เกษตรกรทั่วประเทศ ยืนหยัดช่วยลดภาระค่าครองชีพผู้บริโภค ให้ความร่วมมือ
ก.พาณิชย์ รักษาระดับราคาหมูหน้าฟาร์ม
นายสุนทราภรณ์
สิงห์รีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ เปิดเผยถึงสถานการณ์สุกรในขณะนี้ว่า
จากผลกระทบของภาวะโรค ASF เมื่อช่วงปลายปี
2564 ปรากฏผลชัดเจนในวันนี้ ตามรอบการผลิตหมู
เป็นผลจากการที่เกษตรกรต้องเลิกเลี้ยงสุกรไปเป็นจำนวนมาก โดยเกษตรกรในภาคเหนือมากกว่า
80% จำเป็นต้องหยุดการเลี้ยง คงเหลือเพียง 20% ที่ยังสามารถเลี้ยงสุกรได้ต่อไป
ส่งผลให้ปริมาณสุกรหายไปจากระบบและไม่เพียงพอต่อการบริโภค
ทำให้พื้นที่ภาคเหนือต้องพึ่งพาชิ้นส่วนสุกร และสุกรขุนจากภูมิภาคอื่นๆ
ส่งผลให้ราคาเนื้อหมูในภาคเหนือสูงกว่าพื้นที่อื่นเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม
เกษตรกร
ผู้เลี้ยงสุกรทุกภูมิภาคเห็นพ้องกัน ในการร่วมสนองนโยบายรัฐบาล ด้วยการ
“รักษาระดับราคาหน้าฟาร์ม 100 บาทต่อกิโลกรัม”
ในช่วงที่ทุกฝ่ายกำลังพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว โดยจะเริ่มนโยบายเปิดประเทศ
1 พฤษภาคม 2565 สำหรับการปรับราคาสินค้าเป็นไปตามกลไกตลาด
จากปริมาณผลผลิตที่ไม่เพียงพอกับการบริโภค โดยไม่มีการขึ้นราคาตามอำเภอใจ
แต่เพียงเพื่อสะท้อนต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
และให้เกษตรกรอยู่ได้บ้างเพราะต้นทุนสูงการผลิตสูงขึ้นกว่า 30-40%
ที่สำคัญปริมาณสุกรในขณะนี้มีไม่มากและอยู่ในมือเกษตรกรทั้งสิ้น
“ปัจจุบันทั้งแม่พันธุ์หมู
ลูกหมูหย่านม และหมูขุน หายไปจากระบบมากกว่า 50%
จากการที่เกษตรกรเลิกเลี้ยงและหยุดการเลี้ยงไปมากกว่าครึ่งของประเทศ จากเกษตรกร 2
แสนราย เหลือเพียง 8 หมื่นราย เพราะยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ของอุตสาหกรรม
ประกอบกับที่ต้องแบกรับภาระขาดทุนสะสมตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน
ยังมีปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะราคาธัญพืชที่นำมาผลิตอาหารเพื่อการเลี้ยงสัตว์ที่ปรับสูงขึ้นมาตลอด
เช่นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เวลานี้ราคาพุ่งไปถึงกิโลกรัมละเกือบ 13 บาท
ซึ่งเกษตรกรทุกคนยังคงรอความชัดเจนจากภาครัฐ ในแนวทางแก้ปัญหาต้นทุนดังกล่าว
และปัจจุบันอุตสาหกรรมหมูไทย ยังคงมีผู้เลี้ยงที่หลากหลาย ทั้งเกษตรกรรายเล็ก
รายกลาง และรายใหญ่ ที่ต่างพร้อมใจกันร่วมประคับประคองอาชีพเลี้ยงหมูไว้
เพื่อไม่ให้กระทบกับผู้บริโภคอย่างเด็ดขาด” นายสุนทราภรณ์ กล่าว
นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ
กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า แม้ว่าเกษตรกรจะไม่สามารถเข้าเลี้ยงหมูได้
แต่ยังคงต้องลงทุนในการป้องกันโรคและกำจัดโรคให้หมดไปจากฟาร์ม
เพื่อให้สามารถเลี้ยงหมูได้อีกครั้ง แต่ทุกคนต่างพบอุปสรรคด้านการประกอบอาชีพ
เพราะสถาบันการเงินไม่อนุมัติเงินกู้ยืม
เนื่องจากขาดหลักประกันว่าจะมีรายได้มาผ่อนชำระได้ตามที่กำหนด
ซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เกษตรกรขอเรียกร้องไปยังภาครัฐได้ออกมาตรการช่วยเหลือ อาทิ
เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ หรือการสนับสนุนเงินทุนเพื่อการประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์
โดยเร็วที่สุดเพื่อให้มีแรงและกำลังในการเลี้ยงสุกรเพื่อเป็นหนึ่งในฐานสำคัญของความมั่นคงด้านอาหารโปรตีนแก่คนไทยต่อไป
“จากกลไกตลาด
ที่ปริมาณผลผลิตหมูไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทำให้ราคาสุกรเพิ่งจะปรับขึ้นมาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเท่านั้น
ราคาที่จำหน่ายในขณะนี้ที่ 98-100 บาทต่อกิโลกรัม
เพียงให้เกษตรกรพอหนีต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 98.81 บาทต่อกิโลกรัม
เพื่อประคองอาชีพนี้ให้สามารถเลี้ยงหมูรุ่นต่อไปได้เท่านั้น
เพราะต้นทุนการเลี้ยงต่างเพิ่มขึ้นหมด โดยเฉพาะค่าน้ำมันที่กำลังจะขึ้นในวันที่ 1
พฤษภาคม เช่นกัน ทำให้ต้นทุนการเลี้ยงและการขนส่งพุ่งขึ้นแน่นอน
โดยเกษตรกรร่วมกันรักษาระดับราคาสุกรหน้าฟาร์มไว้เช่นนี้
เพื่อช่วยลดค่าครองชีพของผู้บริโภคและช่วยให้ตลาดปรับตัวได้ นอกจากนี้ เกษตรกร
“ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดการนำเข้าเนื้อหมู” เนื่องจากเป็นการซ้ำเติมปัญหา
และบิดเบือนกลไกตลาด และยังลดแรงจูงใจของผู้เลี้ยงที่กำลังจะกลับเข้าระบบ
กลายเป็นอุปสรรคในการเพิ่มซัพพลายหมูดังที่ภาครัฐกำลังเร่งดำเนินการอยู่
และยังเพิ่มความเสี่ยงผู้บริโภครับสารเร่งเนื้อแดงที่อาจปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์นำเข้า
เราขอเพียงปล่อยให้กลไกตลาดทำงาน ก็จะช่วยแก้ปัญหาทั้งหมดได้
อย่างที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วทุกครั้งที่ผ่านมา” นายสุนทราภรณ์
กล่าวทิ้งท้าย./
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น