กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เผยข้อมูล ผลกระทบโควิค-19 รัฐบาลสั่งปิดเรียนยาว สร้างผลกระทบต่อเด็กปฐมวัย
ส่งผลทักษะทางวิชาการโดยเฉพาะผลรวมของผลการทดสอบด้านภาษาและด้านคณิตศาสตร์ลดลงอย่างชัดเจน
วอนรัฐบาล กระทรวงศึกษาเร่งฟื้นฟู ชดเชยเวลาที่หายไปหวั่นกระทบต่อการพัฒนาประเทศโดยรวมในอนาคต
นายไกรยส
ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เปิดเผยว่า กสศ.
ได้ให้การสนับสนุนและทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม
เพื่อสร้างความเสมอภาคทาง การศึกษาให้เกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน
สำหรับกลุ่มเด็กปฐมวัยซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญหนึ่งของ กสศ.
ที่เป็นกลุ่มเด็กควรได้รับการพัฒนาทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม
และสติปัญญาที่เหมาะสมกับวัย เพราะช่วงปฐมวัยเป็นช่วงทองของชีวิตปัจจุบัน กสศ.
มีการร่วมกับทั้ง 3 หน่วยงานคือ
สานักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) (ตชด.) และ
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ช่วยเหลือเด็กปฐมวัยยากจนในโรงเรียนอนุบาล
ผ่านทุนเสมอภาค พร้อมทั้งพัฒนากลไกเชิงระบบในจังหวัดต้นแบบ
เพื่อช่วยเหลือเด็กปฐมวัยนอกระบบอีกด้วย
ที่ผ่านมา
กสศ. ที่ได้ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการ ประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
พัฒนาระบบฐานข้อมูลและงานวิจัยเพื่อชี้ให้เห็นถึงในสถานการสำคัญของกลุ่มเด็กปฐมวัย
ทั้งระบบฐานข้อมูลเด็กปฐมวัยแบบกลุ่มตัวอย่างซ้ำ (Early Childhood
Longitudinal Data) ซึ่งเริ่มต้นเก็บมาตั้งแต่ปี 2558 และระบบฐานข้อมูลสถานะความพร้อมในการเข้าสู่ระบบการศึกษาของเด็กปฐมวัย (Thailand
School Readiness Survey) เพื่อการเคลื่อนที่เร็วต่อการแก้ไขปัญหาสำคัญๆ
ของประเทศ เพราะการพัฒนาและการลงทุนในเด็กปฐมวัย จึงมีความสำคัญสำหรับทุกครอบครัว
สังคม และประเทศชาติ
นอกจากนั้นยังได้ร่วมกับกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนเก็บข้อมูลลงลึกรายบุคคลและนำเสนอออกมาเป็นรายจังหวัด
ในการเฝ้าระวังสถานการณ์ของประชากรกลุ่มสำคัญ
คือเด็กปฐมวัยโดยเครื่องมือนี้ได้ถูกใช้ตามวัตถุประสงค์แล้วอันเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของCOVID- 19 เมื่อได้จัดทำข้อมูลอย่างเป็นระบบบนฐานงานวิชาการทำให้เราพบว่า
COVID-19
ไม่เพียงส่งผลกระทบเป็นรายบุคคลที่เกิดภาวะการเรียนรู้ถดถอย (Learning
Loss) แต่ยังทำให้ช่องว่างของความเหลื่อมล้ำทางด้านการศึกษาขยายกว้างออกไปอีก
โดยเมื่อเรานำข้อมูล School Readiness มาวิเคราะห์ร่วมกับ
ฐานข้อมูลนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษ (CCT) และผลที่ได้มาจาก
สพฐ. นำมาวิเคราะห์นั้นทำให้รู้ว่า ต้องเร่งแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นการเร่งด่วน
ไม่เช่นนั้นประเทศจะต้องสูญเสียเด็กไปทั้งรุ่น หรือ Lost Generation กสศ. พร้อมใช้พลังข้อมูล
พลังเครือข่าย ร่วมขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมร่วมแก้วิกฤต
สถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะเข้ามา
เพื่อที่จะลดความเหลื่อมล้ำทางด้านการศึกษาให้เด็กและเยาวชนก้าวสู่ชีวิตที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืนต่อไป
ขณะที่รองศาสตราจารย์
ศ.ดร.วีระชาติ กิเลนทอง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า RIPED ได้ดำเนินงานร่วมกับ กสศ.
เพื่อศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กปฐมวัยในประเทศไทย
โดยการพัฒนาระบบฐานข้อมูลและสำรวจสถานะความพร้อมในการเข้า
สู่ระบบการศึกษาของเด็กปฐมวัย (Thailand School Readiness Survey: TSRS) การสำรวจข้อมูลเด็กปฐมวัย แบบกลุ่มตัวอย่างซ้ำ (Early Childhood
Longitudinal Data: ECLD) การพัฒนาศูนย์อบรมและครูปฐมวัยด้วยหลักสูตรไฮสโคป
(HighScope) ตามแนวทางไรซ์ไทยแลนด์
ซึ่งนำไปสู่ข้อค้นพบที่น่าสนใจเพื่อประเมินว่าเด็กปฐมวัยมีความพร้อมที่จะ
เรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพเมื่อเข้าสู่ระบบการศึกษาที่เป็นทางการในระดับประถมศึกษาหรือไม่
โดยวัดทักษะพื้นฐานของเด็กปฐมวัยด้านภาษา ด้านคณิตศาสตร์ และ Executive
Functions (EFs) พร้อมสำรวจข้อมูลพื้นฐานของครัวเรือนและสถานศึกษา
โดยเครื่องมือนี้ ได้พัฒนาต่อยอดมาจากแบบประเมินภายใต้โครงการ Measuring Early
Learning and Outcome หรือ MELQO ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างองค์การยูเนสโก
(UNESCO) ธนาคารโลก (World Bank), Brookings
Institution และ องค์การยูนิเซฟ (UNICEF) เนื่องจากการระบาดของโค
วิด-19 ส่งผลให้ปัจจุบันสำรวจไปได้ 73
จังหวัด เหลืออีก 4 จังหวัดจะเลื่อนไปสำรวจในช่วงต้นปี 2566 โดยค้นพบจาก TSRS ที่น่าสนใจ
โดยพบว่าการปิดสถานศึกษาในช่วงการระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้เกิดปัญหาภาวะการเรียนรู้ถดถอย (learning
loss) กับเด็กปฐมวัยอย่างชัดเจน
ซึ่งดูได้จากผลเปรียบเทียบระดับความพร้อมฯ เฉลี่ยด้านวิชาการ 1 ที่ได้จากข้อมูลใน 3 ระยะ 3
ปีที่เก็บข้อมูลต่อเนื่องกัน ชี้ให้เห็นว่าข้อมูลของกลุ่มเด็กที่เก็บในปี 2565 ซึ่งเป็นปีที่มีการปิดเรียนอย่างยาวนานมีระดับความพร้อมฯ
ต่ำกว่ากลุ่มเด็กที่เก็บข้อมูลในปี 2563
ซึ่งยังไม่มีผลกระทบจากโควิด-19 และกลุ่มเด็กเก็บในปี 2564 ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เล็กน้อย
เมื่อทำการวิเคราะห์เพิ่มเติมจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า
การปิดเรียนอย่างยาวนานจากโควิด-19
ส่งผลให้ทักษะทางวิชาการโดยเฉพาะผลรวมของผลการทดสอบด้านภาษาและด้านคณิตศาสตร์
(คิดให้คะแนนเต็มเท่ากับ 100 คะแนน)
ผลการวิเคราะห์นำไปสู่ข้อสรุปพบว่า ทักษะของเด็กกลุ่มตัวอย่างลดลงอย่างเห็นได้ชัด
แม้ที่ผ่านมาจากสถานการณ์โควิค-19
ที่ทำให้จนรัฐบาลสั่งปิดสถานศึกษาให้เด็กปฐมวัยอยู่กับครัวเรือนมากขึ้น
แต่จากข้อมูลพบว่าครอบครัวอ่านหนังสือให้เด็กฟังน้อยลง
โดยจะเห็นได้จากค่าเฉลี่ยของจำนวนวันต่อสัปดาห์ที่ผู้ปกครองอ่านหนังสือให้เด็กปฐมวัยในช่วงที่เกิดการระบาด
ของโควิด-19 เปรียบเทียบกับก่อนการระบาดลดลงอย่างชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้น เด็กก็อ่านหนังสือ
เองน้อยลงอย่างชัดเจนด้วยโดยผลการศึกษาพบว่าเด็กใช้เวลากับหน้าจอ (screen
time) เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยในที่นี้นับเฉพาะเวลาที่เด็กเล่นเกมส์หรือดูรายการ
แต่ไม่รวมเวลาเรียนออนไลน์
ทั้งนี้ยังพบข้อมูลว่าปัญหาเศรษฐกิจและฐานะของครอบครัวมีความสัมพันธ์กับความพร้อมฯ
ของเด็กปฐมวัย ซึ่งเด็กปฐมวัยจากครอบครัวที่ยากจนกว่ามีความพร้อมฯ
ต่ำลงด้วยซึ่งเด็กปฐมวัยที่สำรวจในปี 2563 (ปีการศึกษา 2562) เชื่อมโยงกับข้อมูลนักเรียน
ทุนเสมอภาคที่ได้รับเงินอุดหนุนจาก กสศ. ผลการวิเคราะห์เชิงลึกชี้ว่า
เด็กยากจนพิเศษมีระดับความพร้อมฯ
ด้านคณิตศาสตร์และด้านภาษาต่ำกว่าเด็กทั่วไปประมาณร้อยละ 5.7
และร้อยละ 4.2 ของคะแนนเต็ม (ร้อยละ 7.7 และร้อยละ 8.7 ของคะแนนเฉลี่ยแต่ละด้าน)
ในขณะที่เด็กยากจน มีระดับความพร้อมฯ
ด้านคณิตศาสตร์และด้านภาษาต่ำกว่าเด็กทั่วไปประมาณร้อยละ 3.8
และร้อยละ 3.5 ของคะแนนเต็ม (ร้อยละ 5.1 และร้อยละ 7.2 ของ คะแนนเฉลี่ยแต่ละด้าน)
ผลการวิเคราะห์ส่วนนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความยากจนหรือความขัดสนมีผลต่อความพร้อมฯ
ของเด็กปฐมวัยอย่างมีนัยสำคัญ
จากข้อมูลที่ดำเนินการสำรวจในช่วงที่ผ่านมาชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การปิดสถานศึกษาในช่วงการระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลให้เกิดปัญหาภาวะการเรียนรู้ถดถอย (learning loss) กับเด็กปฐมวัยอย่างมาก ความยากจนมีผลทำให้เด็กปฐมวัยได้ไม่เต็มศักยภาพหรือไม่มีความพร้อมฯ เท่าที่ควร บ้านหรือครอบครัวยังขาด ทักษะและความเข้าใจในการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย และเครื่องมือสำรวจสถานะความพร้อมในการเข้าสู่ระบบการศึกษา (School Readiness) ภายใต้โครงการ TSRS เป็นเครื่องมือประเมินเด็กปฐมวัยที่เหมาะสมสำหรับการติดตามสถานการณ์การพัฒนาเด็กปฐมวัยของประเทศไทย
“วันนี้เราทุกคนได้รับบทเรียนที่สำคัญจากสถานการณ์
COVID-19
ที่ส่งผลกระทบกับทุกคนไม่เว้นแม้แต่เด็กปฐมวัยที่ประสบกับภาวะการเรียนรู้ถดถอย (learning
loss) ที่รุนแรง
น่าจะถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนควรจะร่วมมือกันเพื่อแก้ปัญหานี้อย่างเร่งด่วน
นโยบายระยะสั้นที่ควรจะเร่งดำเนินการคือ การเปิดเรียนให้นานและปิดให้น้อย
เพื่อชดเชยเวลาคุณภาพที่ขาดหายไปในช่วงที่ผ่านมา
โดยรัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาให้เร็วโดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่มีความเสี่ยงน้อยควรเร่งฟื้นฟูความรู้ให้กับเด็กปฐมวัยให้เร็วที่สุด
ส่วนนโยบายระยะยาวที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูทักษะ คือ
การยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนระดับปฐมวัยโดยเฉพาะสำหรับเด็กที่ขาดโอกาสหรือเด็กยากจน
ซึ่งจากที่ได้ดำเนินการพัฒนาครูปฐมวัยด้วยหลักสูตรไฮสโคป (HighScope) ตามแนวทางไรซ์ไทยแลนด์ ภายใต้การสนับสนุนของ กสศ. ชี้ให้เห็นว่า
ครูปฐมวัยเป็นหนึ่งหัวใจสำคัญ การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูกับเด็ก
และสนับสนุนให้เกิดแนวทางการสอนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย"
ศ.ดร.วีระชาติ กล่าว
ด้านนายสวัสดิ์
ภู่ทอง รองเลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า สกศ.
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย
และเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการจัดทำนโยบายและแผนการศึกษาแห่งชาติ
ให้ความสำคัญของการพัฒนาเด็กปฐมวัย
เพราะถือเป็นช่วงวัยที่เป็นรากฐานของการพัฒนาชีวิต
จึงต้องเตรียมความพร้อมในการพัฒนาเด็กให้เหมาะสมกับช่วงวัย
ส่งผลให้คุณภาพของประชากรของประเทศดีขึ้น
ในการดำเนินงานจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบูรณาการความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน
เพื่อให้การขับเคลื่อนบรรลุผลสำเร็จ
ทำให้เด็กปฐมวัยทุกคนได้รับการพัฒนาอย่างรอบด้านเต็มตามศักยภาพ
อันจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับเด็กปฐมวัยให้เจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ
และมีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ
และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป
ผศ.
ดร.ศิริวรรณ ฉัตรมณีรุ่งเจริญ คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต
กล่าวว่าบทบาทหน้าที่ของการเป็นองค์กรที่พึ่งของท้องถิ่น
ในเรื่องการผลิตและพัฒนาครู
การส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนนั้นในช่วงของการแพร่ระบาดของCOVID-19
เห็นว่าทำการจัดการเรียนสอนต้องมีการยกระดับแบบฉับพลัน
รวมทั้งกระบวนการผลิตครูฝึกหัดและพัฒนาครูประจำการในช่วงของการเปลี่ยนแปลงระบบ
นิเวศการเรียนรู้ที่ห้องเรียนมิใช่ที่โรงเรียนแต่เป็นที่บ้าน
และครูมิใช่ผู้สอนท่านเดียวแต่มีทีมสอนคือผู้ปกครอง ความท้าทายคือ
จะปรับเปลี่ยนระบบการผลิตครูที่เน้นการใช้ห้องเรียนเป็นที่บ่มเพาะนักศึกษาร่วมกับการออกฝึกประสบการณ์วิชาชีพที่โรงเรียน
ไม่เพียงพอต่อสถานการณ์โลกที่ได้รับผลกระทบจนเปลี่ยนแปลงไป ขณะที่บริบทของโรงเรียนที่แตกต่างกัน
โดยเฉพาะในเรื่องความพร้อมของนักเรียน
ครู ผู้ปกครอง ดังนั้นการพัฒนาครู ประจำการให้มีความพร้อมในองค์ความรู้
ทักษะและคุณลักษณะของครูในศตวรรษที่ 21 เสมือนการติดอาวุธให้กับครูฝึกหัดที่อยู่ในระบบการผลิต และครูประจำการที่อยู่ในสถานศึกษาให้เป็นครูที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
มีการเรียนรู้ตลอดเวลา
ฉลาดรู้เรื่องเทคโนโลยีดิจิทัลและสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สามารถทำงานเป็นทีมในชุมชน ได้โดยใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือ
สำหรับ
มรภ.ภูเก็ต ได้มีโอกาสร่วมดำเนินงานกับ กสศ. ใน 2 โครงการ คือ โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น
ซึ่งถือว่าเป็นการผลิตครูระบบปิดและเตรียมพร้อมครูในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคปัจจุบัน
สร้างครูที่มี Soft Skill และมีเทคนิควิธีการสอนและออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับการมีความรู้ในหลักวิชาการ
ในขณะเดียวกันโรงเรียนปลายทางจะมีผู้บริหาร
และครูที่ได้รับการส่งเสริมโดยใช้กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันผ่านชุมชนเรียนรู้เพื่อพัฒนาวิชาชีพ
เกิดทีมทางานในการยกระดับคุณภาพ
การเรียนรู้ร่วมกันของครูและนักเรียนโดยมีทีมหนุนนำอย่างต่อเนื่อง (Teacher
Coaching) จากสถาบันการผลิตครูที่ได้รับการสนับสนุนจาก กสศ. และ
โครงการ
โรงเรียนพัฒนาตนเอง หรือ TSQP ซึ่งมีการพัฒนารูปแบบการพัฒนาวิชาชีพครู (School
Professional Development: SPD) สำหรับการพัฒนาครูประจำการและนักเรียน
ทั้งโรงเรียนโดยครอบคลุมทุกระดับชั้น เน้นการสนับสนุนจากทีมโค้ช (Q-Coach) มีการทำงานในลักษณะสร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกัน (Q-Network) โดยนาระบบ IT (Q-Info) มาเป็นตัวช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานเพื่อให้โรงเรียนทำงานง่ายขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น