วิบากกรรมหมูไทย จากโรคระบาด ASF สู่สงครามรัสเซีย-ยูเครน ปรับตัวสู้วิกฤตซ้อนวิกฤต ฝ่าต้นทุนสูง
หนุนคนไทยไม่ขาดแคลนอาหาร
อัปสร
พรสวรรค์
เมื่อวันที่
11 มกราคม 2565 กรมปศุสัตว์ ประกาศ “โรค ASF ในหมู” เป็นโรคอุบัติใหม่ในไทยและได้รายงานไปที่ OIE นี่คือเหตุผลที่ทำให้ผลผลิตหมูในประเทศลดลงมากกว่า 50%
จากที่มีผลผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 20 ล้านตัวต่อปี เป็นที่มาของหมูขาด-หมูแพง
ตั้งแต่ต้นปี 2565 ส่งผลให้หมูมีชีวิตหน้าฟาร์มปรับราคาขึ้นเกิน 100 บาท/กก.
เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี ทำให้ราคาขายปลีกหมูเนื้อแดงทะลุ 200 บาท/กก.
ทั้งที่ผู้เลี้ยงยังต้องเผชิญกับต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ยังคงปรับราคาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนตุลาคม
2564 และยังสมทบด้วยการปรับราคาน้ำมันดีเซลแบบขั้นบันไดเบื้องต้นที่ 2 บาท/ลิตร
ทำให้ราคาไปอยู่ที่ 32 บาท/ลิตร และสามารถปรับขึ้นไปชนเพดานที่ 35 บาท/ลิตร
ในอนาคต
กรมปศุสัตว์
สมาคมผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศ บริษัทแปรรูปอาหาร
ได้ร่วมมือกันแบบบูรณาการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้บริโภค
มีเป้าหมายจะกอบกู้การเลี้ยงหมูและเพิ่มผลผลิตให้กลับสู่ภาวะปกติภายในสิ้นปี 2565
อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้หมูออกสู่ตลาดน้อยเพราะเพิ่งเริ่มเข้าเลี้ยงหมูรอบใหม่
ราคาจึงเป็นไปตามกลไกตลาด
แต่แล้ว
ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565
เมื่อสงครามรัสเซีย-ยูเครน ปะทุขึ้น และยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน
ส่งผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมไปทั่วโลก โดยเฉพาะผลที่ก่อให้เกิด “ข้าวยาก
หมากแพง” เนื่องจากทั้งสองประเทศเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) รายใหญ่ที่มีนัยสำคัญต่ออุปทาน (Supply)
ของโลก อาทิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวสาลี เรพซีดออยล์
ปุ๋ยและน้ำมันเชื้อเพลิง
การที่ทั้งสองประเทศประกาศห้ามส่งออกสินค้าดังกล่าวเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารระหว่างสงคราม
เป็นตัวเร่งราคาวัตถุดิบและปัจจัยการผลิตสำคัญในห่วงโซ่การผลิตอาหารให้ปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว
แม้มาตรการผ่อนปรนการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ของภาครัฐที่เพิ่งคลอดออกมาจะล่าช้าและจำกัดเวลาในระยะกระชั้นชิดมาก
ก็ต้องมาติดตามกันว่าจะช่วยลดต้นทุนการผลิตที่วิ่งแซงหน้าไปแล้วได้หรือไม่
ผลที่ตามมา
คือ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ดังกล่าวปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
ทั้งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และข้าวสาลีปรับราคาแล้วประมาณ 25-30% และขาดแคลน
ส่วนน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นจาก 80 ดอลล่าร์ต่อบาเรล พุ่งขึ้นไปยืนเหนือ 100
ดอลล่าร์ต่อบาเรล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปรับราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 13.50
บาท/กก. จากราคาเฉลี่ยไม่เกิน 10 บาท/กก.
ขณะที่ข้าวสาลีซึ่งเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ทางเลือกของผู้เลี้ยงสัตว์ไทยสำหรับทดแทนข้าวโพด
ก็ขยับราคามาเท่ากับข้าวโพดแล้ว ทำให้เกษตรกรต้องรับภาระต้นสูงรอบด้าน
ต้นทุนราคาเนื้อหมูหน้าฟาร์มที่สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ประมาณการณ์ไว้อยู่ที่
98.81 บาท/กก. ขณะที่ราคาขายหน้าฟาร์มอยู่ที่ 98-100 บาท/กก.
ซึ่งผู้เลี้ยงยืนยันว่าจะรักษาระดับราคาหน้าฟาร์มไว้ ตามกลไกตลาดที่แท้จริง
เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของคนไทย
อย่างไรก็ตาม
ผู้เลี้ยงหมูยังต้องเจอวิบากกรรมล่าสุด จากความพยายามของ “ขบวนการลักลอบ”
นำเข้าหมูจากต่างประเทศ เพื่อฉวยโอกาสในช่วงที่ราคาหมูในประเทศสูงขึ้น
เห็นได้จากการที่กรมปศุสัตว์และหน่วยงานภาครัฐเดินแถวตรวจสต๊อกห้องเย็นทั่วประเทศตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์
2565 จับกุมห้องเย็นพื้นที่นครปฐม
พบหมูนำเข้ามาสวมสิทธิ์สำแดงเท็จเป็นอาหารทะเลเกือบ 1 ล้านกิโลกรัม
และอยู่ระหว่างจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี
ขณะนี้กลุ่มธุรกิจในเขตพื้นที่เดิมมีความพยายาม
ที่จะเสนอให้รัฐบาลพิจารณานำเข้าหมูเป็นการชั่วคราว อ้างเพื่อแก้ปัญหาราคาสูงและขาดแคลน
ฤาจะเป็นการเล่นแร่แปรธาตุให้ “หมูผิดกฎหมาย” เป็น “หมูถูกกฎหมาย”
ดังนั้นขอภาครัฐอย่าเพิกเฉยสืบสวนและกวาดล้างขบวนการบ่อนทำลายเกษตรกรและระบบอาหารมั่นคงของชาติให้สิ้นซาก
สำหรับหมูนำเข้าจากสหรัฐ
เยอรมัน หรือประเทศทางตะวันตก ยังอนุญาตให้ใช้สารเร่งเนื้อแดงที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
แต่เป็นสารผิดที่กฎหมายไทยห้ามใช้โดยเด็ดขาด
ซ้ำคนไทยต้องบริโภคหมูส่วนเกินและอันตรายจากประเทศต้นทางที่มีราคาต่ำกว่าในไทยแม้จะไม่มาก
แต่ก็มีผลทำให้ผู้บริโภคหันไปซื้อหาของถูกมารับประทานกัน โดยหมูลักลอบนำเข้าจะนำไปขายปนกับหมูตามเขียงในตลาดสดจนแยกไม่ออกในราคาถูกล่อใจผู้บริโภค
การกระทำดังกล่าวเป็นการตัดโอกาสผู้เลี้ยงหมูไทยในการขายผลผลิตของตัวเองที่คาดว่าจะออกสู่ตลาดในอีก
4-6 เดือนข้างหน้า
ซึ่งเป็นเนื้อหมูที่คนไทยบริโภคได้อย่างมั่นใจทั้งคุณภาพและในราคาที่เข้าถึงได้
ทั้งหมดนี้
คือ “วิบากกรรมหมูไทย” ที่ต้องเผชิญในยามที่โลกหมุนไม่ปกติ ทั้งโรคระบาดคน
โรคระบาดสัตว์ และสงคราม ยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง
หวังเพียงภาครัฐสอดส่องดูแลอย่างเข้มงวดและทั่วถึง
ส่งเสริมให้เกษตรกรรายย่อยและรายเล็ก กลับเข้าเลี้ยงหมูได้ตามเวลา พร้อมสนับสนุนปัจจัยการผลิตที่จำเป็น
อาทิ วัคซีนป้องกันโรค ลูกหมูคุณภาพดี สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
เพื่อขับเคลื่อนห่วงโซ่การเลี้ยงหมูให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
ขณะเดียวกันจำเป็นต้องกำจัดพวกฉวยโอกาสในภาวะที่ประชาชนเดือนร้อนให้หมดไป
ที่สำคัญรัฐต้องกล้านำ “กลไกตลาด” มาสร้างสมดุลราคาเนื้อหมูและสินค้าอื่นๆ
เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้เลี้ยงและผู้ประกอบการได้เห็นอนาคตของตัวเองชัดเจน./
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น