วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2565

CPF ประเดิมปล่อยคอนเทนเนอร์ “เนื้อไก่ตู้ปฐมฤกษ์” ของไทยในรอบ 18 ปี ไปซาอุฯ ต่อยอดผลสำเร็จสานสัมพันธ์สองประเทศ

 

CPF ประเดิมปล่อยคอนเทนเนอร์ “เนื้อไก่ตู้ปฐมฤกษ์” ของไทยในรอบ 18 ปี 

ไปซาอุฯ ต่อยอดผลสำเร็จสานสัมพันธ์สองประเทศ

 



กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ได้ฤกษ์ปล่อยขบวนตู้คอนเทนเนอร์เนื้อไก่เที่ยวแรกของไทยไปยังประเทศซาอุดิอาระเบีย หลัง 5 โรงงานผลิตเนื้อไก่ของ CPF ผ่านรับรองมาตรฐานจากองค์การอาหารและยา ซาอุฯ (Saudi Food & Drug Authority : SFDA) เป็นผลจากความสำเร็จของการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ  บริษัทฯ คาดจะส่งออกไก่ไปซาอุฯ ได้ 30 ตู้ จำนวน 600 ตันภายในเดือนมีนาคมนี้

 


วันนี้ (28 มี.ค. 65) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วย นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายในพล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ เลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย รวมทั้ง นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร และคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ ร่วมปล่อยตู้คอนเทนเนอร์ปฐมฤกษ์ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ ออกจากโรงงานแปรรูปไก่เนื้อ มีนบุรี 2 ไปยังซาอุดิอาระเบีย นับเป็นไก่ล็อตแรกของไทยในรอบ 18 ปี ตั้งแต่ปี 2547 ตามมาตรการห้ามนำเข้าเนื้อไก่ ไข่ไก่ และผลิตภัณฑ์ไก่จากประเทศไทย ล่าสุด รัฐบาลซาอุฯ ได้ประกาศรับรองอนุญาตให้นำเข้าผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกของไทยจากโรงงาน 11 แห่ง ในจำนวนนี้ มีโรงงานของซีพีเอฟ 5 แห่ง สามารถผ่านการรับรองมาตรฐาน ประกอบด้วย โรงงานชำแหละไก่มีนบุรี  โรงงานแปรรูปไก่เนื้อมีนบุรี 1 โรงงานแปรรูปไก่เนื้อมีนบุรี 2  โรงงานชำแหละไก่สระบุรี และโรงงานแปรรูปไก่เนื้อสระบุรี  

 




นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า วันนี้นับเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ของการส่งออกไก่ไทยไปซาอุฯ เป็นผลสำเร็จที่สำคัญจากการเยือนซาอุฯของ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และการผนึกพลังของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการต่างประเทศในการฟื้นความสัมพันธ์การค้าของสองประเทศ ในโอกาสนี้ ขอขอบคุณคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยในการประสานงานในด้านมาตรฐานการผลิตไก่ไทยเป็นไปตามมาตรฐานฮาลาล 

 

“ขอแสดงความยินดีกับ ซีพีเอฟเป็นบริษัทแรกที่ได้ส่งออกสินค้าไก่ตู้ปฐมฤกษ์  ถือเป็นศักราชใหม่ของโลกการค้าไทยและซาอุฯ ทั้งนี้ ไทยตั้งเป้าส่งออกไก่ไปซาอุฯ ในปีนี้ 1 หมื่นตัน ซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าและตัวเลขการส่งออกไก่เนื้อของไทยไปต่างประเทศ โดยในปีนี้ตั้งเป้าส่งออกไก่เนื้อไปทั่วโลกรวม 9.8 แสนตันเพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อนซึ่งซาอุฯ เป็นตลาดที่สำคัญและใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะสินค้าฮาลาล มั่นใจว่า สินค้าของไทยแข่งขันได้ในตลาดโลก” นายจุรินทร์กล่าว 

 


นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ เปิดเผยว่า การปล่อยขบวนตู้คอนเทนเนอร์เนื้อไก่ในวันนี้ จำนวน 5 ตู้  ปริมาณ 100 ตัน เป็นการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ล็อตแรกจาก 5 โรงงานของบริษัทฯ และภายในเดือนมีนาคมนี้ บริษัทฯ จะมีการส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ผ่านผู้นำเข้ารายใหญ่ของซาอุฯ ปริมาณรวม 600 ตัน คิดเป็นมูลค่า 47 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ท่านรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และทุกหน่วยงานเกี่ยวข้อง ซึ่งให้ความร่วมมือช่วยกันประสานงาน จนสามารถฟื้นการส่งออกไก่ไทยไปยังตลาดซาอุฯ ได้สำเร็จ นับเป็นการเพิ่มขีดความสามารถการส่งออกไก่ของไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่ง 

 


"บริษัทฯ คาดว่าในปีนี้ ซีพีเอฟจะส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ได้ 300 ตู้ ปริมาณรวม 6,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าจากการส่งออกรวม 473 ล้านบาท และคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า จะขยายการส่งออกไก่สดและไก่แปรรูปไปซาอุฯ ได้ 3,000 ตู้ ปริมาณรวม 60,000 ตัน ช่วยทำรายได้เข้าประเทศ 4,200 ล้านบาท" นายประสิทธิ์ กล่าว 

 

ผลิตภัณฑ์ไก่สดแช่เย็น แช่แข็ง และผลิตภัณฑ์ไก่แปรรูปของซีพีเอฟ ผ่านกระบวนการผลิตที่ผ่านการรับรองมาตรฐานในประเทศและมาตรฐานสากลอย่างเคร่งครัด อาทิ GMP, HACCP, ISO 9001, IFS(International Food Standard), BRC (British Retail Consortium, ISO 14001 (Environment Management System) รวมถึง Thai Labor Standard TLS 8001 (มาตรฐานแรงงานไทย-มรท. 8001), ISO 45001 (Occupational Health and Safety Management Systems) ที่สำคัญ มีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานตามหลักศาสนาอิสลาม หรือ Halal และผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ตั้งแต่การเชือดไก่โดยพนักงานที่นับถือศาสนาอิสลาม หรือการแปรรูปเนื้อไก่โดยใช้วัตถุดิบที่ไม่มีของต้องห้ามตามหลักศาสนาอิสลาม สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงต้นทาง เป็นที่ยอมรับของลูกค้าและผู้บริโภคทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหลักอย่างสหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ประเทศในสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นตลาดที่มีกฎเกณฑ์ด้านสุขอนามัยสูงมาก ทั้งมาตรฐานฟาร์มและการปฏิบัติตามหลักสวัสดิภาพสัตว์

 


ทั้งนี้ ซาอุฯ เป็นอีกตลาดที่มีศักยภาพสูง ด้วยมีประชากรมากถึง 35.6 ล้านคน เป็นประเทศที่มีสัดส่วนนำเข้าอาหารสูงที่สุดในกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ (Gulf Corporation Council) และจะเป็นประเทศผู้นำเข้าเนื้อไก่จากประเทศไทยรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง การกลับเข้าสู่ตลาดซาอุฯ ในครั้งนี้จะช่วยสร้างโอกาสให้อุตสาหกรรมไก่เนื้อของไทยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของผู้ส่งออกเนื้อไก่ไปยังซาอุฯ ได้ประมาณ 10-15% ของตลาดรวมเนื้อไก่ ./

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2565

เกษตรกร กระทุ้งรัฐแก้ปัญหาข้าวโพดด่วน เร่งตรวจสต๊อกป้องกักตุน หลังราคาปรับเพิ่มต่อเนื่อง แต่ประโยชน์ไม่ตกถึงเกษตรกร

 

เกษตรกร กระทุ้งรัฐแก้ปัญหาข้าวโพดด่วน เร่งตรวจสต๊อกป้องกักตุน  หลังราคาปรับเพิ่มต่อเนื่อง แต่ประโยชน์ไม่ตกถึงเกษตรกร

 

โดย กันย์สินี ศตคุณ นักวิชาการอิสระด้านการเกษตร

 



การประชุมแก้ปัญหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อหารือแนวทางการผ่อนปรนมาตรการ 3 : 1 (ต้องรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ 3 ส่วน จึงจะนำเข้าข้าวสาลีจากเดิมหากนำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วนได้) เมื่อวันที่ 15 มี.ค.2565 ที่มีกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นโต้โผนัดหารือผู้แทนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าว มันสำปะหลัง เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ ไก่เนื้อ สุกร สมาคมโรงงานอาหารสัตว์ และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง มีมติเห็นควรให้ผ่อนคลายมาตรการ 3 ต่อ 1 เป็นไม่มีการกำหนดสัดส่วนเป็นการชั่วคราวถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2565 เพื่อให้มีวัตถุดิบเพียงพอต่อการผลิตและสามารถช่วยลดภาระราคาอาหารสัตว์ได้

 

กระทั่งการประชุมล่าสุด ระหว่างเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด ข้าว มันสำปะหลัง ผู้เลี้ยงสัตว์ และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง โดยมีอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นประธานการประชุม แม้ว่ายังไร้ข้อสรุปเกี่ยวกับรายละเอียดการผ่อนคลายเงื่อนไข แต่ทุกฝ่ายก็เข้าใจถึงสถานการณ์ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น และส่งผลกระทบต่อผู้เลี้ยงรายย่อย และยินดีที่จะหารือถึงแนวทางการผ่อนปรนมาตรการดังกล่าว บนพื้นฐานข้อมูลที่ยอมรับร่วมกัน เพื่อให้มีวัตถุดิบเพียงพอต่อการผลิตและสามารถช่วยลดภาระราคาอาหารสัตว์ได้

 


รายงานข่าวจากเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการใช้วัตถุดิบข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อผสมในสูตรอาหารสัตว์ กล่าวว่า การจำกัดช่วงเวลาในการนำเข้าจะกลายเป็นปัจจัยที่จะทำให้ราคาสินค้าธัญพืชปรับตัวสูงขึ้นไปอีกเมื่อถึงเวลาที่กำหนด เนื่องจากพพ่อค้าคนกลางจะใช้เหตุผลนี้กดดันราคากับภาคผู้ผลิตและเกษตรกรผู้เพาะปลูก ซึ่งภาครัฐควรมองให้ถึงแก่นของปัญหา เพราะขณะนี้สินค้าไม่ได้อยู่ในมือเกษตรกรอีกต่อไป แต่ถูกเก็บไว้โดยพ่อค้าคนกลาง ทำให้ปัจจุบัน (24 มีนาคม) ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปรับไปอยู่ที่ 13.00 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาตลาดโลก และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ใช้ในสูตรอาหารสัตว์มากกว่า 50% ในขณะที่ภาคผู้เลี้ยงมีภาระต้นทุนการเลี้ยงที่ต้องแบกรับมาตลอดอยู่แล้ว เมื่อราคาธัญพืชที่เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์สำคัญ ทั้งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง รวมทั้งข้าวสาลี ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากวิกฤตยูเครนและรัสเซีย ที่ผลักดันให้ราคาวัตถุดิบทั่วโลกแพงขึ้น กลายเป็นภาระหนักต่อเกษตรกรปลายทาง ที่สำคัญพ่อค้าวัตถุดิบเห็นช่องทางการทำกำไรในช่วงนี้ จึงอาจมีการกักตุนสินค้าโดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ออกสู่ตลาดมากในช่วงก่อนหน้าที่จะเกิดสงครามขึ้น

 

การเก็บสินค้าตุ้นไว้เพื่อเก็งกำไร “ถือเป็นการซ้ำเติมภาคผู้ผลิตและภาคผู้เลี้ยงสัตว์อย่างมาก” พ่อค้าคนกลางเพียงแค่ซื้อมาและขายออกไป แทบไม่มีความเสี่ยงใดๆ ในขณะที่ผู้เลี้ยงสัตว์มีต้นทุนให้ต้องแบกรับเป็นจำนวนมาก ทั้งต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่คิดเป็น 70-80% ของต้นทุนการเลี้ยงทั้งหมด ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าการจัดการ ค่าแรงงาน และการป้องกันโรคที่ต้องยกระดับขึ้นซึ่งต้องใช้เงินทุนค่อนข้างสูง การกักตุนผลผลิตข้าวโพด นำไปสู่ราคาสินค้าที่สูงขึ้นมาก และไม่มีเพดานราคาสูงสุด การเพิ่มขึ้นของราคาเป็นไปอย่างอิสระ ขณะที่ภาคผู้ผลิตและผู้เลี้ยงกลับต้องซื้อสินค้าในราคาที่ภาครัฐประกันรายได้ไว้กับผู้เพาะปลูก แต่กลับขอให้เกษตรกรกรตรึงราคาสินค้าปศุสัตว์เอาไว้ ทั้งไก่เนื้อ ไข่ไก่ เพื่อหวังช่วยเหลือผู้บริโภค โดยลืมคิดไปว่าคนเลี้ยงสัตว์ก็คือประชาชนและผู้บริโภคคนหนึ่งเช่นกัน

 

หากยังปล่อยให้พ่อค้ากักตุนข้าวโพดไว้เช่นนี้ นอกจากประโยชน์จะไม่ตกถึงเกษตรกรผู้เพาะปลูกพืชไร่ดังที่รัฐบาลมุ่งช่วยเหลือมาตลอดแล้ว ทุกข์หนักจะตกกับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ที่อาจต้องหยุดเลี้ยง หากภาคการผลิตอาหารสัตว์ไม่สามารถทนรับต้นทุนการผลิตที่สูงได้อีกต่อไป ย่อมตัดสินใจเลิกการผลิตอย่างแน่นอน ขอให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบสต๊อกข้าวโพด เพื่อให้เกิดผลเชิงจิตวิทยา ให้พ่อค้าปล่อยสต๊อกออกมาทำให้ราคาสินค้าปรับลดลง"

 

สอดคล้องกับ นายกสมาคมผู้เลี้ยงไข่ไก่ มาโนช ชูทับทิม ที่กล่าวถึงราคาไข่ไก่ที่มีการปรับตัวต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ปัจจัยสำคัญมาจากวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะข้าวโพด และข้าวสาลี ที่ขาดแคลนจากสงครามยูเครน ซึ่งทั้งรัสเซียและยูเครน เป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวสาลีรายใหญ่ ปริมาณมากกว่า 30% ของผลผลิตทั้งโลก และต้นทุนในการขนส่งไข่ไก่ยังปรับสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน ส่งผลให้ขณะนี้ต้นทุนการผลิตไข่ไก่ พุ่งสูงถึง 3.10 - 3.24 บาทต่อฟอง เกษตรกรจึงจำเป็นต้องขยับราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มขึ้นเป็น 3.40 บาท คาดว่ายิ่งสถานการณ์สงครามยืดเยื้อ ก็ยิ่งจะทำให้ราคาไข่ไก่สูงขึ้นไปอีก

 

ปัญหาราคาข้าวโพดที่สูงขึ้นแบบฉุดไม่อยู่ คงมีแต่ภาครัฐเท่านั้นที่พอจะช่วยเกษตรกรได้ อย่าให้คนเพียงกลุ่มเดียวได้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ การปกป้องและดูแลผู้ผลิตและเกษตรกรตลอดห่วงโซ่อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม คือทางออกของปัญหานี้ และควรปล่อยราคาสินค้าเป็นไปตามกลไกตลาด เพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้ในสถานการณ์ที่ต้นทุนการผลิตทั้งหมดต่างปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง./

วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2565

ไทยเข้าร่วมงาน“มหกรรมพืชสวนโลก EXPO 2022 Floriade Almere” เปิดตัว Thailand Pavilion โชว์ศักยภาพนวัตกรรมอาหารสินค้าเกษตรไทยสู่สายตาชาวโลก

 

ไทยเข้าร่วมงาน“มหกรรมพืชสวนโลก EXPO 2022 Floriade Almere” เปิดตัว Thailand Pavilion โชว์ศักยภาพนวัตกรรมอาหารสินค้าเกษตรไทยสู่สายตาชาวโลก

 



          ดร
. เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2563 อนุมัติให้เข้าร่วมงานและมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการในนามประเทศไทย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หน่วยงานราชการอี่น และภาคเอกชน




ในการนี้ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ประเทศไทยได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานมหกรรมพืชสวนโลก The International Horticultural Expo (EXPO 2022 Floriade Almere) ระหว่างวันที่ 13  เมษายน – 9 ตุลาคม 2565 ณ ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความก้าวหน้าด้านการเกษตรของประเทศไทย  การสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพมาตรฐานของสินค้าเกษตรและสินค้าเพื่อสุขภาพของไทย การแลกเปลี่ยนและขยายความร่วมมือเรื่องพืชสวนระหว่างกัน รวมทั้งสร้างความตระหนักรู้ถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมโอกาสในการขยายตลาดสินค้าเกษตรไทยไปสู่ผู้บริโภคหรือคู่ค้าในระดับสากล อีกทั้งการร่วมงานในครั้งนี้ยังเป็นโอกาสอันดีในการร่วมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ครบรอบ 418 ปี ในปี 2565 นี้ ซึ่งที่ผ่านมาทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีมาโดยตลอด ทั้งในระดับพระราชวงศ์  รัฐบาล และประชาชน





 ด้าน นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า การเข้าร่วมงานมหกรรมพืชสวนโลก The International Horticultural Expo (EXPO 2022 Floriade Almere) ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในครั้งนี้ ประเทศไทยเข้าร่วมจัดงานภายใต้แนวคิดหลัก “TRUST Thailand”  โดยจะนำเสนอนโยบาย BCG model และนโยบาย 3S  (3S : Safety Security and Sustainability) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สอดคล้องกับแนวคิดหลักในการจัดงาน “Growing Green Cities”  ความก้าวหน้าในด้านนวัตกรรมอาหารและสินค้าเกษตรของไทย  การพัฒนากระบวนการผลิตที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง นำเสนอสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพในการส่งออก รวมทั้งจะเป็นเวทีเชื่อมโยงผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และผู้ส่งออกสินค้าเกษตรของไทย กับผู้นำเข้าสินค้าของเนเธอร์แลนด์ เพื่อเปิดโอกาสในการขยายธุรกิจสินค้าพืชสวนของไทย ซึ่งการเข้าร่วมการจัดงาน Floriade ของประเทศไทยในอดีตสามารถเปิดตลาดสินค้ากล้วยไม้ในประเทศเนเธอร์แลนด์ได้สำเร็จมาแล้ว

   

สำหรับพื้นที่จัดแสดงภายในอาคาร Thailand Pavilion แบ่งออกเป็น 3 โซน ได้แก่

โซนที่ 1 : Welcome to Thailand นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศไทย เช่น ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและเนเธอร์แลนด์ ตัวอย่างโครงการตามแนวคิด BCG Model การท่องเที่ยวไทยและท่องเที่ยวเชิงเกษตร 

ซนที่ 2 : Future Products นำเสนอระบบการรับรองมาตรฐานการผลิตสินค้าเกษตรตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ สินค้ากลุ่ม Future food เช่น เห็ดแครง จิ้งหรีด มะพร้าว ลำไย ขมิ้นชัน ที่พลาดไม่ได้คือ Landmark สุดอลังการ สูง 5 เมตร ซึ่งประดับด้วยกล้วยไม้สกุลหวายและแวนด้า โดยเฉพาะกล้วยไม้สกุลแวนด้า ซึ่งในปี 2565 นี้ กรมส่งเสริมการเกษตรมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นตลาดประเทศเนเธอร์แลนด์อีกครั้ง

โซนที่ 3 : Showroom นำเสนอตัวอย่างสินค้าที่มีศักยภาพในการส่งออก เช่น สินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์สมุนไพร สปา และเวชสำอาง กลุ่มผลิตภัณฑ์ชุมชน และอุปกรณ์ตกแต่ง กลุ่มผ้าไหมและผลิตภัณฑ์จากไหม เป็นต้น







          สำหรับกิจกรรมพิเศษ ประกอบด้วย พิธีเปิดอาคาร Thailand Pavilion ในวันที่ 14 เมษายน 2565 นำเสนอกิจกรรมทางด้านวัฒนธรรมที่สอดคล้องกลับช่วงเวลา คือ เทศกาลสงกรานต์ โดยเชิญชวนชุมชนไทยในประเทศเนเธอร์แลนด์เข้าร่วมงาน ส่วนกิจกรรมสัปดาห์ประเทศไทย กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 28 กรกฎาคม 2565 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา โดยกระทรวงวัฒนธรรมจะนำชุดการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยไปจัดแสดงตามแนวคิดเทศกาลลอยกระทง เพื่อให้ผู้เข้าชมงานได้รู้จักวัฒนธรรมไทยที่สวยงาม รวมถึงนิทรรศการหมุนเวียนด้านพืชสวน 6 เรื่อง ได้แก่ กล้วยไม้ไม้ฟอกอากาศ ผลไม้ภาคตะวันออก สมุนไพร ผัก  ผลไม้ภาคใต้ และไม้ดอกไม้ประดับ

          อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ที่ไม่สามารถเดินทางไปร่วมชมงานในสถานที่จริงได้  กรมส่งเสริมการเกษตรขอเชิญเข้าชมความสวยงามของอาคาร Thailand Pavilion นิทรรศการ และกิจกรรมต่างๆ ที่จะจัดขึ้นได้ผ่านทางเว็บไซต์ https://thailandfloriade2022.com ซึ่งจะมีข้อมูลข่าวสารการจัดงาน และกิจกรรม Live สด พาชมบรรยากาศภายในงาน EXPO 2022 Floriade Almere ตลอดระยะเวลาการจัดงาน พร้อมกิจกรรมร่วมสนุกรับของที่ระลึกจากงานอีกด้วย

 

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2565

สส.ชสอ. ประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 64 แจงผลการดำเนินงานและมอบโล่รางวัลดีเด่น

 

สส.ชสอ. ประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 64 แจงผลการดำเนินงานและมอบโล่รางวัลดีเด่น

       


วันที่ 20 มี.ค.65 นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม ประธานดำเนินการสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย (สสท.) เป็นประธานในพิธีเปิดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2564 ของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สหกรณ์สมาชิกของชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย  (สส.ชสอ.) พร้อมมอบโล่เกียรติคุณ “รางวัลดีเด่น” ให้กับศูนย์ประสานงาน  โยมีนายอุทัย  ศรีเทพ นายกสมาคมฯ เป็นผู้กล่าวรายงาน ณ ห้องประชุมได้มอนด์ฮอลล์ โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ท จังหวัดปทุมธานี

 



นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม ประธานกรรมการดำเนินการ สสท. กล่าวว่า “การฌาปนกิจสงเคราะห์” หมายความว่า กิจการที่บุคคลหลายคนตกลงเข้าร่วมกันเพื่อทำการสงเคราะห์ซึ่งกันและกันในการจัดการศพ หรือจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวของบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่ตกลงเข้าร่วมกันนั้นซึ่งถึงแก่ความตาย และมิได้ประสงค์จะหากำไรหรือรายได้เพื่อแบ่งปันกัน จากการที่ได้ดำเนินงานมากว่า 10 ปีจะเห็นได้ว่ามีสมาชิกเพิ่มขึ้นทุกปีซึ่งเป็นตัวชี้วัดถึงความเข้าใจและความเชื่อมั่นของสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ทั้งประเทศ นับว่าเป็นการสร้างระบบสวัสดิการให้สมาชิก มีความมั่นคงในชีวิตสอดคล้องกับความคาดหวังของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่มีความมุ่งมั่นพัฒนาคนและสังคมให้มีคุณภาพ กระทั่งมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม เสริมสร้างให้ชุมชนเข้มแข็งตามนโยบายของภาครัฐ โดยเสริมสร้างทุกภาคส่วนให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมของประเทศ

 




จึงนับได้ว่า สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เป็นภาคส่วนสำคัญในการมีส่วนร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ต่อการผลักดันให้เกิดสังคมสวัสดิการ โดยการช่วยตนเองและช่วยเหลือซึ่งกันและกันในหลักการเดียวกันกับการสหกรณ์ อันเป็นการพัฒนาสังคมให้เข้มแข็งและประชาชนได้รับสวัสดิการพื้นฐานอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม

 


ด้าน นายอุทัย ศรีเทพ นายก สส.ชสอ. กล่าวว่า  สส.ชสอ. ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2554 บัดนี้ได้ดำเนินงานมาครบ 10 ปี มีสำนักงานของตนเองที่อาคารสวัสดิการฌาปนกิจสงเคราะห์สหกรณ์ออมทรัพย์ไทย (สฌ.สอ.) มีจำนวนสมาชิกนับจนถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2564 จำนวน 319,817 คน ซึ่งมีสมาชิกเพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 13,721 คน ปี 2564 มีสมาชิกเสียชีวิตจำนวน 2,701 คน จ่ายเงินสงเคราะห์จำนวนเงิน 1,620,833,697 บาท ทั้งนี้สมาชิกเสียชีวิตแล้วรวมทั้งสิ้น จำนวน 19,894 ราย จ่ายเงินสงเคราะห์ไปแล้วจำนวนเงิน 12,032,800,465.84 บาท  และศูนย์ประสานงานจำนวน 491 ศูนย์  จะเห็นถึงอัตราการเจริญเติบโตของสมาคม เป็นไปอย่างมั่นคงจากสมาชิกที่ให้ความศรัทธาและเชื่อมั่นในการดำเนินงานของสมาคม  เนื่องด้วยการดำเนินงานเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการก่อตั้งเพื่อการสงเคราะห์ครอบครัวและพัฒนาคุณภาพชีวิตในหมู่สหกรณ์ออมทรัพย์ /ช่วยเหลือเพื่อนสมาชิกสหกรณ์ด้วยกัน และร่วมสร้างหลักประกันและความมั่นคงให้แก่สมาชิก และร่วมสร้างหลักประกันร่วมกันในขบวนการ สหกรณ์ออมทรัพย์ไทยให้เป็นปึกแผ่นมั่นคงและนอกจากการประชุมใหญ่เพื่อชี้แจงผลการดำเนินงานยังมีการมอบโล่เกียรติคุณให้กับศูนย์ประสานงานที่มีผลงานดีเด่นและบุคลากรต้นแบบ จำนวน 25 โล่ อีกด้วย






วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2565

สส.ชสอ. ร่วมกับ 9 สมาคม 7 กลุ่มอาชีพ จัดสัมมนากำหนดทิศทางการดำเนินงานและพัฒนา

 สส.ชสอ. ร่วมกับ 9 สมาคม 7 กลุ่มอาชีพ จัดสัมมนากำหนดทิศทางการดำเนินงานและพัฒนา



วันที่ 19 มี.ค.65 นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม ประธานดำเนินการสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย เป็นประธานในพิธีเปิดการเสวนาศูนย์ประสานงานสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ขบวนการสหกรณ์ออมทรัพย์ไทย พร้อมทั้งบรรยายพิเศษ หัวข้อ “ ทิศทางแนวทางการพัฒนาการดำเนินการพัฒนาฌาปนกิจสงเคราะห์สู่อนาคต” ซึ่งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สหกรณ์สมาชิกของชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ 9 สมาคม 7 กลุ่มอาชีพ จัดขึ้น โดยมีนายสมพล ตันติสันติสม นายกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สมาชิกชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์ครูไทย  ในนามของ 9 สมาคม เป็นผู้กล่าวรายงาน ณ ห้องประชุมได้มอนด์ฮอลล์ โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ท จังหวัดปทุมธานี โดยมี





นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม ประธานดำเนินการ สสท. กล่าวว่า การสัมมนาศูนย์ประสานงาน 9 สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ เป็นการสัมมนาเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ และทิศทาง/แนวทาง การดำเนินการพัฒนาการฌาปนกิจสงเคราะห์สู่อนาคต การดำเนินงานของสมาคมต่อมวลสมาชิก ซึ่งได้มองเห็นความก้าวหน้าของสมาคมฯ เพิ่มขึ้นในทุกปี นับได้ว่าเป็นการสร้างสวัสดิการให้กับครอบครัวของสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ได้เป็นอย่างดียิ่ง พร้อมทั้งยังนำไปสู่ความมั่นคงของสมาชิก สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ขนาดใหญ่ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับสมาชิกในด้านการบริหารให้เกิดการมีส่วนร่วม โปร่งใส  ตรวจสอบได้ 


ทั้งนี้ จากรายงานกิจการประจำปีเห็นได้ว่าสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ของกลุ่มวิชาชีพเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมไปกับการบริหารงานอย่างธรรมาภิบาล อีกประการหนึ่งที่มีความตั้งใจและความพยายามที่ผลักดันให้การฌาปนกิจสงเคราะห์เป็นสวัสดิการของสังคมที่รัฐบาลกำหนดเป็นนโยบายมีภาคเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบโดยเกิดจากกลุ่มคนที่มีความคิดตรงกันในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน จึงเป็นผลให้ภาครัฐที่รับผิดชอบได้ตระหนักถึงแนวทางแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องต่อการปรับเปลี่ยนตามกาลเวลาหรือความเจริญเติบโตของการฌาปนกิจสงเคราะห์เพื่อสร้างความมั่นคงอย่าง จึงขอชื่นชมต่อคณะกรรมการทุกสมาคมฯ ที่ได้ปฏิบัติภารกิจอย่างมืออาชีพ มีจริยธรรมต่อผู้คนทั้งหลาย ตลอดทั้งมีภาวะผู้นำองค์กรให้ก้าวหน้ามาเป็นลำดับ และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือการทำงานเป็นทีมของคณะกรรมการอันเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกและครอบครัว ตลอดจนสังคมตามนโยบายของรัฐได้เป็นอย่างดี          

                  


ด้าน นายสมพล ตันติสันติสม  นายกสมาคมฯ กล่าวว่า สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ขบวนกาสหกรณ์ออมทรัพย์ไทย  ได้เริ่มจากการรวมตัวของสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ชุมนุมครูไทยที่มีความเห็นตรงกันในการสร้างคน “เป็นผู้ให้”และเป็น “สวัสดิการ” โดยเฉพาะการให้เมื่อสมาชิกเสียชีวิตหรือทายาทเกิดความเดือนร้อนเพื่อเสริมสร้างเป็นสวัสดิการที่เกิดจากการรวมตัวเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ดังนั้น จึงมีการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สมาชิกชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์ครูไทยขึ้น เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2553 ณ สหกรณ์ออมทรัพย์ครูเลย จำกัด จังหวัดเลย ได้ดำเนินงานโดยมีสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ครูทั่วประเทศเป็นสมาชิกและมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นมาทุกปี ทำให้ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย จำกัด ได้เล็งเห็นเป็นต้นแบบของการสร้างระบบสวัสดิการให้กับสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ที่มีอยู่ทุกกลุ่มวิชาชีพ จำนวน  3,195,155  คน 



ปัจจุบันมีสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ทั้ง 9 สมาคม มีสมาชิกรวมทั้งสิ้น จำนวน 1,027,838 คน โดยมีจำนวนสมาชิกของแต่ละสมาคม ได้แก่ 1.สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สมาชิกชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์ครูไทย (สสอค.) 2.สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์สาธารณสุข (สสธท.) 3.สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ราชการ (สสอร.) 4.สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์รัฐวิสาหกิจ (สสอ.รท.) 5.สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ทหาร (สสอท.) 6.สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สมาชิกของสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจ (สสอต.) 7.สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์สถานประกอบการ (สสอป.) 8.สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สหกรณ์สมาชิกของชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย (สส.ชสอ.) และ9.สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์สมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ไทย (สส.สท.)









วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2565

ไทย..หมู่บ้านกระสุนตกสงครามยูเครน ทำวัตถุดิบอาหารสัตว์แพง เลิกคุมราคา ปล่อยอาหารสัตว์ ไก่ ไข่ เป็นอิสระ ก่อนพังยกแผง

 

ไทย..หมู่บ้านกระสุนตกสงครามยูเครน ทำวัตถุดิบอาหารสัตว์แพง  เลิกคุมราคา ปล่อยอาหารสัตว์ ไก่ ไข่ เป็นอิสระ ก่อนพังยกแผง

 โดย : กันยาพร สดสาย นักวิชาการด้านปศุสัตว์

 



การสู้รบกันระหว่างรัสเซียและยูเครน เกิดผลกระทบทางตรงและทางอ้อมกับทุกประเทศทั่วโลก ทำให้ราคาน้ำมันดิบ รวมถึงสินค้าที่ทั้งสองประเทศเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก อาทิ ธัญพืชสำหรับผลิตอาหารสัตว์ ทั้งข้าวสาลี และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปรับราคาขึ้นทันที โดยราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้น 5.1% และราคาข้าวสาลีเพิ่มขึ้น 2.1% ในเดือนที่ผ่านมา สะท้อนความไม่แน่นอนในปัญหาที่เกิดขึ้น จากท่าเรือทะเลดำที่จะได้รับผลกระทบจากสงครามนี้

 

ภาวะราคาธัญพืชปรับขึ้นไม่ใช่เกิดเพียงในสองประเทศ แต่ยังผลักดันให้ธัญพืชทั่วโลกปรับราคาตามกลไกตลาด ขณะที่ไทยเองต้องพึ่งพาการนำเข้าธัญพืชหลายชนิดเพื่อเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่น กากถั่วเหลืองที่นำเข้าจากสหรัฐอเมริกาและอาร์เจนตินาในปริมาณมาก ซึ่งขณะนี้ราคาสูงขึ้นเช่นกันจากปัญหาภัยแล้งทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลง

 





เรื่องราคาวัตถุดิบสูงขึ้นนี้ไม่ได้เพิ่งเกิด หากแต่เป็นต้นทุนที่ภาคผู้ผลิตอาหารสัตว์และเกษตรกรต้องแบกรับมา ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3/2563 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน คิดเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้น 25-30% ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้เสนอต่อภาครัฐให้พิจารณามาตรการรองรับโดยเร็ว ด้วยเกรงว่าต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นนี้ จะกระทบกับความสามารถในการผลิตอาหารสัตว์ จนถึงขั้นต้องปิดไลน์ผลิต ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อภาคผู้เลี้ยงและการผลิตเนื้อสัตว์ลดลง กระทั่งเกิดปัญหาขาดแคลนในที่สุด

 

สิ่งที่ภาคผู้ผลิตเสนอให้รัฐบาลเร่งพิจารณาแก้ปัญหาในระยะสั้น ประกอบด้วย 1. ยกเลิกมาตรการ 3 : 1 เพื่อเปิดโอกาสให้มีการนำเข้าข้าวสาลีได้โดยเสรีจากหลายแหล่งผลิตทั่วโลก ส่งผลให้ราคาการซื้อขายเป็นไปตามกลไกตลาดโลก 2. ยกเลิกภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง 2% เพื่อเป็นการลดต้นทุนในการผลิต และ 3. เปิดให้นำเข้าข้าวโพดภายใต้กรอบ WTO และAFTA ยกเลิกโควต้า ภาษีและค่าธรรมเนียม ในปริมาณที่ขาดแคลนในปี 2565 เพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบ ทำให้สามารถนำมาใช้ได้อย่างเพียงพอตลอดปี และลดต้นทุนการผลิต

 





โดยเฉพาะปัญหาหนักสุดในตอนนี้ คือมาตรการรัฐในการแก้ไขปัญหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้กับภาคผู้เพาะปลูก โดยให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์ต้องรับซื้อข้าวโพดในประเทศราคา 8.50 บาทกิโลกรัม หวังป้องกันไม่ให้การนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศส่งผลกระทบราคาในประเทศ ด้วยการกำหนดอัตราซื้อข้าวโพด 3 ส่วน ต่อการนำเข้า 1 ส่วน หรือมาตรการ 3 ต่อ 1 แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ปริมาณข้าวโพดที่ผลิตในประเทศผลิตได้เพียง 4.5 ล้านตันต่อปี ถึงแม้ภาคการผลิตอาหารสัตว์จะใช้วัตถุดิบนี้ทั้งหมดก็ตาม แต่ก็สามารถนำเข้าได้เพียง 1 ล้านตันเท่านั้น ขณะที่ความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมนี้มีมากถึง 8.5 ล้านตัน เท่ากับว่ายังขาดวัตถุดิบอีกถึง 2-3 ล้านตัน 

 

เมื่อรัฐปิดทางการหาวัตถุดิบทดแทนด้วยมาตรการนี้ รัฐก็ควรแก้ปัญหาด้วยการ “ลดกำแพงภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง" จากอัตรา 2% เป็น 0% เพื่อให้กากถั่วเหลืองนำเข้ามีราคาต่ำลดลง ซึ่งไม่กระทบต่อเกษตรกรผู้เพาะปลูกของไทย ที่ผลิตได้ในจำนวนจำกัดและใช้ภายในประเทศในอุตสาหกรรมอื่นๆทั้งหมดอยู่แล้ว 

 

หากแต่วันนี้ นอกจากภาครัฐจะนิ่งเฉยกับข้อข้อเรียกร้องเหล่านี้แล้ว ยังควบคุมไม่ให้อาหารสัตว์ปรับราคาขายตามกลไกตลาดได้ นี่คือการซ้ำเติมทุกข์ของภาคผู้ผลิตต้นน้ำ ที่จะกลายเป็นระเบิดเวลาสำหรับภาคผู้เลี้ยงกลางน้ำ และผู้บริโภคปลายทาง ซึ่งปัจจุบันผลได้ปรากฏแล้ว จากการผลิตอาหารสัตว์ที่ปีนี้คาดว่าจะลดลงไปถึง 4-5 ล้านตัน จาก 22 ล้านตัน เหลือ 17-18 ล้านตัน ซึ่งลดลงต่ำกว่าเป้าหมายก่อนหน้านี้ที่ตั้งไว้ 19.08 ล้านตันด้วยซ้ำ 

 

เมื่อไม่สามารถหาวัตถุดิบมาผลิตอาหารสัตว์ได้ หรือแม้จะหามาผลิตได้แต่ก็ต้องขายในราคาขาดทุน ด้วยเหตุนี้ผู้ผลิตอาหารสัตว์หลายแห่ง จึงจำเป็นต้องทยอยลดกำลังการผลิตอาหารสัตว์ลงบางส่วน สะท้อนการขาดแคลนวัตถุดิบในการเลี้ยงสัตว์ของเกษตรกรผู้เลี้ยง ที่จะกระทบถึงปริมาณผลผลิตเนื้อสัตว์และห่วงโซ่ความมั่นคงอาหารของประเทศ

 

ยังโชคดีที่เรื่องนี้ถึงหู นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงสั่งการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่ตรวจสอบสต๊อกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของพ่อค้าคนกลางทั่วประเทศโดยด่วน หลังจากมีการตั้งข้อสังเกตว่าที่ผ่านมามีการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวโพดเข้าสู่ตลาดแล้ว แต่กลับพบว่าปริมาณข้าวโพดในตลาดมีน้อยผิดปกติ ไม่สอดคล้องกับผลผลิตที่พ่อค้ารับซื้อจากเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด ดันให้ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์พุ่งขึ้นทุกวัน เข้าข่ายพฤติกรรมการกักตุนสินค้า รวมทั้งกดดันผู้ผลิตอาหารสัตว์ให้ต้องจ่ายราคาพิเศษเพิ่มขึ้นอีก “ถือเป็นการซ้ำเติมผู้ผลิตอาหารสัตว์และเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ที่กำลังเดือดร้อน”

 

เรื่องนี้ไม่ได้กระทบเพียงภาคผู้ผลิตอาหารสัตว์ต้นน้ำเท่านั้น กลางน้ำอย่างเกษตรกรก็เรียกร้องไปถึงภาครัฐเช่นกัน นายสมบูรณ์ วัชรพงษ์พันธ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่เนื้อ บอกว่า สมาคมฯยื่นหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์ไปนานแล้ว เรื่องการควบคุมราคาต้นทุนการเลี้ยงไก่ เพราะราคาไก่หน้าฟาร์มขณะนี้อยู่ที่กิโลกรัมละ 42-43 บาท ซึ่งใกล้เคียงกับต้นทุนการเลี้ยงไก่ที่ 41-42 บาท ถือว่าขรายเกือบใกล้เข้าเนื้อแล้ว ซึ่งสมาคมยังคงตรึงราคาขายนี้เอาไว้ เพื่อไม่ให้กระทบผู้บริโภค

 

เกษตรกรขอให้รัฐบาลเร่งตรวจสต๊อกวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่เป็นต้นทุนสำคัญ 60-80% ในการเลี้ยง ถ้าสูงกว่านี้เกษตรกรก็คงอยู่ไม่ได้เช่นกัน เพราะช่วงที่ผ่านมาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ราคาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 12-14 บาทต่อกิโลกรัม น่าจะเกิดจากการกักตุนของพ่อค้าคนกลาง ราคาที่สูงขึ้นนี้คนได้ประโยชน์คือพ่อค้า เพราะของอยู่ในมือหมดแล้ว เกษตรกรไทยไม่ได้อะไรเลย รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขเรื่องต้นทุนนี้ให้ได้ รวมถึงเร่งปรับมาตรการต่างๆ เพื่อให้นำเข้าธัญพืชอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น ไม่เพียงช่วยผู้เลี้ยงไก่ ยังเป็นการช่วยผู้บริโภคที่ต้องแบกรับภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้นด้วย

 

สำหรับภาคผู้เลี้ยงไก่ก็มีความเคลื่อนไหวในเรื่องนี้เช่นกัน นายมาโนช ชูทับทิม นายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ กล่าวว่า แม้สงครามอยู่ไกลบ้านเรา แต่คำว่า ฝนตกบ้านน้อง ฟ้าร้อง (ผ่า) บ้านพี่ก็ไม่ปาน ทำให้เดือดร้อนแสนสาหัสกันไปหมดไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ส่วนจะดันราคาสินค้าตามต้นทุน ก็เจอมาตรการของราชการขอร้องแกมบังคับ โดยที่ท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกษตรกรเขาเดือดร้อนขนาดไหน ฉะนั้นการพึ่งพาตนเองดูแลตัวเองดีที่สุด วันนี้ขอให้ทุกรายการเลี้ยงรีบปลดไก่อย่ากักเก็บไว้ อย่าลืมว่าต้นทุนทุกตัวจะขึ้นราคาแพงมาก ถึงเวลานั้นเกษตรกรจะรับมือไม่ไหว เพราะราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์แพงเกิดขึ้นก่อนจะมีสงคราม 30-40 % แต่สงครามทำให้ราคาแพงขึ้นไปอีก วัตถุดิบในประเทศก็ปรับแพงขึ้นตามไปด้วย เกษตรกรต้องปรับตัวระวัดระวังการเลี้ยง อะไรที่ลดต้นทุนได้ก็ต้องทำ “ที่สำคัญราคาไข่ไก่ควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด รัฐไม่ควรคุมราคา”

 

วันนี้ไทยไม่ต่างอะไรกับหมู่บ้านกระสุนตกจากสงครามยูเครน ที่ทำให้วัตถุดิบอาหารสัตว์แพงทุกชนิด ลามมาถึงวัตถุดิบของไทย แต่เรื่องนี้จะไม่ใช่ทุกข์หนักของเกษตรกร หากพวกเขาสามารถขายผลผลิตได้ในราคาสะท้อนต้นทุนการผลิต เกษตรกรยอมจ่าย ยอมเจ็บ แต่วันนี้สินค้าทุกชนิดถูก “ตรึงราคา” เกษตรกรต้องขายเท่าทุนหรือขาดทุนแล้ว ถ้ายังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ วิกฤติใหญ่ในเวลาอันใกล้คือ การถอดใจของผู้ผลิตอาหารสัตว์และเกษตรกร ทางที่ดีภาครัฐต้องเร่งผ่อนคลายมาตรการที่รัดตรึง ทั้งเรื่องการจัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ และปล่อยราคาสินค้าเป็นไปตามกลไกตลาด ทั้งอาหารสัตว์ ไก่เนื้อ ไข่ไก่ ใช้ความสำเร็จของราคาหมูเป็นบทเรียน และบทพิสูจน์ “กลไกตลาดเสรี” ./

“วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” เทศกาลสัตว์น้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

  เปิดประสบการณ์ความมหัศจรรย์ของโลกใต้น้ำกับ FISHTIVAL 2025   ที่ยกทัพพาเหรดสัตว์น้ำกว่า 3,000 ตู้ ในงาน “วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” ...