อานิสงส์ ”กองทุนพัฒนาสหกรณ์” สร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ เสริมแกร่งสมาชิกสหกรณ์กรป.กลาง
นพค.บุรีรัมย์
“เหมือนได้ชีวิตใหม่”คำกล่าวสั้น
ๆ ง่าย ๆ แต่ได้ใจความของ”กนกวรรณ มาประจวบ” เกษตรกรสมาชิกสหกรณ์การเกษตร กปร.กลาง
นพค.บุรีรัมย์ จำกัด แห่งบ้านโคกใหญ่ ม.5 ต.ตาเป็ก อ.เฉลิมพระเกียรติ
จ.บุรีรัมย์
อดีตสาวโรงงานย่านชานเมืองกลับสู่บ้านเกิดที่จ.บุรีรัมย์ เมื่อ 4 ปีที่ก่อน
โดยยึดอาชีพทำนา ปลูกผัก เลี้ยงปลา
ตามประสาชาวบ้านหาเลี้ยงครอบครัวไปวัน ๆ
กระทั่งมีโอกาสเข้าไปสมัครเป็นสมาชิกสหกรณ์การเกษตร
กปร.กลาง นพค.บุรีรัมย์ พร้อมการให้คำแนะนำ ที่ดีจากเจ้าหน้าที่สหกรณ์
ทำให้เริ่มมีความหวังทั้งเรื่องอาชีพที่หลากหลายและมีรายได้เพิ่ม
รวมถึงด้านการตลาดและการเข้าถึงแหล่งทุน
โดยเริ่มจากขอกู้เงินจากโครงการสนับสนุนเงินทุนเพื่อสร้างระบบน้ำในไร่นา
ซึ่งโครงการดังกล่าวกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้จัดสรรเงินกู้ให้กับสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร
นำไปปล่อยกู้แก่สมาชิกแบบปลอดดอกเบี้ย
ซึ่งกนกวรรณจึงได้ขอกู้มาพัฒนาระบบน้ำในผืนที่นาบนเนื้อที่ 3 ไร่
เพื่อให้สามารถ ปลูกผัก เลี้ยงปลาได้ ไม่ใช่แค่ทำนาอย่างเดียว
“มีที่ทั้งหมด
9 ไร่ทำนาอย่างเดียว ปลูกข้าวหอมมะลิ 105 ปีละครั้ง
หลังเก็บเกี่ยวก็ปล่อยว่างก็ไม่ได้ใช้ทำอะไร ปัญหาก็คือน้ำไม่มี ปลูกอะไรก็ไม่ได้
หลังเข้าไปปรึกษากับทางเจ้าหน้าที่สหกรณ์ฯเขาก็บอกว่ามีกองทุนให้สมาชิกกู้ยืมในโครงการสร้างระบบน้ำในไร่นา
เราก็กู้มา 5 หมื่นบาท เป็นค่าใช้จ่ายในการขุดบ่อเลี้ยงปลา
ทำระบบน้ำในแปลงปลูกพืชผักพื้นบ้านต่าง ๆ เช่นหอม ผักชี บวกหอม บวบงู
ส่วนในบ่อก็เลี้ยงปลานิล โดยใช้เนื้อที่ 3 ไร่เพื่อเป็นการทดลองก่อน ส่วนอีก 6
ไร่ยังทำนาปลูกข้าวเช่นเดิม”กนกวรรณ เผย
ใช้เวลา 2
ปีกว่าเริ่มตั้งแต่ทำเรื่องกู้ยืมเงินสหกรณ์ในโครงการฯมาเป็นค่าใช้จ่ายในการพลิกฟื้นที่นามาเป็นแปลงเกษตรไร่นาสวนผสม
จนกระทั่งเก็บเกี่ยวผลผลิต
ส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้นไม่ใช่แค่รอรายได้จากการทำนาปลูกข้าวเพียงอย่างเดียว
ในที่สุดก็สามารถนำเงินที่กู้มาจำนวน 5 หมื่นบาทส่งคืนสหกรณ์จนหมด
จากนั้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
2567 ที่ผ่านมา เธอได้ทำการกู้ใหม่อีกครั้งในโครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพสมาชิกสหกรณ์จำนวน
30,000 บาท ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี รวมระยะเวลา 1
ปีโดยกำหนดส่งคืนทั้งหมดภายในวันที่ 31 มกราคม 2568
เพื่อนำเงินก้อนดังกล่าวมาต่อยอดของเดิมและขยายพื้นที่เพิ่มเติมอีก 3 ไร่ รวมเป็น
6 ไร่ เหลือพื้นที่ไว้ปลูกข้าวเพียง 3 ไร่
“3
หมื่นที่กู้เอามาขยายพื้นที่เพิ่มจากเดิมมีแค่ 3 ไร่ขยายเพิ่มอีก 3 ไร่
ขุดสระเพิ่มอีกลูก แต่ไม่เสียเงิน เขาขุดให้ฟรี
แต่เขาเอาดินไป เราได้บ่อน้ำ เงินที่กู้ก็เอามาซื้อเมล็ดพันธุ์ผัก
ซื้อลูกปลานิลลงไว้ 5,000 ตัว เมื่อปลายกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ตอนนี้เริ่มจับขายได้บ้างแล้ว แต่ตัวยังไม่ใหญ่มาก 3-4 ตัวโล
ส่วนเรื่องตลาดไม่กังวล ทางสหกรณ์เขาจะดูแลให้จับเมื่อไหร่แจ้งล่วงหน้า 2 วัน
จะมีพ่อค้ามารับซื้อถึงบ่อ ส่วนผักที่ปลูกจะเป็นผักอินทรีย์ส่งให้กับ ทางสหกรณ์
ตอนนี้ส่งสัปดาห์ละ 2 วัน อังคารกับพฤหัส”
เธอยอมรับว่าผักที่ขายเองกับส่งให้กับทางสหกรณ์จะได้ราคาที่ต่างกัน
อย่างเช่นบวบงูขายเองราคา
กิโลกรัมละ 10 บาท แต่ส่งให้ทางสหกรณ์จะรับซื้อกิโลกรัมละ 26 บาท หรืออย่างชะอมขายเองกิโลกรัมละ
20-25 บาท ถ้าส่งให้สหกรณ์จะได้ราคากิโลกรัมละ 100 บาท
ทำให้ผลผลิตที่ได้จะส่งขายให้กับทางสหกรณ์เกือบทั้งหมด
เนื่องจากเราไม่เก่งเรื่องการตลาดภายนอกจะขายในตลาดตามหมู่บ้านอย่างเดียว
ด้าน อภิชัย จันทร์ศักดิ์
เจ้าหน้าที่สินเชื่อของสหกรณ์การเกษตร กรป.นพค.บุรีรัมย์ จำกัด
กล่าวถึงโครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพสมาชิกสถาบันเกษตรกรว่า
สหกรณ์ฯได้ทำการกู้เงินจากกองทุนพัฒนาสหกรณ์หรือกพส.จำนวน 2 ล้านบาท
ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ1 ต่อปี เมื่อเดือนมกราคม 2567 ที่ผ่านมา
จากนั้นได้นำมาทำการปล่อยให้สมาชิกในโครงการฯกู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ2 ต่อปี
ขณะนี้มีสมาชิกทั้งหมด 801 ราย แต่มีสมาชิกที่สนใจขอกู้ไปทั้งสิ้น 57 ราย ๆ ละ
30,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,710,000
บาท ส่วนที่เหลืออีก 290,000 บาทได้ส่งคืน กรมส่งเสริมสหกรณ์ไปเรียบร้อยแล้ว
“สมาชิกที่กู้ไปจะต้องแจ้งก่อนว่าเอาเงินก้อนนี้ไปทำเกี่ยวอะไร
โดยคณะกรรมการฯจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 2 สัปดาห์
พร้อมกับลงพื้นที่ดูความเป็นไปได้นำมาประกอบในการพิจารณาในการกู้เงิน สมาชิกกู้ไปปลูกผักอินทรีย์ 6 ราย เลี้ยงปลานิล
10 ราย ส่วนที่เหลือเลี้ยงโค โดยส่วนใหญ่ซื้อลูกโคมาขุนต่ออีกสักปีก็ขาย ผักอินทรีย์ที่ปลูกส่วนใหญ่ก็จะเป็นผักบุ้ง
ผักชี มะเขือ บวบหอม บวบ
บางรายปลูกไปแล้วเราก็มาส่งเสริมให้ปลูกเพิ่ม เลี้ยงปลา เลี้ยงโคก็เช่นกัน”เจ้าหน้าที่สินเชื่อคนเดิมระบุ
อภิชัย เผยต่อว่า
สำหรับเรื่องการตลาดนั้น ทางสหกรณ์จะรับดูแลทั้งหมด
โดยผักอินทรีย์ได้เชื่อมโยงกับสหกรณ์การเกษตรโนนสุวรรณ จำกัด
ส่งขายให้กับเอิร์ธเซฟและห้างโรบินสันสาขาบุรีรัมย์ ส่วนปลากับโค ก็ไม่มีปัญหา
เพียงแค่สมาชิกแจ้งเข้ามายังสหกรณ์ล่วงหน้า 2-3 วัน ทางสหกรณ์ก็จะประสานไปยังพ่อค้าให้มารับซื้อถึงที่เช่นกัน
“ เงินก้อนนี้จะส่งคืนจนถึง
31ม.ค.68 จากนั้นสมาชิกรายใดที่สนใจกู้ใหม่ก็สามารถทำเรื่องกู้ได้
เพราะเป็นเงินหมุนเวียนในโครงการเงินกู้ระยะสั้นปีต่อปี”เจ้าหน้าที่สินเชื่อคนเดิมย้ำทิ้งท้าย
นับเป็นความสำเร็จของสหกรณ์การเกษตร กปร.กลาง
นพค.บุรีรัมย์ จำกัด ที่ได้นำเงินจากกองทุนพัฒนาสหกรณ์มาใช้ประโยชย์เพื่อพลิกฟื้นชีวิตเกษตรกรสมาชิกให้กินดีอยู่ดี
ภายใต้โครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเกษตรของสมาชิกสหกรณ์
………………………………………………………………
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น