วช.จับมือทีมวิจัย ม.มหิดล
สร้างต้นแบบเครื่องมือป้องกันการข่มขืนกระทำชำเราในครอบครัว โรงเรียน ชุมชน
เตรียมเสนอ พม. กระทรวงศึกษา กระทรวงมหาดไทยให้ความรู้กลุ่มเสี่ยง
พร้อมทำแอพพลิเคชั่น เปิดช่องทางเหยื่อให้ข้อมูลเอาผิดอาชญากร
ในการสัมมนาเสนอผลการศึกษาต้นแบบการสร้างเครื่องมือป้องกันปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราในครอบครัว
โรงเรียน ชุมชน โดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ
(วช.) กล่าวถึง บทบาทของ วช. ในการสนับสนุนการวิจัย
การแก้ปัญหาความรุนแรงในสังคมไทย ซึ่งการสัมมนาดังกล่าวได้รับทุนจาก วช. ว่า
ความรุนแรงในสังคมไทยเป็นปัญหาระดับประเทศ การลดความรุนแรงเป็นโจทย์ท้าทายการวิจัยที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ทางสังคมให้กับคนไทยอย่างมั่นคง
และนำไปสู่การลดปัญหาความรุนแรงอย่างยั่งยืน การข่มขืนกระทำชำเราเป็นหนึ่งตัวอย่างความรุนแรงและเป็นประเด็นทางสังคมที่
วช.เห็นว่าเป็นเรื่องที่ต้องหยิบยกมาแก้ไขอย่างจริงจังและเร่งด่วน
จึงได้ให้การสนับสนุนเพื่อแก้ปัญหา
วช.
มุ่งหวังว่าแผนการวิจัยที่ได้ร่วมกันศึกษาจะได้นำผลสำเร็จป้องกันเหตุความรุนแรงให้ลดลงได้
โดยเฉพาะปัญหาการข่มขืนในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน
ตลอดจนการรับมืออย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการศึกษากฏหมายที่เกี่ยวข้องที่ต้องปรับปรุงให้ทันต่อสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอีกทั้งศึกษากฏหมายต่างประเทศ
เพื่อปรับปรุงให้สอดคล้องกับประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการเคารพในสิทธิหน้าที่ เห็นคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
“ วช.
จะช่วยผลักดันทุนวิจัยทางด้านความรุนแรงและการข่มขืนกระทำชำเราไปสู่ภาครัฐและเอกชนให้ได้รับรู้ข้องมูลของงานวิจัยให้มีผลในทางปฏิบัติต่อไป
”
รองศาสตราจารย์
ดร.สุณีย์ กัลยะจิตร ผู้จัดการแผนงาน กล่าวว่า จากการที่เข้าไปดำเนินการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการละเมิดทางเพศ
จากข้อมูล 2,450 แห่ง พบว่าปัญหาการถูกคลุกคามทางเพศเกิดจากครอบครัว โรงเรียน
ชุมชน จากการสอบถามข้อมูลโดยทั่วไป
พบว่าปัญหาหลักที่ทำให้เกิดการละเมิดทางเพศมาจากสามกลุ่มนี้เป็นหลัก
ปัญหาที่เกิดขึ้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำความเข้าใจกับกลุ่มที่ล่อแหลมที่จะถูกละเมิดทางเพศ
โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน
ขณะนี้พยายามให้ข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะโรงเรียนที่ต้องทำความเข้าใจกับเด็กในการระมัดระวังตัวมากขึ้น เช่น การสัมผัสร่างกายว่าส่วนไหนที่แตะต้องได้และส่วนไหนแตะต้องไม่ได้อันจะนำไปสู่การถูกละเมิดทางเพศ
อย่างไรก็ตามผลสืบเนื่องจากการทำความเข้าใจ
ให้ข้อมูลดังกล่าวเด็กโตในชั้นมัธยมตอนต้นมีความเข้าใจมากขึ้น เด็กระวังตัวมากขึ้น
นอกจากนี้ได้ให้คำแนะนำว่าหากมีปัญหาเกิดขึ้นเด็กต้องแจ้งให้ใครทราบ
เพื่อแก้ปัญหาได้ทันท่วงที ในส่วนของโรงเรียนครูต้องให้ความรู้กับเด็ก
ทำความเข้าใจ
ยอมรับความเป็นจริงว่าบางส่วนการถูกล่วงละเมิดเกิดขึ้นที่โรงเรียน ต้องหาแนวทางป้องกันให้ถูกวิธี
เพราะการย้ายสถานศึกษาหลังถูกล่วงละเมิดไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง
ส่วนชุมชนเองต้องทำให้มีความปลอดภัยมีไฟส่องสว่าง
คนในชุมชนต้องร่วมมือร่วมใจ ดูแลคนในชุมชนให้มีความปลอดภัยด้วยเช่นกัน
ทีมวิจัยนอกจากจะมีการวิจัยแนวทางแก้ปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศแล้วยังนำเสนอแก้ไขกฏหมายเอาผิดผู้กระทำให้รุนแรงมากขึ้น
ตั้งแต่การทำอนาจาร
ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นผู้บังคับใช้กฏหมายก็ต้องเข้มงวดในการใช้กฏหมายอย่างจริงจังเชื่อว่าหากทุกฝ่ายร่วมมือกันจะทำให้การล่วงละเมิดลดลง
ผลสรุปของงานวิจัยจะนำเสนอกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเผยแพร่อันจะนำไปสู่การป้องกันตัว
ให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง อีกทั้งได้พัฒนาแอพพลิเคชั่น
ที่ประชาชนเข้าถึงข้อมูลแนวทางการป้องกันการล่วงละเมิดได้สะดวกรวดเร็ว
อีกทั้งผู้ที่ถูกล่วงละเมิดสามารถร้องเรียนปัญหาและการแสดงความเห็นต่าง ๆ
นางปวีณา
หงสกุล ประธานมูลนิธิ ปวีณา หงสกุล เพื่อเด็กและสตรี (องค์กรสาธารณประโยชน์) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามูลนิธิฯ
ได้รับเรื่องร้องเรียนการล่วงละเมิดทางเพศ โดยเฉลี่ยปีละ 10,000 กรณี ยกตัวอย่าง กรณีล่วงละเมิดทางเพศเมื่อปี 2564
ที่ผ่านมา ผู้ถูกล่วงละเมิดทางเพศอายุต่ำสุด 10 เดือน แต่อย่างไรก็ตาม
จากสถิติช่วงอายุที่ถูกข่มขืนมากที่สุดอันดับ 1 คืออายุ 10 - 15 ปี อันดับ 2 คืออายุ 15 -20 ปี และอันดับ 3 คืออายุ 5 -10
ปี
สถานการณ์ในขณะนี้อันตรายมากเนื่องจากเด็กและผู้ที่มีอายุน้อยถูกข่มขืนมากขึ้น
และในทุกกรณีที่มูลนิธิเข้าไปช่วยเหลือผู้ถูกล่วงละเมิดจะถูกกระทำจากบุคคลในครอบครัวและผู้ใกล้ชิด
จะเห็นได้ว่าเด็กไม่มีความปลอดภัยแม้จะอยู่อาศัยกับบุคคลในครอบครัวก็ตาม
อีกทั้งถูกกระทำในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ไปซื้อขนม
หรือห้องน้ำในโรงเรียน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น