่าชายเลน ภายใต้แนวคิด “จากภูผา สู่ป่าชายเลน” โดยซีพีเอฟดำเนินโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลน “ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน” มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2557 ช่วยอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนรวม 2,388 ไร่ ปัจจุบันเข้าสู่ระยะที่สองของโครงการ และครั้งนี้มีเป้าหมายอนุรักษ์และฟื้นฟูป่ารวมมากกว่า 1,300 ไร่ นอกจากนี้ บริษัทยังได้ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชน ในพื้นที่ที่เราเข้าไปอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลน เพื่อให้ชุมชนและป่าอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย

 






นอกจากกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมแล้ว คณะของผู้ว่าราชการจังหวัดตราด และคณะผู้บริหารซีพีเอฟ ยังเข้าเยี่ยมชมความสำเร็จของ วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านธรรมชาติล่าง ตำบลคลองใหญ่ อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด และ วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยววิถีชุมชนตำบลปากน้ำประแส  อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ที่ได้รับการสนับสนุนจากซีพีเอฟ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของท้องถิ่น

 

นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์  ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด  กล่าวว่า ความร่วมมือกันของภาครัฐ ชุมชน และภาคเอกชนอย่างซีพีเอฟ  ทำให้ชุมชนบ้านธรรมชาติล่าง เป็นต้นแบบของการพัฒนาชุมชนร่วมกันที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาหลายปี กระทั่งเป็นที่รู้จัก โดยเฉพาะเรื่อง Eco-Print เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ซีพีเอฟให้การสนับสนุน ด้วยการทำผ้า 3 ป่า จากป่าภูเขา ป่าสมุนไพร และป่าชายเลน นำมาทำผ้ามัดย้อมจากวัสดุธรรมชาติ ตามเป้าหมายคือ การทำขยะให้เป็นทองคำ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของจังหวัด ด้านบริหารจัดการและอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม “ตราดรักษ์โลก รักษ์สิ่งแวดล้อม” ตลอดจนสนับสนุนวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านธรรมชาติล่าง การทำปุ๋ยนาโน และน้ำดื่มชุมชน ส่วนกิจกรรมปลูกป่าชายเลน ฟื้นฟูธรรมชาติ ปลูกป่าในหัวใจคน ทำให้คนตราดรักธรรมชาติเพราะจังหวัดตราดขายธรรมชาติให้นักท่องเที่ยว การพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมชุมชนมีส่วนสำคัญยิ่ง ขณะที่องค์ความรู้ที่ได้รับจากซีพีเอฟ ช่วยสนับสนุนให้ประสบความสำเร็จ กลายเป็น Best Practice และสามารถขยายผลออกไปได้กับชุมชนอื่นๆต่อไป

 



นายทองหล่อ วรฉัตร ประธานวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านธรรมชาติล่าง ที่นำทีมงานมาร่วมจัดนิทรรศกาล ทั้งการผลิตปุ๋ยหมักชีวภาพนาโน กิจกรรมมัดย้อม 3 ป่า “จากฟากฟ้า สู่ภูผา และมหานที” การทำสมุนไพรลูกประคบ และศูนย์การเรียนรู้การบริหารจัดการนำขยะจากบ้านเรือนและขยะชายหาดมาสร้างประโยชน์ กล่าวว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้นทั้งหมดต้องขอบคุณทางซีพีเอฟ ที่ช่วยสนับสนุนทุกๆด้าน ทั้งบุคลากรที่มาให้ความรู้ร่วมกันพัฒนา งานด้านวิชาการ และด้านการตลาด ช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ และรายได้อย่างน่าพอใจ สมาชิกวิสาหกิจชุมชนฯ ทุกๆคนรู้สึกอบอุ่นใจเมื่อมีบริษัทเข้ามาจับมือกันเดินหน้าทำให้เห็นผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นจริง เพราะพวกเรามีกำลังน้อยแต่เมื่อซีพีเอฟสนับสนุนก็ได้มีกำลังใจในการทำงานมากขึ้น เริ่มจากกิจกรรมแรกเรื่องการทำปุ๋ยเมื่อปี 2557 แล้วพัฒนาต่อยอดสู่กิจกรรมต่างๆ และขอขอบคุณ “สุวรรณลักษณ์ รีสอร์ท” ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ให้เป็นที่ตั้งของวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านธรรมชาติล่าง ให้ใช้พื้นที่ในการเป็นศูนย์เรียนรู้ของนักเรียน นักศึกษา หน่วยงานราชการ ภาคเอกชน ที่เข้ามาดูงานแล้วกว่า 2,000 คน สร้างความภาคภูมิใจให้กับสมาชิกทุกคน

 



ทางด้าน นางดวงฤดี ขวัญนิยม ประธานวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยววิถีชุมชน ตำบลปากน้ำกระแส อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ที่มาร่วมถ่ายทอดความสำเร็จของกลุ่มเช่นกัน กล่าวว่า จากจุดเริ่มต้นที่ซีพีเอฟเข้ามาร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูผืนป่าชายเลนที่ปากน้ำกระแส ร่วมกับชาวชุมชน เมื่อปลายปี 2561 เข้าไปช่วยท้องถิ่นปลูกป่าชายเลน  ช่วยสนับสนุนการพัฒนา "การท่องเที่ยวโดยชุมชน" ในพื้นที่ป่าชายเลนปากน้ำประแส ที่เกิดจากชาวบ้านร่วมกันบริหารจัดการ เมื่อบริษัทเข้ามามีส่วนร่วมและช่วยต่อยอด รวมถึงช่วยทำเอกสารในการประเมินมาตรฐานของภาครัฐ รวมถึงซีพีเอฟร่วมกับ local alike เข้ามาช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวชุมชน เป็นโอกาสในการพัฒนาให้การท่องเที่ยวกลายเป็นรายได้เสริมให้กับชาวชุมชน นำผลิตภัณฑ์ชุมชน ทั้งน้ำปลา ชาใบขลู่ กะปิหวาน ปลากรอบ ฯลฯไปจำหน่าย โดยทุกคนที่เข้าร่วมจะหักรายได้ 10% สมทบกลุ่ม เพื่อนำไปใช้สาธารณประโยชน์ และทำถุงยังชีพ มอบให้กลุ่มเปราะบางในชุมชน คนชรา คนพิการด้วย

 

ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของการเดินหน้ากิจกรรมเพื่อสังคม ที่ซีพีเอฟให้การสนับสนุนให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ที่บริษัทเข้าไปดำเนินธุรกิจ ในฐานะส่วนหนึ่งของชุมชน ขณะเดียวกันยังดำเนินการฟื้นระบบนิเวศป่าชายเลนให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ เกิดความหลากหลายทางชีวภาพทั้งพันธุ์พืชและสัตว์น้ำ และชุมชนโดยรอบสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่ได้รับการฟื้นฟู ส่งเสริมให้คนในพื้นที่อยู่ร่วมกับป่าและพึ่งพาตนเอง ยกระดับเศรษฐกิจ สังคม และดูแลสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อย่างยั่งยืน./

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2565

"ณศร ออสุวรรณ" กับแนวคิด นักบริหารรุ่นใหม่ ตำแหน่ง ประธานฯ ชสท.

 



"ณศร ออสุวรรณ" กับแนวคิด นักบริหารรุ่นใหม่ ตำแหน่ง ประธานฯ ชสท.

..........................................

             นายณศร ออสุวรรณ นักบริหารรุ่นใหม่ผู้นั่งตำแหน่งประธานกรรมการฯ ชุดที่ 45 ของ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย(ชสท.) หลัง ได้รับความไว้วางใจจากการเลือกตั้งในที่ประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 2564  เปิดใจถึงแนวคิดและแผนอนาคตในการทำหน้าที่ดูแลส่งเสริมสหกรณ์การเกษตรทั่วประเทศซึ่งเป็นสมาชิกของชุมนุมฯ รวมถึงการสร้างเครือข่ายกระจายผลผลิตทางการเกษตรให้แข็งแกร่งเติบโตเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ของการก่อตั้ง นั้นคือส่งเสริมให้สหกรณ์สมาชิกดำเนินกิจการร่วมกัน และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตามวิธีการสหกรณ์ที่ไม่หวังผลกำไร เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สหกรณ์และสังคมส่วนรวมทั้งทางเศรษฐกิจ และสังคม ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรฯ เจริญเติบโตอย่างมั่นคง ผลงานเป็นที่ยอมรับของทั้งภาครัฐและสหกรณ์ และตั้งเข็มทิศชัดเจนในการมุ่งทำให้ “ ชสท.เป็นศูนย์กลางความร่วมมือของสหกรณ์การเกษตรที่ให้บริการแก่สมาชิกอย่างครบวงจร “



       นายณศร ออสุวรรณ เปิดเผยถึง บทบาทด้านต่างๆ ที่จะนำพาชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยให้ก้าวไกลยิ่งขึ้นรวมถึงเป็นที่พึ่งพาของสมาชิก ประกอบด้วยภารกิจหลายด้าน

1.   บทบาทการส่งเสริมสหกรณ์เกษตร โดยหยิบยกเอาเครื่องมือ ที่เรียกว่า “ปฏิทินผลไม้” มาใช้เป็นตัวกำหนดแผนในการกระจายผลผลิต รวมถึงวางแผนการตลาดให้เหมาะสมในแต่ละภูมิภาคที่มีผลผลิตต่างกันไปและลักษณะเฉพาะตัว ปฏิทินผลไม้ทำให้รู้ ช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวและเตรียมแผนงานการกระจายได้อย่างทันท่วงทีและเหมาะสม นอกเหนือจากนั้น ทางชุมนุมฯ กำหนดการตลาดที่ชัดเจน นั่นคือระบบการสั่งแบบ พรีออเดอร์ Pre-Order เพื่อให้สหกรณ์ผู้ผลิตสามารถวางแผนได้ตรงกับปริมาณความต้องการของลูกค้า และง่ายต่อการขนส่ง

 2. ด้านการศึกษา อย่างที่ทราบว่าสหกรณ์สมาชิกของชุมนุมฯ  กระจายอยู่ตามภาคต่างๆ ทั่วประเทศไทย จึงเกิดแนวคิดการอบรมหมุนเวียนในแต่ละเขต เป็นการอบรมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ในปี 2565 จะเน้นการให้อบรมที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้หลังวิกฤติโรคระบาดโควิด 19 เช่นต้องเน้นตลาด ออนไลน์มากขึ้น ตามพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลูกค้าหรือผู้บริโภค




 3.ด้านการช่วยเหลือสมาชิกและสังคม เช่นกรณี ราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำเป็นที่มาของการตั้งศูนย์กระจายสินค้าให้เป็นฟันเฟืองในการระบายสินค้า หลักการคือเคลื่อนย้ายสินค้าออกจากต้นทางให้ไวที่สุดเพราะสินค้าเกษตรเป็นสินค้าอ่อนไหว เน่าเสียเร็ว ทาง ชสท. จึงมีบทบาทหลักในการช่วยกระจายสินค้าออกจากพื้นที่ทั่วประเทศ รวมถึงการทำประชาสัมพันธ์ นอกจากการช่วยสมาชิกยัง มีส่วนช่วยเหลือประชาชนทั่วไป สังคม นั่นคือโครงการข้าวแกงสหกรณ์ ราคา 10 บาท ซึ่งเริ่มมาหลายปีและได้รับการตอบรับมากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

               ก่อนจบการสัมภาษณ์ นายณศร ออสุวรรณ ได้เปิดเผยถึงกลยุทธ์การพัฒนาสหกรณ์ภาคการเกษตรไว้อย่างน่าสนใจ ว่า ชสท. วางแนวคิดที่จะสร้างความเติบโตของสหกรณ์ภาคการเกษตร โดยมุ่งเน้นยกระดับมาตรฐานสินค้าสหกรณ์ให้อยู่ในระดับสากล โดยหาผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ สอนการพัฒนาด้านการผลิต การเก็บเกี่ยว การบรรจุ ให้ได้มาตรฐานยอมรับระดับโลก รองรับแผนส่งออกสินค้าเกษตรไปต่างประเทศให้สำเร็จในที่สุด พร้อมทั้งกล่าวฝากบริการของ ชสท. ไม่ว่าจะเป็น 1.ศูนย์กระจายสินค้าและศูนย์ข้าวสหกรณ์ไทย  รวบรวมสินค้าเกษตรมีทั้ง ออฟไลน์ ออนไลน์ Coop Click รวมถึงร้านใน Lazada Shopee   2. โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรฯ  3. สินค้า TJC เคมี จำกัด เกิดจากการร่วมทุน กับ ชสท. และชุมนุมสหกรณ์เกษตรแห่งประเทศญี่ปุ่น จำหน่ายสินค้าด้านการเกษตร เช่น ยากำจัดศัตรูพืช 



 ปีนี้ต้องเป็นปีแห่งความหวัง” คือวลีสั้นๆ "ณศร ออสุวรรณ" ฝากไว้ให้กำลังใจกับสหกรณ์สมาชิก รวมถึงทุกคนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังที่ต่างผ่านจุดสิ้นหวังอันเป็นผลกระทบจากโรคระบาดโควิด 19 มาหลายปีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในฐานะประธานชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยยินดีจะจุดประกายความหวังเพื่อให้ทุกคนผ่านห้วงเวลาแห่งความกลัวความสิ้นหวังมาสู่ความสำเร็จ ดังนั้น ชสท.จะมุ่งมั่นทำงาน สานงานต่อก่องานใหม่เพื่อประโยชน์ของสมาชิก และของชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นความหวังให้เกษตรกรไทยต่อไป




วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2565

สสท. เสวนา ถกประเด็นร้อน ทุจริตในสหกรณ์ ชี้ทางรู้เท่าทันและป้องกัน

 






สสท. เสวนา  ถกประเด็นร้อน ทุจริตในสหกรณ์ ชี้ทางรู้เท่าทันและป้องกัน

(วันที่ 20 มิถุนายน 2565)  สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย (สสท.) จัดเสวนา หัวข้อ  “ถามตรงๆกับจอมขวัญ สหกรณ์เขาทุจริตกันอย่างไร? แนวทางแก้ไขปัญหา ” เนื่องในวันครบรอบวันคล้ายวันสถาปนา 54 ปี ณ ศูนย์การประชุมรัชนีแจ่มจรัส ถนนพิชัย เขตดุสิต สันนิบาต สหกรณ์ฯ เพื่อร่วมถกประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานสหกรณ์ รวมถึงหาแนวทางป้องกันแก้ไข ปัญหาการบริหารจัดการสหกรณ์ที่เป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตในสหกรณ์มาตรการควบคุมภายในด้านป้องกันการทุจริตและด้านตรวจสอบความเสี่ยงและสัญญาณเตือนภัยเมื่อเกิดการทุจริตในองค์กรผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย  นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม ประธานกรรมการดำเนินการสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย  นายไพบูลย์ แก้วเพทาย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสหกรณ์ และนาย สิรวิชญ์ ไพศาสตร์ ที่ปรึกษาสันนิบาตสหกรณ์ฯ โดยมี นางสาวจอมขวัญ หลาวเพ็ชร ร่วมเป็นผู้ดำเนินรายการ รวมถึงคณะกรรรมการฯ สสท. ร่วมเป็นเกียรติ




            นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า แม้ว่าสหกรณ์จะไม่ใช่องค์กรทุนนิยมที่แสวงหาผลกำไรแต่มีการเติบโตต่อเนื่องมียอดเงินรวมสหกรณ์ทั่วประเทศที่  3.58 ล้านๆบาท ความเสียหายที่เกิดจากการทุจริตในสหกรณ์ปัจจุบัน  ณ วันที่ 1 มิ.ย. 65 กว่า 18,000 ล้านบาท รวมสหกรณ์ได้รับความเสียหาย คงเหลือ 252 แห่ง เทียบกับสหกรณ์ทั่วประเทศไทย คิดเป็น 0.5% โดยการทุจริตมักเกิดใน 3 รูปแบบ 1. ทุจริตด้านเงินฝากเกิดจากการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ตกแต่งตัวเลขเงินฝาก เช่นยอดเงินในสมุดฝากของสมาชิกไม่ตรงกับในระบบ การป้องกันที่ดีคือ กรรมการสหกรณ์ต้องมีระบบสอบทานเงินฝากให้กับสมาชิกรับทราบโดยตั้งกรรมการอิสระขึ้นมาตรวจสอบ 2. ทุจริตด้านเงินกู้สมาชิก การปลอมแปลงสัญญา ซึ่งสมาชิกไม่ได้กู้จริง 3. ทุจริตเชิงนโยบาย เช่น จัดทำโครงการแล้วอาศัยช่องว่าง เช่นโครงการตั๋วปุ๋ยเป็นร้อยล้านแต่ไม่มีปุ๋ยเข้ามาจริง ซึ่งภาครัฐพยายามสร้างความตระหนักรู้รวมถึงสร้างกลไกที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่นปรับกฎหมาย  ระเบียบ ไม่เปิดโอกาสให้มีการทุจริต อย่างไรก็ตามการตรวจสอบภายในของสหกรณ์เป็นสิ่งสำคัญมากที่สุดก่อนถึงผู้สอบบัญชี อีกทั้ง ปัจจุบันสหกรณ์มีโปรแกรมบัญชีของเอกชนที่มีมาตรฐานหลากหลายสหกรณ์สามารถนำมาใช้ได้ ช่องว่างคือ ฝ่ายจัดการที่รู้ระบบสามารถแก้ไขตัวเลขได้หากไม่มีระบบ IT AUDIT และให้เชิญชวนสมาชิกตรวจสอบเงินตัวเองด้วยการใช้ Mobile Application




            นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม ประธานกรรมการดำเนินการสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย  กล่าวว่า ระบบสหกรณ์คือธุรกิจฐานรากจะเกิดการทุจริตแม้จะเพียงแค่ครึ่งเปอร์เซ็นต์ก็ไม่ควรเกิดขึ้นภาค รัฐต้องให้ความสำคัญ หาวิธีเตือนให้สหกรณ์รู้เท่าทัน โดยเฉพาะการทุจริตเชิงนโยบายเริ่มเข้ามาในขบวนการสหกรณ์ สิ่งจำเป็นสุดตอนนี้คือ กำกับที่บุคคลเน้นระบบธรรมาภิบาล สร้างอุดมการณ์สหกรณ์เพราะคนคือกลไกสำคัญซึ่งทำงานควบคู่กับระบบการ สร้างธรรมาภิบาลในองค์กร ยังเป็นตัวที่ช่วยในการสร้างจิตสำนึกในการบริหารสหกรณ์ ผมมั่นใจว่าคนเก่งนั้นหาไม่ยาก แต่ที่ยากคือคนดี ฉะนั้นเราจึงจำเป็นต้องติดอาวุธทางปัญญาเพื่อลดการทุจริตในสหกรณ์ และให้ทุกคนทราบถึงระบบการเตือนภัยการทุจริต ที่เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมตรวจสอบได้ไม่ยาก ซึ่งสันนิบาตสหกรณ์ไม่ได้นิ่งนอนใจ จัดกิจกรรมเสวนา เนื่องในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันสถาปนาสันนิบาตสหกรณ์ เพื่อช่วยลดการทุจริต พร้อมทั้งกล่าวว่า หากคณะกรรมการ ตลอดจนสมาชิกสหกรณ์มีความรู้อ่านงบฯได้ เข้าใจถึงสัญญาณเตือน ความผิดปกติในการบริหารจัดการสหกรณ์ ก็จะทำให้เกิดการตรวจสอบภายในสหกรณ์ที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ และขอยืนยันว่า สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทยจะไม่ทิ้งสหกรณ์ไทยสหกรณ์ข้างหลัง"




             นาย สิรวิชญ์ ไพศาสตร์ ที่ปรึกษาสันนิบาตสหกรณ์ฯ สิ่งที่ผู้บริหารสหกรณ์ต้องทำคือ วางระบบการป้องกันระบบการค้นพบการทุจริตให้ได้ การทุจริตในสหกรณ์เกิดได้ตั้งแต่ สมาชิก ฝ่ายจัดการ ฝ่ายบริหาร ส่วนการทุจริตเชิงนโยบายสามารถป้องกันได้ เช่นการไม่ให้กรรมการที่มีส่วนได้เสียพิจารณาและระบบ สหกรณ์ขาด ระบบ IT AUDIT หรือที่เรียกว่าการตรวจสอบการควบคุมการจัดการภายในหรือการตรวจสอบข้อมูลระบบ และตั้งข้อสังเกต ว่า ระบบการจ่ายค่าตอบแทนในสหกรณ์ค่อนข้างต่ำอาจจะเป็นเหตุให้เกิดการทุจริตการพิจารณาค่าตอบแทนจึงควรเป็นไปอย่างเหมาะสม และระบบผู้ตรวจสอบในสหกรณ์ ถูกคัดเลือกจากคณะกรรมการในเบื้องต้น ผู้ตรวจสอบอาจจะไม่มีความอิสระพอทางความคิดและเกิดระบบความเกรงใจ ไม่สร้างผู้ตรวจสอบระดับมืออาชีพ



              นายไพบูลย์ แก้วเพทาย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสหกรณ์ กล่าวว่า คน ,ระบบ ,การกำกับตรวจสอบ  คือ 3 องค์ประกอบการทุจริต จึงควรต้องมีระบบที่ดี 3 ระบบ 1. ธรรมาภิบาล 2.การบริหารความเสี่ยง 3.ระบบการตรวจสอบภายใน เช่น สหกรณ์ต้องมี ระบบ Check and Balance หรือระบบตรวจสอบตรวจทาน เช่น Mobile App สามารถตรวจได้ว่าเงินในสมุดคู่ฝากตรงกับในระบบ  วางระบบให้สมาชิกตรวจสอบได้






ดังนั้นการจัดเสวนาทางวิชาการ เรื่องถามตรงๆกับจอมขวัญสหกรณ์เขาทุจริตกันอย่างไรฯ จึงเป็นการนำเนื้อหาสาระและข้อสรุปของการหาแนวทางร่วมกันในการแก้ไขปัญหา  ทั้งภาครัฐ สันนิบาตสหกรณ์ฯ และขบวนการสหกรณ์ ที่ต้องจับมือต้านทุจริต ส่งเสริมคนดี และสร้างความเป็นธรรมให้สมาชิกสหกรณ์ เพื่อสร้างความอยู่ดีกินดีให้แก่ประชาชนทั้งประเทศต่อไป

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2565

เกษตรกร “หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า” เปิดบ้านต้อนรับหน่วยงานภาครัฐ เยี่ยมชมความสำเร็จ พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้สร้างชุมชนยั่งยืนแก่ชาวซีพีเอฟ

 



เกษตรกร “หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า” เปิดบ้านต้อนรับหน่วยงานภาครัฐ เยี่ยมชมความสำเร็จ  พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้สร้างชุมชนยั่งยืนแก่ชาวซีพีเอฟ

นายภักดี ไทยสยาม ประธานกรรมการ บริษัท หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า จำกัด อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา พร้อมคณะผู้บริหารและเกษตรกรหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า ให้การต้อนรับ นพ.สุทธิพงษ์ อาจกมล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีมโหสถ พร้อมคณะผู้บริหารโรงพยาบาลศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี ตลอดจนคณะผู้บริหารและเพื่อนพนักงาน บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ จากธุรกิจไก่เนื้อและเป็ดเนื้อ ธุรกิจสัตว์น้ำ ธุรกิจห้าดาวและธุรกิจฟู้ดคอร์ทและจัดเลี้ยง ธุรกิจการค้าในประเทศ และ หน่วยงานพัฒนาความยั่งยืน เข้าเยี่ยมชมความสำเร็จด้านการบริหารจัดการองค์กรและองค์ความรู้ชุมชน อาทิ โครงการธนาคารน้ำใต้ดิน โครงการปลูกป่าเชิงนิเวศในชุมชนเฉลิมพระเกียรติรัชการที่ 9 โครงการไก่ไข่อินทรีย์ และโครงการผักอินทรีย์

 



“เกษตรกรหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการพัฒนาองค์กรและบุคลากรเพื่อความยั่งยืน ผ่านโครงการส่งเสริมด้านอาชีพ ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนกิจกรรมต่างๆที่ชาวชุมชนและชาวซีพีเอฟร่วมกันผลักดันให้เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาในทุกๆด้านอย่างต่อเนื่อง เราเริ่มต้นจากอาชีพหลักคือการเลี้ยงสุกร ภายใต้การสนับสนุนของซีพีเอฟ มานานกว่า 45 ปี นับตั้งแต่ปี 2520 สู่การต่อยอดอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ที่หลากหลาย ตามความต้องการของเกษตรกร และสอดรับกับบริบทของชุมชน ควบคู่กับการสร้างความรักและผูกพันของเกษตรกรและลูกหลาน เพื่อสร้างชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน” นายภักดี กล่าว

 

จากการถอดบทเรียน ในการดำเนินโครงการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมของหมู่บ้านเกษตรกรกรรมหนองหว้า พบว่า โครงการธนาคารน้ำใต้ดิน เป็นการบูรณาการแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ จากการที่ทุกปีในช่วงที่เกิดภาวะแล้ง จะต้องซื้อน้ำสำหรับใช้ในการเลี้ยงสุกรและการอุปโภคบริโภค จึงเริ่มดำเนินโครงการฯในปี 2562 ด้วยการทำธนาคารในระบบเปิดและระบบปิด บนพื้นที่ 1,200 ไร่ สามารถแก้ปัญหาขาดน้ำในช่วงภัยแล้งได้ ไม่ต้องซื้อน้ำใช้อีก และธนาคารน้ำใต้ดิน หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า เป็นหนึ่งในโครงการที่สอดคล้องกับเป้าหมาย CPF 2030 Sustainability in Action ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการคืนน้ำกลับสู่ชุมชนในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ และแก้ไขบรรเทาปัญหาเรื่องน้ำให้กับคนในชุมชน สังคม และโลก อย่างเป็นรูปธรรม

 





สำหรับศูนย์เรียนรู้โครงการปลูกป่าเชิงนิเวศในชุมชนเฉลิมพระเกียรติรัชกาลที่ 9 เป็นโครงการที่ชาวหนองหว้าต้องการสร้างป่าให้ชุมชน ตามแนวทางของ ศ.ดร.อาคิระ มิยาวากิ ผู้สร้างทฤษฎีปลูกป่าเลียนแบบระบบนิเวศตามธรรมชาติที่ได้รับการยอมรับและนำไปปฏิบัติตามทั่วโลก โดยจัดให้พื้นที่ 14 ไร่ ภายในหมู่บ้านฯ ปลูกต้นไม้พืชพรรณและสมุนไพร 109 ชนิด มากกว่า 50,000 ต้น ในปีนี้ธุรกิจสุกรจะใช้สวนป่าแห่งนี้ ในการจัดอบรมให้ความรู้การวัดต้นไม้ให้กับพนักงาน CPF เพื่อขอรับรองผลการประเมินการลดก๊าซเรือนกระจกโครงการ LESS ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) การดำเนินโครงการนี้ สนับสนุนเป้าหมาย CPF 2030 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ Net zero Carbon ด้วยการปลูกต้นไม้เพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย

 






โครงการไข่ไก่อินทรีย์ เป็นโครงการที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างซีพีเอฟและเกษตรกรที่ต้องการมีรายได้เสริม โดยซีพีเอฟได้ร่วมสนับสนุนด้านวิชาการในโครงการไข่ไก่อินทรีย์ เพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตไข่ไก่ออร์แกนิค (Organic) ให้เกิดความสำเร็จ สามารถสร้างอาชีพเลี้ยงไก่ไข่แบบปล่อยอิสระ (Free Range) สอดรับความต้องการผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจอาหารปลอดภัยและคำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์ จากความใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิต ไข่ไก่สดหนองหว้า จึงได้รับการรับรองมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) และการรับรองรับรองระบบการผลิตปศุสัตว์อินทรีย์ (Layer Chicken and Chicken Egg Organic Production System Certification) จากกรมปศุสัตว์ ซึ่งถือเป็นการรับรองสูงสุดด้านเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์และการผลิตไข่ไก่อินทรีย์ ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ “Organic Eggs หนองหว้า” ไข่ไก่ไข่ไก่ออร์แกนิคจากฝีมือเกษตรกร ได้ที่ Foodland TheMall Makro ตลาด อตก. และร้าน Golden Place สาขาฉะเชิงเทรา

 

ส่วนโครงการผักอินทรีย์ ซีพีเอฟได้มีส่วนในการร่วมพัฒนาเครือข่าย สนับสนุนด้านวิชาการและการตลาด สอดคล้องเป้าหมาย CPF 2030 ด้าน Social Impact การพัฒนาโครงการด้านการสร้างผลลัพธ์เชิงบวกทางสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วยการสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับชุมชน และผู้บริโภคได้รับอาหารที่ปลอดภัยจากสารเคมี ปัจจุบันได้พัฒนาสู่ “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า” ถือเป็นกลุ่มผู้ปลูกผักอินทรีย์รายเดียวของฉะเชิงเทรา และยังมีคู่มือการปลูกผักอินทรีย์ของกลุ่มเอง ตลอดจนใช้ระบบการรับรองเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม (Participatory Guarantee Systems : PGS) ช่วยยืนยันในคุณภาพและมาตรฐานความเป็นอินทรีย์ของเกษตรกรและผลผลิต ปัจจุบันได้รับมาตรฐานออร์แกนิกไทยแลนด์ (Organic Thailand) และมีกรมวิชาการเกษตรช่วยสนับสนุนความรู้ต่างๆ นอกจากนี้ สวทช. ได้เข้ามาสนับสนุนเครื่องมือและองค์ความรู้ในการผลิตชีวภัณฑ์ต่างๆ ให้แก่กลุ่มเพื่อลดต้นทุนการผลิต และการใช้ชีวภัณฑ์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งตรวจสอบรับรองคุณภาพการผลิตชีวภัณฑ์ เพื่อจำหน่ายในภาคตะวันออกต่อไป ขณะเดียวกัน งานพัฒนาที่ดินของศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้ประสานงานให้กลุ่มเป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้ในการผลิตผักอินทรีย์ให้กับเกษตรกรในอำเภออื่นๆเพื่อสร้างอาชีพ และสนับสนุนปัจจัยการผลิต ทางกลุ่มใช้หลัก “ตลาดนำการผลิต” ทำให้เครือข่ายสมาชิกในกลุ่มทั้ง 9 ราย ที่กระจายอยู่ในพื้นที่อ.พนมสารคาม อ.แปลงยาว อ.บางคล้า อ.เมืองฉะเชิงเทรา สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตผักในพื้นที่รวม 70-80 ไร่ ได้อย่างต่อเนื่อง และมีรายได้ที่มั่นคงตลอดทั่งปี โดยมีตลาดรองรับผลผลิตคือ ศูนย์กระจายสินค้า ร้าน Golden Place บริษัท สุวรรณชาด จำกัด ในพระบรมราชูปถัมภ์./

เกษตรกรจี้รัฐ เร่งปราบราม “ขบวนการลักลอบนำเข้าหมู” หลังบุกเมืองหลวงหมู ซ้ำเติมวิกฤติ

 


 

    นับวัน “ขบวนการลักลอบนำเข้าเนื้อหมู” ยังคงระบาดหนักขึ้น หลังเข้าสู่เมืองหลวงของการเลี้ยงหมูอย่าง ราชบุรี และนครปฐม ที่พบการนำเข้ามาเก็บในห้องเย็น ก่อนแพร่ลามมาที่กรุงเทพมหานคร จนกระจายไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคอีสาน ถือเป็นการฉกฉวยโอกาสแสวงการหาผลประโยชน์บนความทุกข์ของเกษตรกรผู้ผลิตสุกรไทย โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมา

 

    เนื่องจากเนื้อหมูและชิ้นส่วนผิดกฎหมายเหล่านี้ นำเข้ามาจากหลายประเทศทั้ง สหรัฐอเมริกา แคนาดา เยอรมัน บราซิล อิตาลี เบลเยียม และเกาหลีใต้ แต่สำแดงเท็จว่าเป็น สินค้าประเภทอาหารทะเล หรือวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง ทั้งที่เนื้อหมูลักลอบไม่ผ่านขั้นตอนการตรวจสอบโรคสัตว์ ตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ของกรมปศุสัตว์ และยังไม่มีเอกสารใบอนุญาตนำเข้า และหลักฐานแสดงที่มาของแหล่งกำเนิด ซึ่งหากชิ้นส่วนหรือเนื้อหมูเหล่านี้ มาจากสัตว์ที่เป็นโรค หรือพาหะของโรคระบาด ย่อมมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคระบาดที่สร้างความเสียหายให้กับการเลี้ยงหมูไทยได้ ถือเป็นการซ้ำเติมวิกฤตที่เกษตรกรผู้เลี้ยงกำลังเผชิญอยู่ให้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

 




ที่สำคัญเนื้อหมูลักลอบเหล่านี้ยังมาจากหลายประเทศที่อนุญาตให้ใช้สารเร่งเนื้อแดงในกระบวนการเลี้ยงได้ ต่างจากประเทศไทยที่ห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดงในกระบวนการผลิตสัตว์มาตั้งแต่ พ.ศ.2545 ตามประกาศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และปี พ.ศ. 2546 ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ดังนั้น เนื้อหมูลักลอบนำเข้าที่นำมาจำหน่ายปะปนกับเนื้อหมูไทย นอกจากผิดกฎหมายแล้ว ยังเป็นการบ่อนทำลายความปลอดภัยทางอาหารของคนไทยอีกด้วย   

 

    ในประเด็นนี้ นายสุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ ให้ข้อมูลว่า ขบวนการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรและชิ้นส่วนผิดกฎหมาย ถือเป็นความเสี่ยงที่ทำลายระบบการป้องกันโรคที่เกษตรกรผู้เลี้ยงและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องสร้างขึ้นมา เพราะเป็นปัจจัยที่นำพาทั้งโรคและสารอันตรายเข้ามาทำลายเกษตรกรไทย ทั้งจากโรคระบาด การถูกบิดเบือนตลาดจากปริมาณที่นำเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย อีกทั้งยังทำให้ผู้บริโภคคนไทยต้องตายผ่อนส่งจากสารอันตรายที่แฝงมากับเนื้อหมูเถื่อน ส่งผลให้รัฐต้องเสียค่าใช้จ่ายจากการรักษาพยาบาลการเจ็บป่วยจากการได้รับสารเหล่านั้น และยังสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษี ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง

 

    ด้วยเหตุนี้ เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูไทยจึงขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้ง กรมปศุสัตว์ กรมศุลากร เจ้าหน้าที่ด่านกักกันสัตว์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เร่งตรวจตราและกวาดล้างขบวนการลักลอบนำเข้าไม่ให้เข้ามาทำลายวงการสุกรไทยเด็ดขาด เพราะที่ผ่านมา เกษตรกรได้ลงทุนปรับวิธีการเลี้ยงการจัดการป้องกันโรคที่เข้มงวด เพื่อไม่ให้โรค ASF มาทำอันตรายกับสุกรในฟาร์ม ดังนั้น จึงขอให้เร่งปราบปรามขบวนการลักลอบนำเข้าเนื้อหมูให้สิ้นซาก และคัดค้านการนำเข้าเนื้อหมูจากต่างประเทศ

 

สุดท้าย วอนขอให้ใช้กลไกตลาดจัดการสมดุลราคา เพื่อให้เกษตรกรบริหารจัดการผลิตและการตลาดให้ผู้บริโภคได้อย่างเหมาะสม ไม่ถูกบิดเบือนกลไกราคา เป็นแรงจูงใจสำคัญให้เกษตรกรผู้เลี้ยงที่กำลังตัดสินใจกลับเข้าสู่ระบบการผลิต หลังจากต้องหยุดพักไป ช่วยเพิ่มปริมาณสุกรในอุตสาหกรรมให้เพียงพอกับความต้องการบริโภคอย่างยั่งยืน.../

“วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” เทศกาลสัตว์น้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

  เปิดประสบการณ์ความมหัศจรรย์ของโลกใต้น้ำกับ FISHTIVAL 2025   ที่ยกทัพพาเหรดสัตว์น้ำกว่า 3,000 ตู้ ในงาน “วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” ...