วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2565

“ปุ๋ยเปลือกไข่สู่ชุมชนและเกษตรกร” ซีพีเอฟสร้างมูลค่าเศษเหลือการเกษตรเป็นทองคำในดิน


 


จากเปลือกไข่ไก่เศษเหลือทิ้งในการกระบวนการผลิต วันนี้ถูกนำมาเพิ่มมูลค่าสู่ “ปุ๋ยเปลือกไข่” ที่เต็มไปด้วยคุณค่าทางอาหารที่เหมาะสมสำหรับดินและต้นพืชทุกชนิด สร้างผลผลิตพืชที่มีคุณภาพ เจริญเติบโตดี ปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น นำไปสู่รายได้ที่เพิ่มขึ้นของเกษตรกร


 “โครงการปุ๋ยเปลือกไข่สู่ชุมชนและเกษตรกร” เกิดขึ้นจากแนวคิด "เปลี่ยนเศษเหลือในกระบวนการผลิต เป็นปุ๋ย ด้วยวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เพื่อเพิ่มผลผลิตเกษตรกรรมให้เกษตรกร" ของทีมงาน ธุรกิจไก่ปู่-ย่าพันธุ์เนื้อ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ จังหวัดชัยภูมิ ที่คว้ารางวัล Gold Pitch ในรอบ CSR Pitching Contest #1/2022 ในการประกวดรางวัล “CPF ยั่งยืนได้ด้วยมือเรา” (CPF Sustainability in Action  Awards 2022) ที่บริษัทจัดขึ้นเพื่อสร้างแรงบันดาลใจพนักงาน ปั้นโครงการที่สร้างประโยชน์สู่สังคมและชุมชนอย่างต่อเนื่อง 



โครงการฯนี้ สอดรับกับเป้าหมาย “ลดปริมาณของเสียสู่การฝังกลบและเผา” (Zero Waste to Landfill) จากปริมาณเศษเหลือจากกระบวนการผลิตที่มากถึง 100 ตันต่อปี ที่ต้องทำลายด้วยวิธีการดังกล่าว นำมาสร้างประโยชน์ โดยทีมงานได้ศึกษา ค้นคว้า ปัจจัยที่เกี่ยวข้องในกระบวนการย่อยสลายทางชีวภาพของจุลินทรีย์ เพื่อเร่งการย่อยสลายให้สมบูรณ์ ทดแทนการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในการกำจัดเศษเหลือทิ้งด้วยการเผา ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 


จากการศึกษาจนเกิดองค์ความรู้ของบุคลากร ทำให้ได้ปุ๋ยน้ำชีวภาพ เพื่อนำไปผสมกับมูลไก่จากฟาร์มต่างๆ ในธุรกิจไก่ปู่-ย่าพันธุ์ และเปลือกไข่จากโรงฟักภายในธุรกิจไก่ไข่ มาทำเป็นปุ๋ยหมัก โดยใช้พื้นที่โรงผลิตปุ๋ยอินทรีย์ของศูนย์เรียนรู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง บ้านซับรวงไทร จังหวัดชัยภูมิ เพื่อแจกจ่ายให้กับชุมชน เกษตรกร และหน่วยงานราชการ นำไปใช้ประโยชน์ เป็นการขยายผลทั้งในและนอกองค์กร 







 สำหรับรางวัล Gold Pitch ที่ได้รับเงินรางวัลสนับสนุนการต่อยอดและพัฒนาโครงการ จำนวน 100,000 บาท ทางทีมงานจะนำเงินจำนวนนี้ไปจัดหาเครื่องลำเลียงและผสมปุ๋ยระบบอัตโนมัติ มีการทำงานได้ต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มคุณภาพปุ๋ย เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดการใช้แรงงานในการผลิต สามารถแบ่งปันให้เกษตรกรได้มากขึ้น โดยมีการเก็บบันทึกข้อมูลผลการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ เพื่อประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม (Impact Valuation)





นายชูชีพ ชัยภูมิ หรือ พ่อชีพ ประธานศูนย์เรียนรู้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ บ้านซับรวงไทร บอกว่า ผลลัพธ์ที่ได้จาก “โครงการปุ๋ยเปลือกไข่สู่ชุมชนและเกษตรกร” นอกจากซีพีเอฟจะสามารถลดของเสียที่ต้องฝังกลบเปลือกไข่กลายเป็นศูนย์ตันต่อปีแล้ว ปุ๋ยอินทรีย์ที่ผลิตได้ยังนำไปแจกจ่ายให้กับชุมชน เกษตรกรในเครือข่าย รวมถึงหน่วยงานต่างๆ รวม 63 ราย ได้ปุ๋ยใช้ประโยชน์มากกว่า 150 ตันต่อปี  มีเกษตรกรนำปุ๋ยไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่กว่า 400 ไร่ และจากการวิเคราะห์ทางเคมี พบว่าปุ๋ยมีธาตุไนโตรเจนและฟอสฟอรัสสูง เป็นธาตุอาหารที่ทำให้พืชผักโตเร็ว ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางการเกษตร ทำให้ผลผลิตของเกษตรกรเพิ่มมากขึ้น ประมาณ 20% 


 “กลุ่มปลูกผักปลอดภัยบ้านซับรวงไทร ที่มีสมาชิก 44 ราย ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูก 29 ไร่ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากซีพีเอฟตั้งแต่เรื่องการดูแลระบบการจัดการน้ำเพื่อใช้ในการเพาะปลูกมาตั้งแต่ปี 2561 ทำให้มีน้ำใช้ในการเพาะปลูกพืชได้ตลอดทั้งปี รวมทั้งได้รับการสนับสนุนมูลไก่ เปลือกไข่ และน้ำหมักเพื่อทำปุ๋ย สร้างมูลค่าเศษเหลือทิ้งเป็นทองคำในดิน ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการซื้อปุ๋ย ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น ทำให้ชุมชนจำหน่ายผักได้อย่างน้อย 15,000 บาทต่อเดือน เป็นรายได้เสริมจากอาชีพหลัก อย่างการทำนา ทำไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลัง ซึ่งเป็นพืชที่ราคาผันผวน ส่วนผู้สูงอายุที่ไม่มีกำลังไปทำไร่ทำนา ก็สามารถปลูกผักปลอดภัยไว้บริโภคเองและนำผลผลิตมาจำหน่ายสร้างรายได้อีกทาง” พ่อชีพ กล่าว


ทางด้าน นางเมืองพร ชนะพาล ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 ตำบลนาเสียว อำเภอเมืองชัยภูมิ เล่าว่า ตนเองมีอาชีพทำการเกษตร ทำนาข้าว ไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลัง และยังเป็นเกษตรกรรุ่นบุกเบิกที่ร่วมกับเพื่อนในชุมชนรวมตัวกันปลูกผักปลอดภัย จากนั้นทางซีพีเอฟเข้ามาช่วยสนับสนุนอุปกรณ์เก็บน้ำและกระจายน้ำ ร่วมกันก่อตั้งและสร้างตลาดชุมชน ดูแลวางแผนการตลาด หาช่องทางการจำหน่าย พักน้ำไว้ใช้เพาะปลูก และยังสนับสนุนการทำปุ๋ยให้ชาวบ้านใช้ประโยชน์แทนการใช้ปุ๋ยเคมี เป็นแนวทางลดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมี ลดค่าใช้จ่ายของครัวเรือนลงได้อย่างมาก ส่วนผลผลิตผักที่ได้ ทางซีพีเอฟเข้ามาช่วยดูแลเรื่องการตลาด การจำหน่าย แนะนำลูกค้าให้ ขอบคุณซีพีเอฟที่เข้ามาช่วยเหลืออย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง คนในชุมชนมีโอกาสได้ทำงานกับซีพีเอฟ ไม่ต้องเดินทางไปทำงานต่างพื้นที่ไกลๆ ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ซึ่งไม่สามารถทำงานหนักได้ ก็มาทำหน้าที่ดูแลแปลงผักและมีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตผักปลอดสารเคมี 100% ด้วย 



 “ปุ๋ยเปลือกไข่สู่ชุมชนและเกษตรกร” เป็นหนึ่งในโครงการเพื่อสังคมและชุมชนที่ชาวซีพีเอฟมุ่งมั่นดำเนินการอย่าง  ต่อเนื่อง สะท้อนความคิดสร้างสรรค์ด้วยการประยุกต์ใช้งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ นำไปความเป็นนวัตกรรมเกิดเป็นสิ่งใหม่ที่สร้างประโยชน์ได้จริง มีความเป็นไปได้ของโครงการเกิดคุณค่า ด้วยการเพิ่มมูลค่าจากเดิม ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนและดูแลสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับปฏิบัติการขับเคลื่อนความยั่งยืน CPF 2030 Sustainability in Action และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) ./

ภาระกิจเร่งด่วนปราบ “หมูเถื่อน” ต้องส่งเสริมหมูไทยปลอดภัยกว่า




ภาระกิจเร่งด่วนปราบ “หมูเถื่อน” ต้องส่งเสริมหมูไทยปลอดภัยกว่า


“หมูเถื่อน” ระบาดหนัก ภาครัฐต้องเร่งปราบก่อนทำลายขวัญและกำลังใจของผู้เลี้ยงหมูไทย หลังหมูลักลอบนำเข้าเกลื่อนตลาดและขายกัน “โจ๋งครึ่ม” มากขึ้น กระทบราคาในอนาคตไม่คุ้มเงินลงทุนทั้งที่เพิ่งลงหมูรอบไปรอจับปลายปี มั่นใจผลผลิตที่ทยอยออกสู่ตลาดจะทำให้ราคาผ่อนคลายลงแน่นอน


รายงานข่าวจากวงการปศุสัตว์ กล่าวว่า ขณะนี้การลักลอบนำเข้า “หมูเถื่อน” ถูกจับตามองมากและมีการตั้งข้อสังเกตุว่าเป็นการทำผิดกฎหมายซ้ำซากและไม่สามารถหาต้นตอผู้กระทำผิดได้ น่าจะมีการดำเนินงานเป็นขบวนการ เนื่องจากที่ผ่านมามีแต่ยึดของกลางและทำลายซากสัตว์แต่ไม่ได้มีการแสดงผลการดำเนินคดีกับผู้ลักลอบ ทำให้ห้องเย็นและผู้กระทำผิดกฎหมายไม่เกรงกลัวกฎหมายยังคงลักลอบนำเข้าต่อเนื่อง ขณะที่การจำหน่ายหมูเถื่อนในประเทศทำกันอย่างเปิดเผยมากขึ้น โดยเฉพาะการตั้งราคาต่ำกว่าหมูไทยมาก เพื่อล่อใจผู้บริโภคทั้งประชาชนทั่วไป ร้านอาหารตามสั่งและร้านหมูกระทะ




“หากติดตามการลักลอบนำเข้าหมูผิดกฎหมายมาตลอดจะเห็นว่ามีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมีแนวโน้มจะเป็นการสมรู้ร่วมคิดทำกันเป็นกระบวนการ แบ่งปันผลประโยชน์กัน จึงไม่สามารถจับผู้บงการมาลงโทษได้ ดีที่สุดคือยึดของกลางแล้วก็เงียบหายไป แต่ผลร้ายในระยะยาวคือบิดเบือนกลไกตลาดและราคาในประเทศ ตลอดจนความเสี่ยงต่อโรคระบาดและสารเร่งเนื้อแดงที่ติดด้วย” รายงานข่าวกล่าว


ก่อนหน้านี้ กรมศุลกากร รายงานว่า ที่ผ่านมามีเพียงสินค้าที่เป็นขาหมูที่นำเข้าถูกต้อง ที่เรียกว่า ขาหมูไฮโซ นำเข้าจากเยอรมนี สเปน ญี่ปุ่น ซึ่งปีนี้ตั้งแต่ต้นปีถึงเดือน ก.ค. หรือ 7 เดือนแรก พบว่ามีนำเข้ามาราว 7.2 หมื่นกิโลกรัม หรือ 72 ตัน มูลค่าประมาณ 15 ล้านบาท โดยขาหมูเหล่านี้นำเข้าถูกต้องและเสียอากรอยู่ระหว่าง 20-40% โดยกรมฯยืนยันว่า ถ้าจะมีเข้ามาก็เหมือนกับพวกยาเสพติดที่ลักลอบเข้ามา ส่วนถ้าจะเอาใส่ตู้ห้องเย็นนำเข้ามา ยังไงก็ต้องมีการตรวจ กรมศุลฯก็ตรวจร่วมกับกรมปศุสัตว์ ดังนั้นยืนยันว่าไม่มีพวกที่สำแดงเป็นสินค้าประเภทอื่น


ด้านกรมปศุสัตว์ รายงานว่า ในปี 2565 มีการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ลักลอบนำเข้าซากสัตว์ 8 ราย ยึดซากสุกร 108,734 กิโลกรัม มูลค่าของกลาง 20,593,634 บาท ทำลาย 126,966 กิโลกรัม และได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วยกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อร่วมมือในการป้องกันการลักลอบนำเข้าซากสัตว์ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ


ราคาหมูไทยปรับสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ภาครัฐประกาศว่ามีการระบาดของโรค ASF ในไทยอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมกราคม 2565 ทำให้ผลผลผลิตหายไป 50% และต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี ในการฟื้นฟูสถานการณ์ให้กลับมาเป็นปกติ ประกอบกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน ในเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้วัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับราคาขึ้น 30% เป็นเหตุให้ราคาหมูในประเทศปรับสูงขึ้นอีก โดยหมูเป็นหน้าฟาร์มจากราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 70-80 บาท/กก. เพิ่มเป็นสูงสุดที่ 110 บาท/กก. ส่งผลให้ราคาหมูเนื้อแดงปรับขึ้นไปอยู่ที่ 230 บาท/กก. จึงมีแนวคิดในการนำเข้ามาดึงราคาลง


รายงานข่าว กล่าวว่า หากมีการปราบปรามอย่างจริงจังอย่างรอบคอบและรอบด้าน จะช่วยกำจัดหมูเถื่อนเข้าประเทศไทยได้แน่นอนไม่ว่าจะเป็นตามตะเข็บชายแดนประเทศไทยหรือการนำเข้าผ่านทางท่าเรือ ภาครัฐที่เกี่ยวข้องต่างรู้ทางหนีที่ไล่ของผู้กระทำผิดเป็นอย่างดี ควรหาวิธีที่รัดกุมในการปราบปรามให้เด็ดขาด ให้เกิดผลประโยชน์ส่วนกับทุกภาคส่วน ตั้งแต่ผู้เลี้ยงหมู มีแรงใจผลิตเนื้อหมูที่ราคาสะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริงและไม่เสี่ยงกับโรคที่จะติดมากับซากสัตว์ รวมถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคจากสารก่อมะเร็ง


สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ อาหารปลอดภัย เนื่องจากหมูเถื่อนมีการขายแพร่กระจายอยู่ในตลาดสด ช็อปขายเนื้อหมู หรือ แม้แต่การขายออนไลน์ มีการนำเสนอกันอย่างเปิดเผย โดยเสนอราคาที่ล่อใจประมาณ 135-145 บาท/กก. ถูกกว่าหมูไทยที่ราคาเฉลี่ย 200-230 บาท/กก. ถูกใจร้านอาหารตามสั่งและร้านหมูกระทะ สั่งซื้อเพื่อลดต้นทุนวัตถุดิบ ซึ่งหมูลักลอบนำเข้าเหล่านี้ไม่ผ่านการตรวจสอบสารปนเปื้อนโดยเฉพาะสารเร่งเนื้อแดง ที่ประเทศไทยห้ามใช้โดยเด็ดขาดตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปี 2545 และประกาศกระทรวงสาธารณสุขปี 2546 เนื่องจากเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง การบริโภคต่อเนื่องจะทำให้มีการสะสมของสารปนเปื้อนดังกล่าว ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคในระยะยาว./ 

วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ขบวนการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อน ระบาดหนัก ส่งหมูอันตรายทำร้ายคนไทย-เกษตรกร

 





ขบวนการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อน ระบาดหนัก ส่งหมูอันตรายทำร้ายคนไทย-เกษตรกร

 

“ขบวนการลักลอบนำเข้าเนื้อหมู” ยังแพร่กระจายอยู่ในทุกพื้นที่ของประเทศ เหมือนมะเร็งร้ายที่ลามเกินจะรักษา แม้กรมปศุสัตว์จะเร่งปราบปราม บุกตรวจค้น ยึดทำลายของกลางหลายต่อหลายล็อต แต่ดูเหมือนว่าคนกลุ่มนี้จะไม่ได้ยี่หระต่อกฎหมาย ไม่เกรงกลัวโทษทัณฑ์ใดๆ ยังลอบนำหมูนอกจากหลายประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา สเปน แคนาดา เยอรมัน บราซิล อิตาลี เบลเยียม มีการประกาศขายผ่านโซเชียลมีเดีย ทั้งในแอพพลิเคชั่นไลน์ และเฟสบุ๊กอย่างโจ๋งครึ่ม

 

หมูเถื่อนเหล่านี้สำแดงเท็จว่าเป็นสินค้าอื่น อาทิ สินค้าประเภทอาหารทะเล หรือวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง เข้ามาในรูปแบบเนื้อหมูและชิ้นส่วนอย่างผิดกฎหมาย ไม่มีเอกสารการเคลื่อนย้าย หรือขออนุญาตนำเข้า ไม่มีหลักฐานแสดงที่มาของแหล่งกำเนิดสินค้า และไม่ผ่านขั้นตอนการตรวจสอบโรคสัตว์ ตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ของกรมปศุสัตว์ 

 



มีแหล่งจัดเก็บหลักๆแถวห้องเย็นมหาชัย ห้องเย็นนครปฐม และชิ้นส่วนกระจายในตลาดใหญ่ๆในพื้นที่ และกระจายไปยังเขตปริมณฑลรวมถึงกรุงเทพ

 

พวกบ่อนทำลายชาตินี้ กำลังแสวงหาผลประโยชน์ บนความทุกข์ของเกษตรกรไทยและผู้บริโภคคนไทย โดยไม่คิดถึงผลกระทบที่จะตามมา เพราะหากซากสัตว์เป็นโรคระบาด หรือพาหะของโรคระบาด ย่อมมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคระบาดสัตว์ เป็นการซ้ำเติมวิกฤตที่เกษตรกรกำลังประสบอยู่ และยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของโรคต่างถิ่นที่อาจปนเปื้อนเข้ามากระทบหมูของไทย

 


ที่สำคัญ การที่หลายประเทศอนุญาตให้มีการใช้สารเร่งเนื้อแดงในกระบวนการเลี้ยงสัตว์ได้ ในขณะที่ประเทศไทย “ไม่อนุญาตให้มีการใช้สารเร่งเนื้อแดง” ในกระบวนการเลี้ยงสัตว์อย่างเด็ดขาด มาตั้งแต่พ.ศ.2545 ตามประกาศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.2546 ผู้บริโภคชาวไทยจึงมีความเสี่ยงสูงจากการต้องรับสารอันตรายอย่างสารเร่งเนื้อแดงอีกด้วย

 

หมูลับลอบที่นำมาจำหน่ายปะปนกับหมูไทยทั่วประเทศ นอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว จึงถือเป็นการบ่อนทำลายความปลอดภัยทางอาหารของประชาชนไทยอย่างร้ายกาจ

 

โดยเฉพาะข่าวคราวที่กรมปศุสัตว์บุกตรวจสอบห้องเย็นเก็บซากสัตว์ และดำเนินการยึดซากสัตว์ลักลอบนำเข้า ทำลายแหล่งเนื้อเถื่อน มีการจับกุมดำเนินคดีลักลอบนำสัตว์หรือซากสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักร และลงโทษผู้กระทำความผิด หลายครั้งหลายคราว ในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนว่าขบวนการลักลอบนำเข้าหมูยังไม่หมดไปจากประเทศไทย

 

เรื่องนี้ต้องอาศัยแรงจากคนไทย หากพบหรือสงสัยการกระทำผิดต้องชี้ให้กับภาครัฐเข้าตรวจจับห้องเย็นและสอบย้อนกลับไปถึงผู้นำเข้ารายใหญ่ให้ได้

 

ขณะเดียวกันภาครัฐต้องเร่งกวาดล้างขบวนการนี้ให้สิ้นซาก "ต้องตรวจจริง จับจริง ลงโทษจริง” อย่าให้พวกบ่อนทำลายชาติเหิมเกริม ต้องปกป้องเกษตรกรไทย และผู้บริโภคชาวไทย อย่าให้ผลกระทบและอันตรายจากหมูเถื่อนนี้มาทำร้ายคนไทยได้อีกต่อไป./

 

เรื่องโดย เนื่องนที ฤกษ์เจริญ นักวิชาการอิสระด้านการเกษตร

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ซีพีเอฟ ดันโครงการปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกร ต่อเนื่องปีที่ 20 ชวนใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า สอดคล้องหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน

 


 

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ สานต่อ “โครงการปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกร” เดินหน้าสู่ปีที่ 20 ปี หนุนเกษตรกรใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า ยึดหลัก 3Rs “Reduce-Reuse-Recycle” โชว์ตัวเลขปันน้ำปุ๋ยให้เกษตรกร 1,336,711 ลูกบาศก์เมตร ตลอดปี 2564

 

นายสมพร เจิมพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ยึดหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy ตามกลยุทธ์และเป้าหมายความยั่งยืน “CPF 2030 Sustainability in Action” สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (SDGs) ด้วยการนำหลักการ 3Rs มาบริหารจัดการน้ำตลอดห่วงโซ่การผลิต ด้วยการลดปริมาณการใช้น้ำดิบจากธรรมชาติ (Reduce), นำน้ำที่ผ่านกระบวนการบำบัดแล้วกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) และนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) โดยมีเป้าหมายไม่ปล่อยน้ำทิ้งออกภายนอกฟาร์ม (Zero Discharge)

 





ที่ผ่านมาบริษัท มีโครงการประหยัดน้ำที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการวิเคราะห์การใช้น้ำ เพื่อช่วยลดปริมาณการใช้น้ำจากธรรมชาติให้มากที่สุด  ขณะเดียวกัน น้ำที่ผ่านระบบไบโอแก๊ส (Biogas) และบำบัดจนเป็นน้ำที่มีคุณภาพ ยังนำกลับมาผ่านการฆ่าเชื้ออีกครั้ง เพื่อใช้ล้างคอกสุกรหลังจากจับออก ล้างพื้นถนน และลานจอดรถ ช่วยลดการใช้น้ำดิบจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ควบคู่กับการนำน้ำที่มีมีแร่ธาตุเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของต้นพืช ที่เรียกว่า “น้ำปุ๋ย” กลับมาใช้ประโยชน์ในฟาร์ม ทั้งรดต้นไม้ สนามหญ้า รวมทั้งผักปลอดภัยจากสารพิษ ที่บุคลากรร่วมกันปลูกในพื้นที่ว่างของฟาร์ม จนกระทั่งพี่น้องเกษตรกรในพื้นที่รอบฟาร์มเห็นความสำเร็จจากการใช้น้ำปุ๋ยของบริษัท จึงประสานผ่านองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น เพื่อขอรับน้ำไปใช้รดพืชผลทั้งในช่วงฤดูแล้งและช่วงปกติตลอดทั้งปี น้ำที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืชทุกชนิด จึงช่วยลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยเคมี และเพิ่มผลผลิตแก่เกษตรกรได้ ทั้งสวนผลไม้ นาข้าว ต้นสัก ยางพารา ยูคาลิปตัส ปาล์มน้ำมัน ไร่อ้อย ไร่ข้าวโพด ไร่มันสำปะหลัง หญ้าเลี้ยงสัตว์ สวนไผ่ มะนาว กล้วย พืชผักสวนครัว ฯลฯ

 



“ซีพีเอฟภูมิใจที่ได้มีส่วนช่วยลดผลกระทบจากภัยแล้งให้กับเกษตรกร และยังช่วยเพิ่มผลผลิต ลดการใช้ปุ๋ยเคมี และลดต้นทุนค่าน้ำค่าปุ๋ยแก่เกษตรกร พบว่าช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 มีเกษตรกรในชุมชนจำนวน 63 ราย ขอรับน้ำจากการบําบัดจากฟาร์มสุกรไปใช้แทนปุ๋ยเคมีถึง 544,208 ลูกบาศก์เมตร สำหรับพื้นที่เพาะปลูก 1,601 ไร่ ช่วยลดค่าปุ๋ยเคมีแก่เกษตรกรได้ถึง 1,814,200 บาท ที่สำคัญเกษตรกรที่รับน้ำมาตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ก็ยังคงขอรับน้ำอย่างต่อเนื่องมาตลอด สะท้อนความสำเร็จในการใช้น้ำปุ๋ยต่างๆ ถือเป็นการหมุนเวียนใช้ทรัพยากรธรรมชาติ สอดคล้องกับมาตรการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า ประหยัด คุ้มค่า มีประสิทธิภาพสูงสุด ป้องกันการสูญเสีย และลดการใช้อย่างเป็นรูปธรรม” นายสมพร กล่าว


 




นอกจากนี้ คอมเพล็กไก่ไข่ของซีพีเอฟ ยังนำน้ำที่บำบัดแล้วให้เกษตรกรนำไปใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูกเช่นกัน  โดยในปี 2564 ได้จัดโครงการปันน้ำปุ๋ยและกากตะกอนสู่เกษตรกร ช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้งและสร้างความมั่นคงทางแหล่งน้ำให้กับชุมชน ด้วยการส่งน้ำและกากตะกอนที่ผ่านการบําบัดแล้วจากระบบ Biogas แบ่งปันน้ำปุ๋ยไปกว่า 143,500 ล้านลูกบาศก์เมตร ให้กับพื้นที่การเกษตรมากกว่า 103 ไร่ มีเกษตรกรได้รับประโยชน์กว่า 10 ราย./

สมาคมกุ้งไทย เข้าพบอธิบดีกรมประมง ร้องขอมาตรการเร่งด่วนแก้ปัญหาโรคกุ้ง

 




สมาคมกุ้งไทย เข้าพบอธิบดีกรมประมง ร้องขอมาตรการเร่งด่วนแก้ปัญหาโรคกุ้ง

 

สมาคมกุ้งไทย ร้องกรมประมงเร่งออกแนวทางแก้ปัญหาโรคกุ้งอย่างเป็นรูปธรรมทั้งห่วงโซ่ ก่อนเกษตรกรถอดใจเลิกเลี้ยง มุ่งขับเคลื่อนเป้าหมายเพิ่มผลผลิตกุ้งให้ได้ 400,000 ตัน ภายในปี 2566 และรักษาคุณภาพมาตรฐานสินค้า “พรีเมี่ยม” พร้อมทวงแชมป์โลกอันดับ 1 

 



นายเอกพจน์ ยอดพินิจ นายกสมาคมกุ้งไทย กล่าวว่า สมาคมฯ มีความห่วงใยเกษตรกรไทยที่ต้องเผชิญปัญหาโรคกุ้งและแก้ปัญหากันมามากกว่า 10 ปี จนไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ยากและท้าทายที่สุดคือการเลี้ยงกุ้งให้รอด จึงอยากเรียกร้องให้กรมประมงหาแนวทางหรือมาตรการเร่งด่วนในการแก้ปัญหาเรื่องโรคในการเพาะเลี้ยง

 

นอกจากนี้ สมาคมฯ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการนำเข้ากุ้งจากเอกวาดอร์และอินเดีย ที่ยังมีเกษตรกรไม่ได้รับรู้ข่าวสารและมีความห่วงใย ซึ่งการนำเข้าอาจเกิดผลดีในระยะสั้น จึงขอให้กรมพิจารณาผลที่จะเกิดในระยะยาวโดยเฉพาะด้านภาพลักษณ์ของกุ้งในเวทีโลกด้านคุณภาพซึ่งเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคในฐานะสินค้า “พรีเมี่ยม” รวมถึงโรคอุบัติใหม่จากการนำเข้ากุ้งจากต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้ประเทศยังไม่สามารถบรรลุผลการแก้ปํญหาได้ และอาจจะต้องเผชิญกับโรคใหม่  

 

“เป้าหมายการเพิ่มผลผลิตกุ้งไทย 400,000 ตัน ควรยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ โดยเฉพาะอย่างยื่งการแก้ปัญหาเรื่องโรคและการรักษาภาพลักษณ์คุณภาพสินค้าไทย เพราะมีความหมายต่อชีวิตและลมหายใจของคนในห่วงโซ่อุตสาหกรรมกุ้งที่เชื่อมโยงกันหลายส่วน” นายเอกพจน์ กล่าว

 

นายเอกพจน์ กล่าวย้ำว่า ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาหลังเกิดโรคระบาดในกุ้ง อุตสาหกรรมกุ้งไทย สูญเสียโอกาส-รายได้จากการส่งออกถึง 500,000 ล้านบาท ที่น่าห่วงอย่างยิ่งคือถึงวันนี้ยังแก้ปัญหาไม่ได้  วิธีที่รัฐพยายามช่วยยังไม่เกิดผลในทางปฏิบัติ  

 

นอกจากนี้ การเผยแพร่ข่าวของสื่อต่างประเทศ ว่ารัฐบาลของเอกวาดอร์ได้ประกาศว่ากุ้งเอกวาดอร์สามารถส่งออกไปยังตลาดประเทศไทยได้อีกครั้ง เพราะเอกวาดอร์สามารถดำเนินมาตรการด้านความปลอดภัย และความปลอดภัยทางชีวภาพได้ กรมประมงไทยยอมรับและมีประกาศอนุญาตให้มีการนำเข้ากุ้งจากเอกวาดอร์ และอินเดีย เท่ากับเป็นการยกระดับมาตรกุ้งเอกกวาดอร์มาเทียบเท่ากุ้งไทย ขณะที่กุ้งไทยถูกดึงมาตรฐานให้ต่ำลง 

 

“สมาคมเห็นว่าเป็นเรื่องดังกล่าวที่มีความอ่อนไหวอย่างยิ่ง ต่อความอยู่รอดอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรมกุ้งไทยในระยะยาว อาจสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่นในสินค้ากุ้งไทยของผู้นำเข้าและผู้บริโภค ที่สำคัญส่งผลกระทบต่อพี่น้องเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งภายในประเทศในระยะกลางและระยะยาว โดยเฉพาะผลกระทบโดยตรงต่อราคา” นายเอกพจน์ กล่าว./

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2565

รัฐเปิดนำเข้ากุ้ง ทั้งที่เกษตรกรไทยผลิตได้เอง .. วาทกรรมสุดประหลาด ไม่มีประเทศไหนทำ

 



รัฐเปิดนำเข้ากุ้ง ทั้งที่เกษตรกรไทยผลิตได้เอง .. วาทกรรมสุดประหลาด ไม่มีประเทศไหนทำ

 

บทความโดย นายสมเจตน์ สุขมงคล ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านสัตว์น้ำ

 

หลังจบการแถลงข่าว “Shrimp Board กับการพัฒนาอุตสาหกรรมกุ้งไทย”  ที่กรมประมง ร่วมกับสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย และสมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์ไทย เชิญสื่อร่วมงานแบบโหลงเหลง คล้ายเป็นกิจกรรมแก้เกี้ยว หลังจากกรมประมงออกมายอมรับว่า มีการอนุญาตให้ผู้ประกอบการห้องเย็นและโรงงานแปรรูปสามารถนำเข้ากุ้งทะเลจากเอกวาดอร์และอินเดีย มาเป็นวัตถุดิบในการผลิตเพื่อการส่งออก ซึ่งไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด

 



ยิ่งฟังก็ยิ่งทำให้คิดว่าเป็นวาทกรรมแสนแปลกประหลาด เพราะไม่มีประเทศไหนเขาทำกัน โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าเกษตร ที่เกษตรกรภายในประเทศผลิตขึ้นเองได้ มีแต่จะปกป้องเกษตรกร และส่งเสริมการตลาดจนถึงการส่งออก เพื่อนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของชาติ

 

โดยเฉพาะประเทศไทย ผู้นำด้านการผลิตสินค้าเกษตร ที่ไม่เพียงมีความสามารถในการผลิตอาหารป้อนคนทั้งประเทศเท่านั้น แต่ยังผลิตได้มากเพียงพอสำหรับการส่งออก โดยเฉพาะสินค้ากุ้งที่ไทยส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ได้ถึง 80% ของปริมาณที่ผลิตได้ทั้งหมด กระทั่งครองตำแหน่งผู้ผลิตและส่งออกกุ้งอันดับ 1 ของโลกมายาวนาน และเป็นพระเอกสร้างรายได้ให้ประเทศปีละนับแสนล้านบาท

 

แต่ด้วยปัญหาโรคตายด่วน (AHPND/EMS) ที่แพร่ระบาดในกุ้ง ทำให้ผลผลิตกุ้งไทยลดลงตั้งแต่ปี 2545 จนถึงปัจจุบัน กอปรกับความไม่ชัดเจนของแผนการพัฒนาอุตสาหกรรมกุ้งของภาครัฐ ยิ่งทำให้ไทยต้องสูญเสียตำแหน่งแชมป์โลกที่เคยทำได้เมื่อ 10 ปีก่อนไปอย่างน่าเสียดาย

 

20 ปีที่ผ่านมา ไม่น่าเชื่อว่าไทยไม่มีความคืบหน้าในการแก้ปัญหากุ้ง มีเพียงนโยบายที่ตั้งไว้บนหิ้ง แต่ขาดคนนำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะปัญหาโรคระบาดที่ยังคงกัดกินความมั่นคงของเกษตรกร ทั้งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีทั้งกำลังคน ผู้เชี่ยวชาญ และงบประมาณทำเรื่องนี้ แต่จนแล้วก็ยังไม่มีการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง ขณะเดียวกัน ในภาวะที่ราคากุ้งตกต่ำ รัฐกลับไม่มีมาตรการช่วยเหลือที่เพียงพอสำหรับคนเลี้ยง การช่วยเหลือที่ได้รับแทบไม่พอชดเชยภาวะขาดทุน จึงไม่แปลกที่วันนี้ปริมาณผลผลิตกุ้งจะเหลือเพียง 1 ใน 3 ของผลผลิตสูงสุดกว่า 6.3 แสนตัน ที่ไทยเคยผลิตได้

 

กรมกองที่เกี่ยวข้องคงหลงลืมไปว่า หน้าที่หลักของตนเองคือการดูแลปกป้องส่งเสริมเกษตรกรทุกวิถีทาง โดยเฉพาะการป้องกันไม่ให้มีการนำเข้าสินค้ามาทำลายเกษตรกรไทย ดูตัวอย่างอุตสาหกรรมหมูที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ยินยอมเด็ดขาดที่จะให้หมูนอกเข้ามาทุบอุตสาหกรรมได้ แต่กุ้งกลับปล่อยให้นำเข้ามาอย่างง่ายดาย วันนี้รัฐต้องกลับไปทำหน้าที่สำคัญ ในการเป็นตัวกลางสานประโยชน์ของทุกฝ่ายตลอดห่วงโซ่การผลิต ให้ช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน กลุ่มผู้แปรรูปเพื่อส่งออกก็ต้องช่วยเกษตรกรในประเทศก่อน ไม่ใช่หาโอกาสในการนำเข้าเพื่อลดต้นทุนตัวเอง จนลืมเกษตรกรผู้เลี้ยง ต้องช่วยกันรักษาระดับราคาผลผลิตให้เกษตรกร สร้างความเข้มแข็ง และมีกำลังใจสร้างผลผลิตคุณภาพสานต่ออาชีพไม่ให้ล้มหายตายจาก  เพื่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย แต่กลับเห็นประโยชน์เพียงของคนกลุ่มเดียว

 

แค่การยินยอมให้มีการนำเข้ากุ้งต่างแดนมาได้เช่นนี้ ก็ถือเป็นการทำลายเป้าหมายการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล ตามที่ได้วางเป้าหมายให้มีผลผลิตปริมาณ 400,000 ตัน ภายในปี 2566   ให้ไทยกลับมาเป็นผู้นำได้ดังเดิม

 

คำพูดสวยหรูที่ไร้ซึ่งการปฏิบัติจริง นอกจากจะไม่ได้ใจเกษตรกรแล้ว ยังไม่ต่างกับการถูกแทงข้างหลัง ด้วยการนำเข้ากุ้งจากสองประเทศ ที่เมื่อตอนไทยมีปัญหาผลผลิตล้นจนราคาตกต่ำ แล้วไปขอให้เขาช่วยรับซื้อกุ้งเราบ้าง กลับถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยเพื่อปกป้องเกษตรกรประเทศตัวเอง มาวันนี้รัฐบาลไทย กลับเปิดบ้านต้อนรับผลผลิตกุ้งจากทั้งเอกวาดอร์เบอร์ 1 กุ้งโลกในตอนนี้ และอินเดียที่เร่งเพิ่มกำลังผลิตกุ้งตามมาติดๆ

 

วันนี้รัฐบาล กระทรวง กรมที่เกี่ยวข้อง ต้องจริงจังกับการฟื้นฟูอุตสาหกรรมกุ้ง และจริงใจในการปกป้องเกษตรกรผู้เลี้ยง ให้เหมือนกับที่รัฐบาลของทุกประเทศเขาทำกัน ถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐต้องทบทวนเรื่องการนำเข้ากุ้ง มิใช่สนับสนุนเกษตรกรประเทศอื่นให้เจริญรุ่งเรือง แล้วมาเหยียบซ้ำเกษตรกรไทย./

นำเข้ากุ้งนอกทำไม? ทั้งที่ไทยผลิตได้เอง




 นำเข้ากุ้งนอกทำไม? ทั้งที่ไทยผลิตได้เอง


สานิตย์ ศรีเมือง ที่ปรึกษาอิสระ ด้านการเพาะเลี้ยงกุ้ง


หลังจากเห็นข่าวกรมประมงอนุญาตให้ผู้ประกอบการห้องเย็นและโรงงานแปรรูป สามารถนำเข้ากุ้งทะเลจากเอกวาดอร์และอินเดียได้ ก็มีคำถามตัวใหญ่ๆผุดขึ้นในหัว ว่าเหตุไฉนไทยต้องนำเข้ากุ้งชาติอื่นเข้ามา ในเมื่อประเทศไทยสามารถผลิตกุ้งได้เอง แถมยังได้ชื่อว่าเป็นผู้นำด้านคุณภาพมาตรฐานอันดับหนึ่งของโลก




ทั้งๆที่ผ่านมารัฐบาลให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมกุ้ง และเร่งผลักดันสินค้ากุ้งกลับมาเป็นสินค้าสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ถึงขนาดยกให้เป็นวาระแห่งชาติ อย่างเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เจ้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เฉลิมชัย ศรีอ่อน ยังเปิดห้องประชุมกระทรวงเกษตรฯ ร่วมหารือกับผู้แทนอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องตลอดสายห่วงโซ่การผลิต ถึงแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อความยั่งยืน 


สร้างความปราบปลื้มให้เกษตรกร ที่ผู้ใหญ่ในบ้านในเมือง รับรู้ปัญหาและเล็งเห็นความสำคัญของสินค้ากุ้ง พร้อมรับปากว่าจะ ช่วยผลักดันอย่างเต็มที่ เพื่อให้เกษตรกรสามารถผลิตกุ้งให้ได้ปีละ 4 แสนตัน ภายใน 2 ปี (2565-2566) หวังทวงคืนโอกาสที่เกิดจากความเสียหายของอุตสาหกรรมกุ้งไทย จากการระบาดของโรคกุ้ง คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 5 แสนล้านบาท ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กลับคืนมาให้ได้ 


ขณะที่อธิบดีกรมประมงที่เพิ่งรับตำแหน่งได้ไม่นาน ก็รับลูกเจ้ากระทรวงฯ โดยให้คำมั่นในงาน "วันกุ้งจันท์" ครั้งที่ 26 ด้วยสุนทรพจน์หวาน่จับใจว่า กรมประมงพร้อมจะร่วมสนับสนุนและผลักดันให้เกษตรกรสามารถสร้างผลผลิตเพื่อรองรับความต้องการของตลาด และกลับมาผงาดในเวทีโลกได้อีกครั้ง ตามเป้าหมายในการเร่งฟื้นฟูอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลให้มีผลผลิต 4 แสนตัน ภายในปี 2566 ยังย้ำอีกว่าประเทศไทยยังมีข้อได้เปรียบทางประสบการณ์ และความสามารถของพี่น้องเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งทะเล มีเทคโนโลยีเลี้ยงกุ้งที่ทันสมัย ที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้อย่างแน่นอน


แต่จนแล้วจนรอดจากวันนั้นถึงวันนี้ ร่วม 5 เดือน ที่ท่านได้โปรยคำหวานป้ายยาเกษตรกรไว้ แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งนโยบาย และแผนงานที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม เกษตรกรกลับต้องมาทุกข์ซ้ำจากการตัดสินใจลงนามในประกาศกรมฯ อนุญาตให้นำเข้ากุ้งจากทั้งเอกวาดอร์และอินเดีย มาทุบซ้ำวิกฤติกุ้งไทย 


แทนที่จะเอาเวลาไปเร่งค้นคว้าวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ลงพื้นที่ดูแลการเลี้ยงและการป้องกันโรคให้ดี พัฒนาผลผลิตให้สูงขึ้นภายใต้ต้นทุนที่เกษตรกรพออยู่ได้ ซึ่งในแต่ละปีกรมฯมีงบประมาณส่วนนี้กันไว้อยู่แล้ว แต่กลับคิดง่ายทำง่ายด้วยการปล่อยให้กุ้งนอกเข้ามา โดยใช้หลักการคลังสินค้าทัณฑ์บน (BONDED WAREHOUSE) ที่สามารถเก็บวัตถุดิบที่นำเข้ามาในประเทศเพื่อผลิตและส่งออกได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องชำระค่าภาษีอากรก่อน ที่ช่วยผู้ประกอบการห้องเย็นและโรงงานแปรรูป สามารถลดต้นทุนและประหยัดภาษีได้มากโข แต่ลืมคิดถึงเกษตรกรหลังสู้ฟ้าหน้าสู้แดด ที่ผลิตกุ้งแบรนด์ไทยทั้งสำหรับผู้บริโภคชาวไทยและป้อนการส่งออกเพื่อนำเงินตราเข้าประเทศ 


การกระทำเช่นนี้ตรงข้ามกับคำมั่นที่ให้ไว้ว่า พร้อมจับมือเกษตรกร พลิกฟื้นกุ้งไทยให้มีคุณภาพปลอดภัย เพื่อก้าวไกลสู่ความยั่งยืน แต่กลับเป็นการฉุดเกษตรกรลงเหว โดยลืมคิดไปว่ากว่าไทยเราจะมีชื่อเสียงเป็นอันดับหนึ่งของโลก ในด้านคุณภาพความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์กุ้งที่ทั่วโลกยอมรับนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ผ่านมาไทยใช้ข้อได้เปรียบในฐานะผู้ส่งออกกุ้งที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศทั้งหมด จึงครองใจผู้บริโภคทั่วโลกได้ 


แล้วกรมประมงยุคนี้คิดอะไรอยู่ ถึงได้ยอมให้ใช้กุ้งนอกมาสวมแบรนด์ไทยเพื่อส่งออกไปแหกตาชาวโลก แม้จะยืนยันว่าได้คุมเข้มการอนุญาต การตรวจโรค และสารตกค้างในสินค้ากุ้งทะเลนำเข้า แต่โอกาสเกิดการแพร่กระจายเชื้อก่อโรคข้ามพรมแดนใช่ว่าจะไม่มี เพราะการ “สุ่มตรวจ” เชื้อก่อโรค ก็คือการ “สุ่ม” มิใช่การตรวจทั้งหมด หากมีเชื้อก่อโรคสำคัญเล็ดรอดออกไป จนสร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมกุ้ง ซ้ำเติมวิกฤติโรคกุ้งที่เป็นอยู่ จะทวงความรับผิดชอบได้จากที่ไหน และใครจะยืนยันได้ว่าสินค้าเหล่านั้นจะถูกนำไปแปรรูปเพื่อการส่งออกเท่านั้น ถ้ากุ้งนอกถูกนำมาดัมพ์ทำกำไรในตลาดบ้านเรา ก็ถึงคราวที่เกษตรกรต้องม้วนเสื่อเลิกเลี้ยง เพราะแค่ปัญหาต้นทุนสูงและโรคกุ้งที่ประสบอยู่ก็หนักหนาพอแล้ว 


เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งอดคิดไม่ได้ว่าการนำเข้ากุ้ง เป็นการอุ้มเกษตรกรสองประเทศนี้ มากว่าที่รัฐจะปกป้องเกษตรกรไทย ทั้งที่ความจริง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมประมง มีหน้าที่ดูแลและปกป้องผู้เลี้ยงกุ้งไทย และต้องเร่งแก้ไขปัญหาเรื่องโรคกุ้งอย่างจริงจัง พร้อมกับช่วยเหลือเรื่องต้นทุนการผลิตที่เหมาะสม พัฒนาการเลี้ยงให้มีประสิทธิภาพและช่วยเพิ่มผลผลิต หาตลาดรองรับสินค้า และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุน แต่กลับปล่อยกุ้งเอกวาดอร์ซึ่งเป็นเจ้าตลาดกุ้งโลกในขณะนี้ รวมถึงอินเดียที่กำลังเร่งขยายการผลิตเบียดกันมาติดๆ เข้ามาทำลายคนเลี้ยงกุ้งและเศรษฐกิจไทยเสียเอง


ฝากถึงรัฐมนตรีว่าการสองกระทรวงใหญ่จากค่ายประชาธิปัตย์ ที่ชูนโยบายดูแลประชาชนและเกษตรกรไทยมาตลอด ให้รีบลงมาช่วยสอดส่องพฤติกรรมของกรมกองในสังกัด เพราะถ้าช่วยแก้ปัญหาให้เกษตรกรได้ ก็จะได้ใจและคะแนนเสียงไปครึ่งค่อนประเทศ โดยเฉพาะภาคใต้แหล่งผลิตสำคัญของอุตสาหกรรมกุ้งที่เป็นฐานเสียงให้ท่านๆได้แน่ในทุกศึกเลือกตั้ง อย่าปล่อยให้นโยบายง่ายๆอย่างการนำเข้ากุ้งมาสร้างความทุกข์ให้เกษตรกรและฉุดรั้งเศรษฐกิจชาติที่รัฐบาลกำลังเร่งขับเคลื่อน./

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2565

กุ้งไทยมาตรฐานโลก แล้วจะนำเข้ากุ้งเอกวาดอร์-อินเดีย มาสวมแบรนด์ไทยเพื่ออะไร

 




กุ้งไทยมาตรฐานโลก แล้วจะนำเข้ากุ้งเอกวาดอร์-อินเดีย มาสวมแบรนด์ไทยเพื่ออะไร 

 


 

อุตสาหกรรมกุ้ง มีประเด็นให้ติดตามอีกครั้ง เมื่อมีข่าวว่ากรมประมงไทย อนุมัติให้นำเข้ากุ้งจาก 36 ฟาร์มในเอกวาดอร์ และยังมีข่าวว่ากุ้งอินเดียก็ได้รับการอนุมัติให้สามารถนำเข้าได้เช่นกัน 

 



เรื่องนี้น่าแปลกตรงที่ เหตุไฉนทางการไทยจึงไม่มีการเปิดเผยข่าวเรื่องการอนุมัติให้นำเข้าทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่ของคนในวงการกุ้ง จะมีก็แต่เพียงประชาสัมพันธ์ประกาศกรมประมง แขวนในเว็บไซต์กรมฯเท่านั้น หากทางการเอกวาดอร์ไม่ออกข่าว จนสื่อดังอย่าง intrafish seafoodnews เผยแพร่ข่าวนี้ ป่านนี้คงยังไม่มีใครรู้ว่ากุ้งนอกบุกไทยแล้ว 

 

กระทั่ง อธิบดีกรมประมง ต้องออกมายอมรับเองว่า “กรมประมงอนุญาตให้ผู้ประกอบการห้องเย็นละโรงงานแปรรูปสามารถนำเข้ากุ้งทะเล จากสาธารณรัฐเอกวาดอร์และสาธารณรัฐอินเดียได้แล้วเป็นเรื่องจริง”  

 

 

กุ้งไทย เบอร์ 1 กุ้งโลก ด้วยคุณภาพมาตรฐาน 

 

ประเทศไทยเคยรั้งตำแหน่งประเทศผู้ผลิตและส่งออกกุ้ง รวมทั้งผลิตภัณฑ์แปรรูป เป็นอันดับ 1 ของโลก ในช่วง 10 ปีก่อน ก็ด้วยคุณภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัยทางอาหาร ที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศคู่ค้าทั่วโลก ไทยจึงกลายเป็นผู้นำการผลิตและส่งออกกุ้งของโลก ทำรายได้เข้าประเทศจากส่งออกเป็นมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท แต่การมาของโรคกุ้งตายด่วน หรือกลุ่มอาการตายด่วน (Shrimp Early Mortality Syndrome : EMS) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กลุ่มอาการตับและตับอ่อนตายเฉียบพลัน (Acute Hepatopancreatic Necrosis Syndrome : AHPNS) ก็สร้างความเสียหายให้กับผลผลิตกุ้งทะเลของไทย ทำให้ผลผลิตกุ้งหายไปกว่า 80 % ปัจจุบันผลผลิตที่ได้ทั้งประเทศเหลือประมาณหนึ่งในสาม ของผลผลิตสูงสุดที่เกษตรกรไทยเคยผลิตได้เมื่อปี 2553 ที่ 6.4 แสนตัน  

 

ฤาเป้าหมาย 4 แสนตัน ไกลเกินเอื้อม?  

 

ในห้วง 10 ปีมานี้ที่ไทยเกิดวิกฤติกุ้ง คำถามสำคัญคือ กรมกองที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทำอะไรอยู่? การจัดการกับปัญหาทั้งเรื่องการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคคุณภาพสูง และการเร่งพัฒนาการเลี้ยงให้มีประสิทธิภาพ เกิดขึ้นแล้วหรือยัง? เพราะต้องไม่ลืมหมุดหมายสำคัญที่ทั้งเจ้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมประมง ได้รับปากและยืนยันว่าจะช่วยผลักดันอย่างเต็มที่ ให้ไทยสามารถผลิตกุ้งให้ได้ปีละ 4 แสนตัน ภายในปี 2566 เพื่อทวงคืนโอกาสที่เกิดจากความเสียหายของอุตสาหกรรมกุ้งไทย จากการระบาดของโรคกุ้งให้กลับคืนมา โดยผลผลิตที่ลดลงคิดเป็นมูลค่าการส่งออกกว่า 5 แสนล้านบาท หรือเฉลี่ยหายไปปีละ 1 แสนล้านบาท และผลักดันกุ้งให้กลับมาเป็นสินค้าสำคัญของประเทศ  

 

แต่หลังจากประกาศกลยุทธ์ส่งเสริมการผลิตกุ้ง 4 แสนตันไปแล้ว กลับไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนแผนงานการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ทั้งเรื่องวัคซีนที่มีคุณภาพ การวิจัยด้านการป้องกันโรค การยกระดับการเลี้ยงเพื่อเพิ่มผลผลิต หรือแม้แต่สินเชื่อเพื่อการเกษตร ก็ไม่มีความคืบหน้า ซ้ำร้ายยังไปสนับสนุนเกษตรกรของชาติคู่แข่งสำคัญทั้ง เอกวาดอร์และอินเดีย ที่ไต่ระดับขึ้นมากลายเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่แทนกุ้งของไทยที่เคยส่งออกเป็นเบอร์ 1 ของโลก เบียดจนไทยมาอยู่อันดับ 6 ในวันนี้ 

 

กุ้งเอกวาดอร์-อินเดีย รีแพ็คเมดอินไทยแลนด์ ภายใต้หลักการคลังสินค้าทัณฑ์บน 

 

วันนี้สิ่งที่เกษตรกรได้รับคือ การมาของกุ้งนอก จากฝีมือของภาครัฐที่ควรดูแลเกษตรกรไทย ด้วยการประกาศนำเข้ากุ้งภายใต้หลักการ คลังสินค้าทัณฑ์บน เป็นการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตและส่งออกอย่างเดียว 100% ซึ่งเป็นเรื่องที่สวนทางกับสถานะการเป็นผู้ผลิตและส่งออกกุ้งชั้นนำของไทย ทั้งที่ไทยเป็นผู้ส่งออกกุ้งที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content : LC) เกือบ 100% เพื่อครองความผู้นำด้านคุณภาพความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์กุ้งไทย ที่ยังคงเป็นอันดับหนึ่งของโลกที่ทั่วโลกมั่นใจ และสามารถสร้างอาหารมั่นคงทางอาหารได้อย่างเต็มภาคภูมิ  

ความเชื่อมั่นในมาตรฐานการผลิต คุณภาพกุ้ง รวมถึงความปลอดภัยอาหาร ไม่ได้สร้างได้ภายในวันเดียว หากกุ้งเอกวาดอร์-อินเดีย รีแพ็คส่งนอกเกิดมีปัญหา ทำให้ “แบรนด์ไทยแลนด์” ที่สร้างมาต้องเสียหาย ใครจะรับผิดชอบกับชื่อเสียงที่จะสูญเสียไป ยังไม่นับกุ้งนอกที่มีโอกาสหลุดรอดมาในตลาดได้ ถึงเวลานั้นเกษตรกรย่อมได้รับผลกระทบอย่างหนัก แค่ช่วงปีนี้ที่ราคากุ้งร่วงลงมาต่อเนื่อง กับปัญหาโรคกุ้งที่ยังไม่คลี่คลาย ก็ทำให้เกษตรกรหวั่นใจมากพอแล้ว  

 

เกษตรกรถามรัฐ ใยปล่อยนำเข้ากุ้งเอกวาดอร์และอินเดีย ทำร้ายเกษตรกรไทย 

 

ประธานชมรมกุ้งตรังพัฒนา อักษร ขจรกาญจนกุล ถามแทนเกษตรกรที่ต่างประหลาดใจกับการตัดสินใจของกรมประมงว่า ทำไมถึงมีการอนุมัตินำเข้ากุ้งจากเอกวาดอร์และอินเดียแบบไม่ทันตั้งตัว ทั้งที่ผ่านมา กรมฯ ปกป้องเกษตรกรมาตลอด เนื่องจากกุ้งนำเข้าจะทำให้ราคากุ้งไทยตกต่ำ ไม่มีเสถียรภาพ ทั้งยังมีความเสี่ยงเรื่องโรคที่ติดมากับกุ้ง รวมถึงเกิดปัญหาคุณภาพความปลอดภัย การปนเปื้อนของสารเคมีต้องห้ามและยาปฏิชีวนะ จะสร้างความเสียหายกับผู้เลี้ยงและห่วงโซ่การผลิต รวมถึงผลประโยชน์ของประเทศ และถามกลับว่าภาครัฐรวมถึงเกษตรกรบางส่วน อาจจะหลงลืมไปว่าในวันที่ไทยขอให้ทั้ง 2 ประเทศเปิดรับกุ้งไทยบ้าง เขากลับยกเรื่องการดูแลเกษตรกรในประเทศเป็นข้ออ้าง กลับสร้างประโยชน์ให้คนชาติอื่น เป็นการเหยียบซ้ำคนเลี้ยงกุ้งไทย  

 

สำหรับแนวทางแก้ปัญหาที่เป็นไปได้อย่างยิ่งคือ ต้องกำหนดเป้าหมายการผลิตกุ้งในประเทศที่ชัดเจน กรมฯต้องแก้ไขปัญหาโรคระบาดได้เบ็ดเสร็จ มีรูปแบบแนวทางการเลี้ยงที่เหมาะสมกับเกษตรกรทุกกลุ่ม ส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าถึงสินเชื่อจากแหล่งเงินทุน โดยภาครัฐและสถาบันการเงินสนับสนุนดอกเบี้ยพิเศษ เพื่อเสริมสภาพคล่อง ปรับโครงสร้างฟาร์มและโมเดลการเลี้ยงที่ตอบโจทย์สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน สร้างระบบมาตรฐานการผลิตตลอดห่วงโซ่อุตสาหกรรม นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงสร้างช่องทางการขายและความได้เปรียบในการแข่งขัน  

 

ถึงเวลาแล้วที่รัฐต้องหันกลับมา ปกป้องดูแลเกษตรกรไทย อย่ามัวแต่อุ้มเกษตรกรเอกวาดอร์และอินเดีย ภาครัฐต้องเร่งสร้างความมั่นใจให้คนเลี้ยง และผลักดันการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม นโยบายและงบประมาณ ต้องทุ่มไปที่ต้นเหตุของปัญหา ทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับเกษตรกรที่เป้าหมาย 4 แสนตัน ไม่ใช่แก้ปัญหาง่ายๆด้วยการนำเข้ากุ้งมาทุบซ้ำเกษตรกรไทย อย่ารอให้เกษตรกรต้องตบเท้าไปทวงถามรัฐบาลถึงหน้ากรมกอง หรือจะรอให้ท่านนายกรัฐมนตรีต้องระงับคำสั่งอนุมัตินำเข้าก่อน จึงจะเริ่มแก้ปัญหาได้? ./


เขียนโดย : วัลลภา รุ่งไพรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล 

วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ซีพีเอฟ ยกระดับสวัสดิภาพสัตว์ เลี้ยงหมู-ไก่ด้วยโปรไบโอติกส์ สร้างภูมิจากภายใน ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะเร่งโต ส่งผลดีต่อสุขภาพคน-สัตว์-สิ่งแวดล้อม

 

ซีพีเอฟ ยกระดับสวัสดิภาพสัตว์ เลี้ยงหมู-ไก่ด้วยโปรไบโอติกส์ สร้างภูมิจากภายใน ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะเร่งโต ส่งผลดีต่อสุขภาพคน-สัตว์-สิ่งแวดล้อม 

 



ฟาร์มปศุสัตว์ในระบบเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารของประเทศไทยมีพัฒนาการในทุกด้านอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ที่ทั่วโลกยอมรับ  หรือการคิดค้นนวัตกรรมการเลี้ยงสัตว์ด้วยโปรไบโอติกส์ที่ดีต่อสุขภาพสัตว์  ส่งผลถึงความปลอดภัยในอาหารสำหรับผู้บริโภคในทุกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟาร์มเลี้ยงสัตว์ของผู้นำอุตสาหกรรมอย่าง ซีพีเอฟ หรือ บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)

 



น.สพ.พยุงศักดิ์ สมยานนทนากุล รองกรรมการผู้จัดการ ด้านมาตฐานฟาร์มและข้อกำหนดลูกค้า ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งเน้นหลักการ “สุขภาพหนึ่งเดียว” (One Health) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) มาใช้ในการเลี้ยงสัตว์ ควบคู่การยึดหลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) เพื่อให้สัตว์มีสุขภาพดี ครอบคลุมกิจการทั้งในไทยและต่างประเทศ ให้สัตว์ได้รับน้ำและอาหารอย่างเพียงพอ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี สามารถแสดงพฤติกรรมได้ตามธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบันสัตว์ในฟาร์มของบริษัทฯ 100% ได้รับการเลี้ยงดูตามหลักอิสระ 5 ประการ ภายใต้การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างรับผิดชอบและสมเหตุผล

 

นอกจากนี้ บริษัทยังยกระดับสวัสดิภาพสัตว์ เพื่อให้สัตว์สร้างภูมิคุ้มกันจากภายใน จากการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ในการเลี้ยงสัตว์ด้วยจุลินทรีย์ที่ดีอย่าง “โปรไบโอติกส์” ช่วยจัดสมดุลลำไส้ ส่งผลให้สัตว์มีสุขภาพแข็งแรง ไม่ป่วย และไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะเร่งการเจริญเติบโต ตลอดการเลี้ยงดู ตอกย้ำการเพิ่มสวัสดิภาพสัตว์ที่ดี ซึ่งดีต่อทั้งสุขภาพสัตว์ คน และสิ่งแวดล้อม 

 

“มาตรฐานการเลี้ยงสัตว์ในอุตสาหกรรมไก่เนื้อของประเทศไทย มีการตรวจสอบเคร่งครัดทั้งจากภาครัฐและประเทศคู่ค้า ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเลี้ยงสัตว์อย่างแออัด หรือใช้ยาปฏิชีวนะจำนวนมากเกินความจำเป็น ตามที่มักมีรายงานกล่าวหาแบบเหมารวม ขณะที่ซีพีเอฟมีพัฒนาการในเลี้ยงสัตว์อย่างต่อเนื่อง ภายใต้เป้าหมายสำคัญคือการผลิตอาหารที่ปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค” น.สพ.พยุงศักดิ์กล่าว

 



ด้าน น.สพ.ดำเนิน จตุรวิธวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านบริการวิชาการสุกร ซีพีเอฟ กล่าวเพิ่มเติมว่า ซีพีเอฟจะเน้น "การป้องกัน" ไม่ให้เกิดโรคหรือผลกระทบใดๆต่อสุกร โดยฟาร์มสุกรทั้งหมดของบริษัทเป็นฟาร์มระบบปิดตามมาตรฐานกรมปศุสัตว์ และวางระบบการบริหารจัดการฟาร์มในระดับไบโอซีเคียวริตี้ พร้อมทั้งมีการให้วัคซีนแก่ลูกสุกรตามระยะเวลาที่สัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มเป็นผู้กำหนด ส่งผลให้ปัญหาเจ็บป่วยเกิดขึ้นน้อยมาก

 



อย่างไรก็ตาม หลักสวัสดิภาพสัตว์นั้น หากพบสัตว์ป่วยต้องให้การรักษา ดังนั้น ในกรณีที่พบการเจ็บป่วยแล้วเท่านั้น จึงจะมีการให้ยา โดยอยู่ภายใต้การควบคุมของสัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มอย่างเข้มงวด และมีการเว้นระยะหยุดยาที่เหนือกว่ามาตรฐานทั่วไป เพื่อป้องกันไม่ให้มีการตกค้างหรือส่งผลกระทบใดๆ ต่อผู้บริโภค ขณะเดียวกัน เมื่อถึงโรงชำแหละ สุกรจะถูกตรวจสอบซ้ำอีกครั้งว่าปราศจากสารตกค้างจริงๆ จึงจะได้รับอนุญาตให้เข้ารับการชำแหละ สร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคได้อีกขั้นตอนหนึ่ง

 

ด้านความมุ่งมั่นในการป้องกันเชื้อดื้อยานั้น ซีพีเอฟ ได้ยกเลิกรายการยารักษาสัตว์ ที่อยู่ในกลุ่มยาต้านจุลชีพ ที่อาจส่งผลกระทบและเป็นยาหลักที่ใช้รักษาโรคในคน เช่น โคลิสติน ออกจากระบบการจัดซื้อทั้งหมด ตั้งแต่ปี 2559 เพื่อกันยาต้านจุลชีพที่สำคัญไว้ใช้กับคน โดยในฟาร์มเลี้ยงสัตว์จะมุ่งเน้นวิธีป้องกันโรค ตามหลักการความปลอดภัยทางชีวภาพ (Bio-security) ซึ่งจะช่วยลดปัญหาเชื้อดื้อยาได้ทั้งในสัตว์และในคนไปพร้อมกัน

 

จากการดำเนินการด้านการป้องกันผลกระทบใดๆ ต่อสัตว์ และดูแลสุขภาพสัตว์อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ซีพีเอฟได้รับการคงสถานะมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์-Animal Welfare ระดับ Tier 3 ในรายงานเกณฑ์มาตรฐานทางธุรกิจตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ (The Business Benchmark on Farm Animal Welfare Report : BBFAW) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน./

“วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” เทศกาลสัตว์น้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

  เปิดประสบการณ์ความมหัศจรรย์ของโลกใต้น้ำกับ FISHTIVAL 2025   ที่ยกทัพพาเหรดสัตว์น้ำกว่า 3,000 ตู้ ในงาน “วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35” ...