ไทย..หมู่บ้านกระสุนตกสงครามยูเครน ทำวัตถุดิบอาหารสัตว์แพง เลิกคุมราคา ปล่อยอาหารสัตว์ ไก่ ไข่ เป็นอิสระ
ก่อนพังยกแผง
โดย : กันยาพร สดสาย นักวิชาการด้านปศุสัตว์
การสู้รบกันระหว่างรัสเซียและยูเครน
เกิดผลกระทบทางตรงและทางอ้อมกับทุกประเทศทั่วโลก ทำให้ราคาน้ำมันดิบ รวมถึงสินค้าที่ทั้งสองประเทศเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก
อาทิ ธัญพืชสำหรับผลิตอาหารสัตว์ ทั้งข้าวสาลี
และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปรับราคาขึ้นทันที โดยราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้น 5.1%
และราคาข้าวสาลีเพิ่มขึ้น 2.1% ในเดือนที่ผ่านมา
สะท้อนความไม่แน่นอนในปัญหาที่เกิดขึ้น จากท่าเรือทะเลดำที่จะได้รับผลกระทบจากสงครามนี้
ภาวะราคาธัญพืชปรับขึ้นไม่ใช่เกิดเพียงในสองประเทศ
แต่ยังผลักดันให้ธัญพืชทั่วโลกปรับราคาตามกลไกตลาด
ขณะที่ไทยเองต้องพึ่งพาการนำเข้าธัญพืชหลายชนิดเพื่อเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่น
กากถั่วเหลืองที่นำเข้าจากสหรัฐอเมริกาและอาร์เจนตินาในปริมาณมาก
ซึ่งขณะนี้ราคาสูงขึ้นเช่นกันจากปัญหาภัยแล้งทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลง
เรื่องราคาวัตถุดิบสูงขึ้นนี้ไม่ได้เพิ่งเกิด
หากแต่เป็นต้นทุนที่ภาคผู้ผลิตอาหารสัตว์และเกษตรกรต้องแบกรับมา ตั้งแต่ไตรมาสที่
3/2563 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน คิดเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้น 25-30%
ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้เสนอต่อภาครัฐให้พิจารณามาตรการรองรับโดยเร็ว
ด้วยเกรงว่าต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นนี้ จะกระทบกับความสามารถในการผลิตอาหารสัตว์
จนถึงขั้นต้องปิดไลน์ผลิต ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อภาคผู้เลี้ยงและการผลิตเนื้อสัตว์ลดลง
กระทั่งเกิดปัญหาขาดแคลนในที่สุด
สิ่งที่ภาคผู้ผลิตเสนอให้รัฐบาลเร่งพิจารณาแก้ปัญหาในระยะสั้น
ประกอบด้วย 1. ยกเลิกมาตรการ 3 : 1
เพื่อเปิดโอกาสให้มีการนำเข้าข้าวสาลีได้โดยเสรีจากหลายแหล่งผลิตทั่วโลก
ส่งผลให้ราคาการซื้อขายเป็นไปตามกลไกตลาดโลก 2. ยกเลิกภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง 2%
เพื่อเป็นการลดต้นทุนในการผลิต และ 3. เปิดให้นำเข้าข้าวโพดภายใต้กรอบ WTO และAFTA ยกเลิกโควต้า
ภาษีและค่าธรรมเนียม ในปริมาณที่ขาดแคลนในปี 2565
เพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบ ทำให้สามารถนำมาใช้ได้อย่างเพียงพอตลอดปี
และลดต้นทุนการผลิต
โดยเฉพาะปัญหาหนักสุดในตอนนี้
คือมาตรการรัฐในการแก้ไขปัญหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้กับภาคผู้เพาะปลูก
โดยให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์ต้องรับซื้อข้าวโพดในประเทศราคา 8.50 บาทกิโลกรัม
หวังป้องกันไม่ให้การนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศส่งผลกระทบราคาในประเทศ
ด้วยการกำหนดอัตราซื้อข้าวโพด 3 ส่วน ต่อการนำเข้า 1 ส่วน หรือมาตรการ 3 ต่อ 1
แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ปริมาณข้าวโพดที่ผลิตในประเทศผลิตได้เพียง 4.5 ล้านตันต่อปี
ถึงแม้ภาคการผลิตอาหารสัตว์จะใช้วัตถุดิบนี้ทั้งหมดก็ตาม
แต่ก็สามารถนำเข้าได้เพียง 1 ล้านตันเท่านั้น
ขณะที่ความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมนี้มีมากถึง 8.5 ล้านตัน
เท่ากับว่ายังขาดวัตถุดิบอีกถึง 2-3 ล้านตัน
เมื่อรัฐปิดทางการหาวัตถุดิบทดแทนด้วยมาตรการนี้
รัฐก็ควรแก้ปัญหาด้วยการ “ลดกำแพงภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง" จากอัตรา 2% เป็น
0% เพื่อให้กากถั่วเหลืองนำเข้ามีราคาต่ำลดลง
ซึ่งไม่กระทบต่อเกษตรกรผู้เพาะปลูกของไทย
ที่ผลิตได้ในจำนวนจำกัดและใช้ภายในประเทศในอุตสาหกรรมอื่นๆทั้งหมดอยู่แล้ว
หากแต่วันนี้
นอกจากภาครัฐจะนิ่งเฉยกับข้อข้อเรียกร้องเหล่านี้แล้ว
ยังควบคุมไม่ให้อาหารสัตว์ปรับราคาขายตามกลไกตลาดได้
นี่คือการซ้ำเติมทุกข์ของภาคผู้ผลิตต้นน้ำ ที่จะกลายเป็นระเบิดเวลาสำหรับภาคผู้เลี้ยงกลางน้ำ
และผู้บริโภคปลายทาง ซึ่งปัจจุบันผลได้ปรากฏแล้ว
จากการผลิตอาหารสัตว์ที่ปีนี้คาดว่าจะลดลงไปถึง 4-5 ล้านตัน จาก 22 ล้านตัน เหลือ
17-18 ล้านตัน ซึ่งลดลงต่ำกว่าเป้าหมายก่อนหน้านี้ที่ตั้งไว้ 19.08 ล้านตันด้วยซ้ำ
เมื่อไม่สามารถหาวัตถุดิบมาผลิตอาหารสัตว์ได้
หรือแม้จะหามาผลิตได้แต่ก็ต้องขายในราคาขาดทุน
ด้วยเหตุนี้ผู้ผลิตอาหารสัตว์หลายแห่ง
จึงจำเป็นต้องทยอยลดกำลังการผลิตอาหารสัตว์ลงบางส่วน
สะท้อนการขาดแคลนวัตถุดิบในการเลี้ยงสัตว์ของเกษตรกรผู้เลี้ยง
ที่จะกระทบถึงปริมาณผลผลิตเนื้อสัตว์และห่วงโซ่ความมั่นคงอาหารของประเทศ
ยังโชคดีที่เรื่องนี้ถึงหู
นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงสั่งการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์
ลงพื้นที่ตรวจสอบสต๊อกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของพ่อค้าคนกลางทั่วประเทศโดยด่วน
หลังจากมีการตั้งข้อสังเกตว่าที่ผ่านมามีการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวโพดเข้าสู่ตลาดแล้ว
แต่กลับพบว่าปริมาณข้าวโพดในตลาดมีน้อยผิดปกติ
ไม่สอดคล้องกับผลผลิตที่พ่อค้ารับซื้อจากเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด
ดันให้ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์พุ่งขึ้นทุกวัน เข้าข่ายพฤติกรรมการกักตุนสินค้า รวมทั้งกดดันผู้ผลิตอาหารสัตว์ให้ต้องจ่ายราคาพิเศษเพิ่มขึ้นอีก
“ถือเป็นการซ้ำเติมผู้ผลิตอาหารสัตว์และเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ที่กำลังเดือดร้อน”
เรื่องนี้ไม่ได้กระทบเพียงภาคผู้ผลิตอาหารสัตว์ต้นน้ำเท่านั้น
กลางน้ำอย่างเกษตรกรก็เรียกร้องไปถึงภาครัฐเช่นกัน นายสมบูรณ์ วัชรพงษ์พันธ์
นายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่เนื้อ บอกว่า สมาคมฯยื่นหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์ไปนานแล้ว
เรื่องการควบคุมราคาต้นทุนการเลี้ยงไก่
เพราะราคาไก่หน้าฟาร์มขณะนี้อยู่ที่กิโลกรัมละ 42-43 บาท
ซึ่งใกล้เคียงกับต้นทุนการเลี้ยงไก่ที่ 41-42 บาท ถือว่าขรายเกือบใกล้เข้าเนื้อแล้ว
ซึ่งสมาคมยังคงตรึงราคาขายนี้เอาไว้ เพื่อไม่ให้กระทบผู้บริโภค
เกษตรกรขอให้รัฐบาลเร่งตรวจสต๊อกวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่เป็นต้นทุนสำคัญ
60-80% ในการเลี้ยง ถ้าสูงกว่านี้เกษตรกรก็คงอยู่ไม่ได้เช่นกัน
เพราะช่วงที่ผ่านมาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ราคาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 12-14 บาทต่อกิโลกรัม
น่าจะเกิดจากการกักตุนของพ่อค้าคนกลาง ราคาที่สูงขึ้นนี้คนได้ประโยชน์คือพ่อค้า
เพราะของอยู่ในมือหมดแล้ว เกษตรกรไทยไม่ได้อะไรเลย
รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขเรื่องต้นทุนนี้ให้ได้ รวมถึงเร่งปรับมาตรการต่างๆ
เพื่อให้นำเข้าธัญพืชอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น ไม่เพียงช่วยผู้เลี้ยงไก่
ยังเป็นการช่วยผู้บริโภคที่ต้องแบกรับภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้นด้วย
สำหรับภาคผู้เลี้ยงไก่ก็มีความเคลื่อนไหวในเรื่องนี้เช่นกัน
นายมาโนช ชูทับทิม นายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ กล่าวว่า แม้สงครามอยู่ไกลบ้านเรา
แต่คำว่า ฝนตกบ้านน้อง ฟ้าร้อง (ผ่า) บ้านพี่ก็ไม่ปาน
ทำให้เดือดร้อนแสนสาหัสกันไปหมดไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ส่วนจะดันราคาสินค้าตามต้นทุน
ก็เจอมาตรการของราชการขอร้องแกมบังคับ
โดยที่ท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกษตรกรเขาเดือดร้อนขนาดไหน
ฉะนั้นการพึ่งพาตนเองดูแลตัวเองดีที่สุด วันนี้ขอให้ทุกรายการเลี้ยงรีบปลดไก่อย่ากักเก็บไว้
อย่าลืมว่าต้นทุนทุกตัวจะขึ้นราคาแพงมาก ถึงเวลานั้นเกษตรกรจะรับมือไม่ไหว
เพราะราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์แพงเกิดขึ้นก่อนจะมีสงคราม 30-40 %
แต่สงครามทำให้ราคาแพงขึ้นไปอีก วัตถุดิบในประเทศก็ปรับแพงขึ้นตามไปด้วย
เกษตรกรต้องปรับตัวระวัดระวังการเลี้ยง อะไรที่ลดต้นทุนได้ก็ต้องทำ
“ที่สำคัญราคาไข่ไก่ควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด รัฐไม่ควรคุมราคา”
วันนี้ไทยไม่ต่างอะไรกับหมู่บ้านกระสุนตกจากสงครามยูเครน
ที่ทำให้วัตถุดิบอาหารสัตว์แพงทุกชนิด ลามมาถึงวัตถุดิบของไทย
แต่เรื่องนี้จะไม่ใช่ทุกข์หนักของเกษตรกร
หากพวกเขาสามารถขายผลผลิตได้ในราคาสะท้อนต้นทุนการผลิต เกษตรกรยอมจ่าย ยอมเจ็บ
แต่วันนี้สินค้าทุกชนิดถูก “ตรึงราคา” เกษตรกรต้องขายเท่าทุนหรือขาดทุนแล้ว
ถ้ายังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ วิกฤติใหญ่ในเวลาอันใกล้คือ
การถอดใจของผู้ผลิตอาหารสัตว์และเกษตรกร ทางที่ดีภาครัฐต้องเร่งผ่อนคลายมาตรการที่รัดตรึง
ทั้งเรื่องการจัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ และปล่อยราคาสินค้าเป็นไปตามกลไกตลาด
ทั้งอาหารสัตว์ ไก่เนื้อ ไข่ไก่ ใช้ความสำเร็จของราคาหมูเป็นบทเรียน และบทพิสูจน์
“กลไกตลาดเสรี” ./
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น